ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 874 ช่วยชีวิต
บทที่ 874 ช่วยชีวิต
……….
สวี่ชีอันชักดาบสยบดินแดนออกมา พลังปราณรินไหลเข้าไปในดาบทองเหลืองอย่างไม่ขาดสาย พลังปราณที่เต็มอิ่มทำให้ดาบสยบดินแดนเหมือนเตารีดที่แดงผ่าว น้ำทะเลโดยรอบเดือดพล่านอย่างรวดเร็ว
เขายกแขนขึ้นฟาดลำแสงดาบที่เหลืองอร่ามเป็นสายๆ ผ่าลงไปในร่องทะเลโดยไม่สนสิ่งใด
แสงดาบสายที่หนึ่งปะทะริมร่องทะเล กอบดินเลนประหนึ่งฝุ่นควันนับไม่ถ้วนขึ้นมา สะเทือนจนหินขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาเป็นก้อนๆ
สายที่สองและสายที่สาม…แสงดาบสิบกว่าสายหายไปในร่องทะเลที่มืดมิดและเงียบลึก หลังจากผ่านไปหลายวินาที พื้นทะเลเกิดความสั่นสะเทือน ดินเลนที่ตกตะกอนอยู่ที่นี่หลายชั่วยุคสมัยทยอยยกตัวขึ้นมา
ชั้นดินอ่อนปะทุแยกตัวออก น้ำทะเลใสสะอาดกลายเป็นน้ำแกงโคลนขุ่นมัวในชั่วพริบตา
เสียงคำรามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังดังขึ้นในร่องทะเล เนื่องจากถูกน้ำทะเลบิดเบือน จึงดูน่ากลัวยิ่งกว่า
สัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์ที่หลับใหลอยู่ในร่องทะเลถูกยั่วโทสะเข้าแล้ว
สิบห้านาทีต่อมา หนวดห้าหนวดพุ่งออกมาจากร่องทะเลที่เงียบมืด ห่อม้วนคลื่นใต้น้ำหลายล้านตันและตีมายังสวี่ชีอันอย่างโหดเหี้ยม
ขณะนี้เอง หางจิ้งจอกขาวราวหิมะที่ใหญ่และแข็งแกร่งเช่นเดียวกันแทงมาจากด้านหลังของสวี่ชีอัน ปะทะกับหนวดแบบปลายเข็มต่อปลายเข็ม น้ำในน่านสมุทรทั้งผืนสั่นสะเทือนขึ้นมาในขณะนี้
หากที่นี่ใกล้กับชายฝั่งทะเล จะเป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวสำหรับเมืองที่ติดทะเลอย่างแน่นอน คลื่นทะเลที่ถาโถมขึ้นจากการต่อสู้จะจมทุกสิ่งอย่างพินาศย่อยยับ
หางจิ้งจอกขาวราวหิมะรัดหนวดทั้งหกเส้น ทั้งสองฝ่ายเหมือนเส้นสายที่พันเกี่ยวกันจนตึงอย่างตรงดิ่ง
ใบหน้าที่ขาวเรียบของนางปีศาจผมเงินแดงขึ้นในชั่วพริบตา เส้นเลือดบนหน้าผากปูดนูน ส่งเสียงเอ่ยอย่างเร่งรัดว่า
“ข้าประวิงเวลาได้มากที่สุดหนึ่งถ้วยชา”
สวี่ชีอันดิ่งลงไปข้างล่างอย่างฉับพลันเหมือนทุ่นระเบิดโดยไม่พูดจาให้เสียการอีก และเข้าไปในร่องทะเลพร้อมลากฟองอากาศที่เดือดพล่านไปด้วย
เขาดิ่งลงมาในความมืดมิดอันไร้แสงนานมาก เขาโยนเปลือกหอยออกไปและระเบิดเพื่อส่องสว่างรอบทิศทางเป็นครั้งคราว
ที่นี่มองไม่เห็นปลา สาหร่ายทะเลและพืชใต้น้ำก็มองเห็นน้อยมาก สวี่ชีอันเคลื่อนที่เป็นกระสวยอยู่ระหว่างหนวดที่เหมือนเสายักษ์หกเสา จากนั้นไม่นาน จิตสัมผัสรับรู้ได้ถึงร่างเทพมารที่ตกหล่นอยู่ที่แห่งนี้
เขาโยนเปลือกหอยออกไปหลายสิบอันในคราเดียว และระเบิดโดยพร้อมกัน
‘ปังๆๆ…’
