ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 877 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (1)
บทที่ 877 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (1)
Ink Stone_Fantasy
หมายเลขห้า ‘เหตุใดเจ้าถึงได้สิ้นหวังนักล่ะ? ถ้าสวี่หนิงเยี่ยนเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวและผสานความร่วมมือกับเสินซูได้ ก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่ถูกมองว่าเป็นระดับสุดยอด แล้วพวกเราทุกคนก็ยังมีพื้นที่ให้ได้นั่งเจรจากันด้วย’
นอกจากนี้ทางชายแดนตอนใต้ ลี่น่าที่กำลังเพลิดเพลินกับเนื้อย่างที่ทหารปีศาจอุทิศให้ ก็แทรกบทเข้ามาได้พอเหมาะพอเจาะพอดี
…
หลี่หลิงซู่อึ้งไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากทบทวนเรื่องนี้แล้ว ก็คล้อยตามว่ามีเหตุผล
‘ประสบการณ์เรื่องเสินซูกับพระพุทธเจ้าบอกพวกเขาว่า ต่อให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวจะไม่อาจเทียบชั้นระดับสุดยอดได้ แต่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองคนร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้ต่อระดับสุดยอดมิใช่หรือ?’
‘ด้วยวิธีนี้ ต้าฟ่งจึงจะมีต้นทุนให้นั่งโต๊ะดื่มชาเจรจา’
หมายเลขสอง ‘ไอ้ผีบ้าสวี่หนิงเยี่ยนผู้นี้นี่ ออกทะเลไปตั้งหลายเดือน ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่รู้’
หลี่เมี่ยวเจินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
‘ศิษย์น้องหญิง ได้โปรดใส่ใจตัวตนของเจ้าด้วยเถอะ เจ้าคือหลานเหลียนแห่งนิกายปฐพีนะ เป็นถึงอดีตเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์เชียว เจ้าไม่ใช่พวกผู้หญิงต่ำๆ ในบ้านสวี่หนิงเยี่ยนสักหน่อย’…หลี่หลิงซู่ปกป้องศิษย์น้องหญิงของตัวเองในใจ
หมายเลขหนึ่ง ‘ให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กลับเมืองหลวงด่วนที่สุด ถ้ามาอยู่เล่ยโจว ข้าจะได้คลายกังวลลงบ้าง พระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ก็มิได้มีแผนการอื่นใดมิใช่หรือ’
‘ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แนวทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการนำผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายานกลับเมืองหลวงทันที’
‘อย่างไรเสีย ก็ยังมีเซียนครองพิภพขั้นหนึ่งกับพวกระดับเหนือมนุษย์หลายคนอยู่ในเมืองหลวง’
หมายเลขแปด ‘ไม่มีทางกลับไปได้หรอก มีพวกเหนือมนุษย์หลายคนจากสำนักพ่อมดคอยจับตาดูเขาอยู่’
อาซูหลัวตอบกลับ
แม้ว่าซ่าหลุนอากู่และคนอื่นๆ จะอยู่ห่างไกล แต่อาซูหลัวสามารถสัมผัสได้ แน่นอนว่าพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีเจตนาจะซ่อนมันไว้
‘ซ่าหลุนอากู่ก็อยู่ในเล่ยโจวด้วย’…ฮว๋ายชิ่งปวดหนึบไปถึงหนังศีรษะ
สำนักพ่อมดได้มอบโชคชะตาให้พระพุทธเจ้าแล้ว ตอนนี้ พวกเขามาที่นี่เพื่อ ‘ชมการศึก’ ความตั้งใจของพวกเขาคือการลงทัณฑ์!
‘นี่เป็นแผนสมรู้ร่วมคิดในช่วงวิกฤต หากพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กลับเมืองหลวงในช่วงนี้ เขาน่าจะติดกับ’
‘แล้วถ้านักบวชเต๋าจินเหลียนกับเหนือมนุษย์คนอื่นได้รับอนุญาตให้กลับมาร่วมมือกัน เสินซูจะทำเช่นไร?’