ธาตุไฟขยายตัวเป็นกลุ่มก้อนแสงไฟท่ามกลางเสียงระเบิดที่อึดอัด นำมาซึ่งการส่องแสงเป็นครั้งแรกในเวลาอันยาวนาน
ส่องสว่างการทำลายล้างของเทพมารบรรพกาลตนนั้น
นี่คือสัตว์ประหลาดที่รูปร่างใหญ่โตเกินกว่าจะจินตนาการตัวหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับปลาหมึกยักษ์ ร่างกายของมันแทบจะเติมเต็มร่องทะเล แต่ร่างกายของมันไม่สมบูรณ์ครบ กระจายไปด้วยร่องรอยกัดแทะ
มันเหลือเพียงตาสีขาวเทาข้างเดียวฝังอยู่บนศีรษะที่กระจายไปด้วยแผ่นเกล็ด เมื่อแสงไฟส่องสว่าง ในท้องทะเลลึกอันเงียบสงัดนี้ ระยะห่างระหว่างสวี่ชีอันกับมันไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง
ดวงตาสีขาวเทาจับจ้องสวี่ชีอันอย่างเงียบเชียบ เสมือนจับจ้องฝุ่นละอองเม็ดหนึ่งในอากาศ
นี่ก็คือความแตกต่างของรูปร่างระหว่างทั้งสอง
เคราะห์ดีที่ข้าไม่ได้เป็นโรคหวาดกลัวทะเลลึก…ด้วยการพึ่งพาแสงไฟที่ดับมอดลงอย่างช้าๆ สวี่ชีอันค้นพบว่าเดิมทีสัตว์ประหลาดตัวนี้ควรจะมีสิบกว่าหนวด แต่คงถูกฉีกทิ้งไปนานแล้ว
ไม่มีการผันผวนของจิตเดิม เขาสิ้นชีพไปนานแล้ว แต่ใช้ชีวิตผ่านกาลเวลาที่ยาวนานนี้เช่นไรกัน…หลังจากการสำรวจเบื้องต้น สวี่ชีอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
หากต้องการวางถาดค่ายกลลงเพื่อขัดเกลาแก่นของเขา จะต้องพิชิตศัตรูจึงจะได้อย่างแน่นอน แต่ศัตรูระดับนี้ การสังหารเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียว
แต่เขาตายไปแล้ว และตายมาหลายชั่วยุคสมัยแล้ว
ทำเช่นไรดี
สวี่ชีอันมองรูปร่างของ ‘สัตว์ประหลาดหมึกยักษ์’ อย่างเงียบๆ เขาก็เข้าใจในทันใด
เขาตายไปในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ ที่หลงเหลืออยู่คือเจตจำนงที่ไม่ยอมศิโรราบและจิตแห่งการต่อสู้อันไร้ซึ่งความกลัว เป็นเพราะความยึดติดที่ทำให้เขาข้ามผ่านหลายชั่วกาลและคงอยู่จวบจนปัจจุบัน
“คราแรกที่ตายในเงื้อมมือศัตรู เทพมารบรรพกาลตนนี้ไม่ยอมรับและไม่ยอมแพ้ วิธีการขจัดความยึดติดนั้นง่ายดายมาก”
สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการทำไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการเอาชนะเขา…
บนร่องทะเลลึก จิ้งจอกเก้าหางที่กำลังประลองกำลังกับหนวดอย่างยากลำบากได้รับเสียงที่ส่งมาจากสวี่ชีอันว่า
“เจ้าอาณาจักร ท่านขึ้นไปก่อน ไม่ต้องยื่นมือเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว”
…
อีเอ๋อร์ปู้ไม่เคยผ่านประสบการณ์การบินที่เร็วเช่นนี้ ภูผาแม่น้ำและผืนดินกว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาเลือนรางจนตัดผ่านไปเพียงแวบเดียว เมื่อรอจนพลังเวทมนตร์ของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ถูกใช้จนหมด เขาพบว่าตนเองข้ามดินแดนของต้าฟ่งมายังชายแดนของดินแดนประจิมทิศแล้ว
“ที่ให้ข้ามาส่งตราราชลัญจกรนี่ไม่ใช่ว่าให้ข้ามาตายใช่ไหม” อีเอ๋อร์ปู้บินอยู่บนท้องฟ้าของดินแดนประจิมทิศอย่างระแวดระวัง ย้อนคิดถึงเส้นทางที่ตนเองผ่านมา ในหัวสมองปรากฏข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่ว่า
เหตุใดเรื่องวิ่งเต้นต้องเป็นข้าเสมอ
เริ่มตั้งแต่อ๋องสยบแดนเหนือหลอมยาโลหิต เขาทำหน้าที่เป็นตัวละครที่วิ่งเต้นและรับจ้างมาโดยตลอด
จวบจนวันนี้ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณอูต๋าเป๋าถ่าก็ยังไม่เคยพบสวี่ชีอัน แต่เขาเคยติดต่อกับสวี่ชีอันหลายครั้งแล้ว
อีเอ๋อร์ปู้ระมัดระวังอย่างมาก ไม่ได้เข้าไปยังดินแดนประจิมทิศลึกนัก หลังจากพบศพธรรมดาศพหนึ่ง เขาก็ควบคุมศพให้บินเหินฟ้าไปที่อรัญตาแทนตนเอง
“หากข้าเข้าไปดินแดนประจิมทิศลึกนัก จะต้องถูกพระพุทธเจ้ากลืนกินเป็นแน่”
“สามารถใช้หุ่นเชิดไปสำรวจได้พอดีเลย ดูสักหน่อยว่าขณะนี้ดินแดนประจิมทิศเป็นเช่นไรบ้าง”
“ด้วยระดับปรมาจารย์แห่งปราชญ์ของเขา การควบคุมศพศพหนึ่งเพียงลำพัง สามารถสำแดงพลังห้าส่วนของร่างกายโดยประมาณ”
อีเอ๋อร์ปู้บินไปพักหนึ่งอย่างพุ่งพรวด ความรู้สึกที่สัมผัสได้มากที่สุดก็คือเงียบเปลี่ยว
ไร้ร่องรอยมนุษย์ รกร้างเงียบเชียบ
หมู่บ้านและเมืองที่เดินทางผ่านล้วนไม่มีสิ่งใด
“ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ดินแดนประจิมทิศหลายแสนลี้ ประชาชนสาบสูญหมดสิ้น สงครามพลิกฟ้าโหดร้ายเสียจริง…เกรงว่าพวกโง่เง่ากลุ่มนั้นของต้าฟ่งคงไม่รู้กระทั่งว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ปัจจุบันพวกเขาไม่มีระดับเหนือมนุษย์นั่งสั่งการ ไม่อาจล่วงรู้ความลับของมหาเคราะห์ วันหน้าแม้ตายก็คงไม่รู้ว่าตายเช่นไร…”
“หากพระพุทธเจ้าแทนที่วิถีแห่งฟ้า ระบบพ่อมดของพวกเรา ไม่สิ ระบบทั้งหมดในโลกจะสูญสิ้นทั้งหมด และกลายเป็นฝุ่นละอองในประวัติศาสตร์ นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเหตุใดพ่อมดต้องมอบโชคชะตาของเหยียนกั๋วให้พระพุทธเจ้า”
หุ่นเชิดของอีเอ๋อร์ปู้บินไปที่อรัญตาพร้อมกับขบคิด
“พุทธมหายานแบ่งโชคชะตาของพระพุทธเจ้าไป ทำให้เขาไม่สามารถกลายเป็นดินแดนประจิมทิศอย่างถึงที่สุด แต่ด้วยพลังเวทมนตร์ของพระพุทธเจ้า รากฐานของสำนักพุทธจะต้องไม่หยุดอยู่ที่นี่แน่นอน ต้องมีลู่ทางอื่นเป็นแน่ แต่อาจต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุด ซึ่งนี่เป็นข้อดีสำหรับพ่อมด”
“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มอบโชคชะตาเหยียนกั๋วให้พระพุทธเจ้า หากพระพุทธเจ้าฉวยโอกาสกลายเป็นดินแดนประจิมทิศ ขั้นถัดไปก็คือกลืนกินที่ราบลุ่มภาคกลาง…”
พอคิดถึงตรงนี้ ศีรษะของอีเอ๋อร์ปู้สว่างวาบ เขาวิเคราะห์ต่อไปตามแนวคิดว่า
“ระดับบรรลุธรรมของต้าฟ่งจะต้องต่อต้านสุดชีวิต หากเผชิญกับการลงมือจากพระพุทธเจ้า เกรงว่าครึ่งเก้าสู่เทพยุทธ์ของซินเจียงตอนใต้คงไม่อาจนิ่งดูดาย รวมกับผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมอีกที เสือสองตัวสู้กันจะต้องมีอีกฝ่ายบาดเจ็บ หากเป็นเช่นนี้ลัทธิพ่อมดข้าก็จะสามารถนั่งรับผลประโยชน์จากเฒ่าประมง[1]ได้”
“ไม่สิ ต่อให้เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ลำพังแค่พลังของเขาเองคงต่อต้านระดับบรรลุธรรมไม่ได้เลย พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่กำลังเล่นกับไฟ นี่มันไม่เข้ากับนิสัยของเขาเลย เขามีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าต้าฟ่งสามารถต้านทานพระพุทธเจ้าได้ สวี่ชีอันอยู่โพ้นทะเล ท่านโหราจารย์เองก็ถูกผนึก…”
อีเอ๋อร์ปู้ตกตะลึง เขาพลันเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
แม้ตาเฒ่าโหราจารย์เดียงสาจะเรือล่มในท่อน้ำ[2] ถูกสวี่ผิงเฟิง เจียหลัวซู่และคนอื่นๆ ร่วมมือกันผนึก แต่นั่นเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าน่ะสิ ปรมาจารย์ลิขิตฟ้าที่ชำนาญการวางหมากเป็นที่สุด
ท่านโหราจารย์คำนวณทุกอย่างไว้แล้ว สำหรับมหาเคราะห์ มีหรือเขาจะคิดไม่ถึง
เขาจะต้องทิ้งอุบายที่เกี่ยวข้องไว้แน่ ไพ่ตายที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
หากเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าก็คือทหารสำรวจเส้นทางของพวกเขา
“นี่สิจึงจะเป็นนกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน เฒ่าประมงได้รับผลประโยชน์[3]ที่แท้จริง หากต้าฟ่งยังคงไม่อาจสู้พระพุทธเจ้า เลวร้ายที่สุดก็คงผูกพันธมิตรกับเทพเจ้ากู่ต่อต้านพระพุทธเจ้าในอนาคต…”
ขณะนี้ อีเอ๋อร์ปู้มองเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านปรากฏตรงปลายขอบฟ้า ถึงอรัญตาแล้ว
เขาหยุดครุ่นคิดในทันที และควบคุมหุ่นเชิด แปลงเป็นลำแสงสีดำวาบผ่านไปยังอรัญตา
ยังไม่เข้าใกล้ ข้างหน้ามีเงาสีขาวแวบผ่านไป พระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้มีอวัยวะบนใบหน้าเป็นรูปทรงสามมิติงามละออ สวมชุดสีขาว ไม่ใส่รองเท้า และมีเส้นผมสีดำเหมือนน้ำตกมาขวางทางไว้
ผู้งามเลอโฉมที่มีขนบประเพณีของดินแดนประจิมทิศเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“อีเอ๋อร์ปู้แห่งลัทธิพ่อมด เจ้ามาทำอันใดที่อรัญตา”
หุ่นเชิดมนุษย์ศพนิ่งอึ้งไป หลุดปากไปว่า
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีงดงามราวดอกท้อ แต่เย็นชาราวน้ำค้างแข็ง เอ่ยด้วยเสียงที่ไม่แปรปรวนเลยแม้แต่น้อยว่า
“เจ้าไม่ใช่ผู้ที่รับหน้าที่วิ่งเต้นหรือ”
‘แม้โดยพื้นฐานล้วนเป็นข้าที่ออกข้างนอกไปจัดการ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าเป็นพวกวิ่งเต้น ข้าเป็นปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณ’ …อีเอ๋อร์ปู้ด่าสาดเสียเทเสียในใจ แต่ภายนอกโอหังทะนงตน เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ฝากฝังข้าส่งโชคชะตาให้พระพุทธเจ้า”
เพื่อเป็นการกอบกู้ศักดิ์ศรี จึงแสดงฐานะของตนเองให้เห็นอย่างชัดแจ้ง เขาไม่ใช้คำอย่าง ‘ส่ง’ และ ‘สั่ง’
พระโพธิสัตว์หลิวหลียกคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยหลังจากเว้นไปสิบกว่าวินาทีว่า
“ซ่าหลุนอากู่อยากให้สำนักพุทธของอาตมาบุกเข้าวงล้อมศัตรู แล้วสู้จนสูญเสียพลังระดับบรรลุธรรมของที่ราบลุ่มภาคกลางทั้งหมด”
‘สตรีผู้นี้ฉลาดมาก’…อีเอ๋อร์ปู้เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“พวกท่านสามารถปฏิเสธได้”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีหลุบดวงตาอันงดงามลง ก่อนเอียงหูฟังครู่หนึ่ง แล้วลืมตาเอ่ยว่า
“ของล่ะ”
“สำนักพุทธมั่นใจจริงๆ ด้วย” อีเอ๋อร์ปู้ส่งเสียง ‘เหอะ’ ก่อนเอ่ยว่า
“ตราราชลัญจกรอยู่ที่ตัวข้า หากท่านต้องการ มากับข้าก็พอ”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีส่ายศีรษะเอ่ยว่า
“ไม่จำเป็นหรอก นำตราราชลัญจกรไปทางตะวันตกเป็นพอ”
พอกล่าวจบ นางก็หายกลับไปยังอรัญตา
อีเอ๋อร์ปู้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดขาดการควบคุมหุ่นเชิด
เขตชายแดนดินแดนประจิมทิศ อีเอ๋อร์ปู้ที่พาดเสื้อคลุมพ่อมดไว้ลืมตาขึ้น “ให้ข้าส่งไปหรือ”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นมือขวาออกจากเสื้อคลุมมาหันทำท่าจับไปยังสถานที่ไกลโพ้น
อูฐตัวหนึ่งถูกจับเข้ามา เลือดไหลออกรูทวารทั้งเจ็ดและตายลง จากนั้นอูฐกลายเป็นหุ่นเชิดศพเดินได้
อูฐเดินมาข้างหน้า แล้วคาบตราราชลัญจกรจากในมืออีเอ๋อร์ปู้ ก่อนถีบกีบทั้งสี่บินขึ้นไปบนฟ้า
อูฐบินไปเรื่อยๆ จนมาถึงเขตแดนรกร้างไร้ผู้คน ทันใดนั้นเอง มันเห็นว่าบนพื้นทรายด้านล่างมีดวงตาคู่หนึ่งลืมขึ้น
จากนั้น บนผืนทรายก็แยกออกเป็นปากใหญ่ยักษ์ คลื่นดินพุ่งขึ้นฟ้า และผลักปากให้กัดอูฐ ก่อนกลืนมันลงไป
หลังจากคลื่นดินกลืนอูฐและตราราชลัญจกรหยกเหยียนกั๋วลงไป มันไม่ได้ลดตัวลง กลับลอยสูงขึ้นไปข้างบนอย่างต่อเนื่องประหนึ่งถูกกระตุ้น ในชั่วพริบตาก็กลายเป็น ‘คลื่นยักษ์’ สูงร้อยจั้ง และกลิ้งไปทางทิศตะวันออก
พระพุทธเจ้าได้รับหลักฐานใหม่ กลมกลืนกติกาและทดแทนกติกาต่อไป ก่อนกลืนกินทุกสิ่งตามหนทาง
อีกด้านหนึ่ง อีเอ๋อร์ปู้ดีดตัวขึ้นมา พลางสั่นงกๆ พลางขี่ลำแสงสีดำพุ่งไปบนท้องฟ้า
เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของระดับบรรลุธรรมโดยตรงอย่างชัดเจนจากการแบ่งปันวิสัยทัศน์ กลิ่นอายที่ทำให้สั่นระริก และความคิดที่ทำให้เกิดความต่ำต้อยอย่างไม่รู้สึกตัว โดยเฉพาะอย่างหลัง เป็นสิ่งที่อีเอ๋อร์ปู้ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แม้จะเผชิญหน้ากับพ่อมด แม้จะสั่นกลัว ระวังตัวราวอยู่ในหุบเหว แต่อีเอ๋อร์ปู้จะไม่รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย
น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวเกินไปแล้ว…
…
ซินเจียงตอนใต้
หลี่หลิงซู่มองยอดสตรีงามหลายที่คนรวมตัวกันปรึกษาเรื่องสำคัญในจุดที่ไม่ไกลนักขณะดื่มชาภูเขาที่เป็นผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นของภูเขาสือว่าน
นอกจากเย่จีภรรยาน้อยของสวี่ชีอันแล้ว ยังมีสตรีงามเผ่าจิ้งจอกที่รูปโฉม นิสัยและท่าทางเทียบไม่ติดแม้แต่น้อยอีกสามคน
ชิงจีซึ่งสวมกระโปรงยาวสีคราม ปิดหน้าด้วยผ้าบาง ท่าทางสงบเสงี่ยมเยือกเย็น นางทำให้หลี่หลิงซู่นึกถึง บุตรสาวสกุลใหญ่ที่เยือกเย็นและสวยเพียบพร้อม รู้หนังสือ ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด
เกรงอกเกรงใจต่อผู้อื่น ไม่รุ่มร้อนไม่เย็นชาต่อผู้อื่น
สตรีงามผู้ออกเรือนแล้วที่สวมกระโปรงยาวสลับซับซ้อนสีดำขลับ นางทั้งมีเสน่ห์ความเป็นผู้ใหญ่ของสตรีอายุยี่สิบปี และมีบุคลิกและรูปโฉมของสตรีอายุยี่สิบปีเช่นกัน
ในระหว่างที่กำลังเป็นสุขปนกังวล ในระหว่างที่หันกลับมามองรอบๆ ก็ถอดใบหน้าไร้เดียงสาของสาวน้อยไปหมดแล้ว เฉกเช่นสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในเรือนมานานแล้ว
นางมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เมตตาและอบอุ่น และก็มีเสน่ห์ที่กินใจคนเหมือนสตรีเผ่าจิ้งจอกอื่นๆ
สาวน้อยคนที่สามชื่อว่าหลิงจี ความคึกคักร่าเริงของนางทำให้หลี่หลิงซู่นึกถึงฉู่ไฉ่เวยโหราจารย์ที่เพิ่งรับตำแหน่งของสำนักโหราจารย์
สิ่งที่แตกต่างคือ ในความคึกคักร่าเริงของโหราจารย์ผู้นั้นเผยให้เห็นความทึ่มทึบ ไร้ซึ่งความกังวล ใสซื่อไร้เดียงสา
แต่สิ่งที่มากกว่าของหลิงจีสาวน้อยเผ่าจิ้งจอกคือฉลาดรั้น เหลี่ยมจัดแต่น่ารัก
แค่มองก็รู้ว่าเป็นนางมารน้อยที่ชอบยุแหย่คนเล่น
‘บุพเพสันนิวาสของข้ามาอีกแล้ว’ …หลี่หลิงซู่คิดในใจ พลันจับเอว เอ่ยเสริมในใจ ‘เป็นไปได้’
“เจ้าอาณาจักรกับสวี่หลางออกทะเลไปหลายเดือนแล้ว นานแล้วยังไม่กลับมา ส่วนสถานการณ์ในจิ่วโจวก็ยิ่งตึงเครียดขึ้น”
เย่จีขมวดหางคิ้วอันงามละออ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
“หากฆ้องเงินสวี่ไม่มีวิธีเลื่อนขึ้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าว การออกทะเลก็เท่ากับเสียเที่ยว ลำพังเพียงพ่อเสินซูคงต้านระดับบรรลุธรรมไม่อยู่”
หลิงเย่ยันแก้มด้วยมือทั้งสองข้าง ลืมตาโตสุกสกาวขึ้น เอ่ยยิ้มกรุ้มกริ่มว่า
“พี่เย่จีอยากมีคนรักแล้วใช่หรือไม่ ร่างกายที่เสียการใช้งานไปนานมันเหงาจนยากจะทนใช่ไหมเล่า เมื่อใดจะเอาคนรักของเจ้าไปให้เขายืมเล่น”
เย่จีกวาดมองร่างอ่อนช้อยเยาว์วัยของสาวน้อยที่กำลังเป็นรูปเป็นร่างครู่หนึ่ง และเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเก้าพี่น้องไม่ได้ปรองดองรักใคร่กันทั้งหมด นอกจากโยวจีผู้เปี่ยมล้นไปด้วยความเป็นแม่ที่ได้รับความเคารพโดยพร้อมเพรียงกันจากบรรดาพี่น้อง และไป๋จีผู้น่ารักอ่อนโยนและยังแปลงร่างไม่ได้ที่ได้รับความรักอย่างพร้อมหน้าจากบรรดาพี่น้องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคนอื่นๆ ไม่มากก็น้อยล้วนแต่ขบเคี่ยวกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
โยวจีงอนิ้วดีดหน้าผากที่สะอาดเงาวาวของสาวน้อยดัง ‘เปรี๊ยะ’ ก่อนเอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“พูดเรื่องจริงจังเถอะ อย่าก่อกวน”
หลิงจีปิดหน้าผากทำปากมุ่ย เอ่ยกระซิบกระซาบว่า
“อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วพวกเราก็ต้องแต่งกับสวี่หนิงเยี่ยน พี่ชิงจีเคยบอกว่า มเหสีเกินกว่าครึ่งหนีไม่พ้นกรงเล็บมารของฆ้องเงินสวี่ เช่นนั้นหากมเหสีตามฆ้องเงินสวี่ไป พวกเราเองก็ไม่ต้องเป็นสินสมรส”
ชิงจีเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยว่า
“อย่ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้า ข้าไม่เคยเอ่ยคำพูดเช่นนั้น”
อะไรกัน พวกนางเองก็เป็นภรรยารองของเจ้าสวี่หนิงเยี่ยนนั่นหรือ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน โจรใจสุนัขอย่างสวี่หนิงเยี่ยน พ่อไม่เคยพบคนเจ้าชู้ประตูดินเช่นนี้ เกินไปแล้วๆ…สีหน้าของหลี่หลิงซู่แข็งทื่ออย่างช้าๆ
ขณะนี้เอง เขารับรู้ถึงความหวาดผวาที่คุ้นเคย
จึงล้วงเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาตรวจดูข้อความ
หมายเลขสอง ‘พี่ใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบให้เสินซูมาช่วยที่เหลยโจวด่วน…’
………………………………….
[1] ผลประโยชน์จากเฒ่าประมง มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 渔翁之利 หมายถึง ได้ประโยชน์จากการแก่งแย่งกันของอีกสองฝ่ายโดยไม่ต้องลงทุนสิ่งใด
[2] เรือล่มในท่อน้ำ มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 阴沟里翻船 หมายถึง เรื่องที่ดำเนินการมาอย่างดีมาตลอดเกิดปัญหาอย่างคาดไม่ถึง
[3] นกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน เฒ่าประมงได้รับผลประโยชน์ มาจากสุภาษิตจีนที่ว่า 鹬蚌相争渔翁得利 หมายถึง สองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่ฝ่ายที่สามกลับได้ประโยชน์ไปแทน
……….