‘ถ้าเหล่าพวกเหนือมนุษย์อย่างนักบวชเต๋าจินเหลียนกับอาซูหลัวมา อย่างน้อยเขาก็น่าจะช่วยเหลือเสินซูแก้ปัญหาบางประการได้’
หมายเลขเก้า ‘เหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย’
นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดเสริม
‘แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่จะอยู่ระดับขั้นสามและไม่สามารถจัดตั้งกองกำลังหลักได้ แต่เจ็ดไสยศาสตร์กู่หลักนั้นทั้งแปลกประหลาดและไม่อาจคาดเดาได้ แล้วก็แทบไม่อยู่ในสารบบสำนักพ่อมดด้วยซ้ำ’…ฮว๋ายชิ่งสูดลมหายใจแล้วเขียนข้อความว่า
หมายเลขหนึ่ง ‘รายงานสถานการณ์การศึกได้ตลอดเวลา หากสถานการณ์เอื้ออำนวย ข้าขอให้ท่านราชครูกับเจ้าสำนักศึกษาจ้าวมาที่เล่ยโจวทันที’
นางวางเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลง หันไปมองเว่ยเยวียนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องโถง แล้วรีบบอกอย่างรวดเร็วเพื่ออธิบายสถานการณ์สั้นๆ
จ้าวโส่วพึมพำ
“ข้าขอให้หยางกงเอาดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไปเล่ยโจวเพื่อให้ความช่วยเหลือ ส่วนข้า ข้าจะรั้งอยู่ในเมืองหลวงเอง”
เขาพยายามป้องกันไม่ให้ใครบางคนใช้โอกาสนี้ยึดครองเมืองหลวง
พระโพธิสัตว์สำนักพุทธทั้งสามองค์ยังไม่ปรากฏตัว
หวางเจินเหวินดูจริงจัง
“ให้หยางกงใช้ยันต์หยกส่งตัวไปเล่ยโจวก่อน ส่วนท่านราชครู…ผู้นำเต๋าลั่วจะยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงชั่วคราว เมื่อพระโพธิสัตว์สำนักพุทธปรากฏตัวขึ้น ท่านราชครูจะได้ให้การสนับสนุนอย่างรวดเร็ว”
เว่ยเยวียนไม่ได้ขัดจังหวะ ไม่มีข้อกังขากับการเตรียมการของหวางเจินเหวิน
สิ่งที่ต้องระวังตอนนี้คือพระโพธิสัตว์สำนักพุทธเข้าโจมตีเมืองหลวง แต่สำนักพ่อมดมิได้กังวล เพราะสำนักพุทธไม่ได้มีแนวคิดเรื่อง ‘ถ้ำ’ อีกแล้ว และเทพพ่อมดแห่งสำนักพ่อมดก็ยังไม่ถูกปิดผนึก
ในช่วงนี้สำนักพุทธอาจไม่แยแสศิษย์ร่วมสำนัก แต่สำนักพ่อมดยังไม่กล้าตายตกตามพวกเขา
จ้าวโส่วโบกแขนเสื้อและส่งเสียงดังเปี่ยมพลัง
“หยางกงจะอยู่เคียงข้างข้า”
ลำแสงแจ่มชัดปรากฏขึ้นด้านข้าง เป็นกรอบโครงร่างคร่าวๆ ของฆราวาสจื่อหยาง หยางกง
เขาสวมชุดทางการสีแดงเข้มและทำงานในที่ทำการปกครอง
“. . .”
ถึงพวกเขาจะเคยเห็นวรยุทธ์ลัทธิขงจื๊อหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้ว แต่รูปแบบ ‘ทำตามที่พูด’ นี้ก็ยังทำให้ทั้งสามคนในห้องโถงพูดไม่ออกเพราะหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
“ท่านเจ้าสำนักศึกษา?”
หยางกงมองไปรอบๆ เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของทุกคน จึงขมวดคิ้วนิ่วหน้าทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
จ้าวโส่วเล่าให้เขาฟังสั้นๆ ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้หยางกงขมวดคิ้วมากขึ้นด้วยความหนักใจ
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยวาจาแสดงความจริงใจ
“ขอบคุณท่านมาก”
ตอนที่นางศึกษาอยู่ในสำนักอวิ๋นลู่ นางเป็นลูกศิษย์ของฆราวาสจื่อหยาง
หยางกงพยักหน้าและกำลังจะรับคารวะ แต่จู่ๆ ลำแสงแจ่มชัดก็พุ่งออกจากแขนเสื้อเขาและกระแทกศีรษะฮว๋ายชิ่งอย่างจัง
ฮว๋ายชิ่งตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง อาศัยสัญชาตญาณจอมยุทธ์ เอื้อมมือไปคว้าลำแสงแจ่มชัดนั้น เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็เห็นว่ามันเป็นไม้บรรทัด
นางจ้องมองหยางกงด้วยความประหลาดใจ
‘ต้องการลอบสังหารจักรพรรดิรึ?’
หยางกงถอนหายใจ
“ฝ่าบาท อย่าเรียกขานข้าว่าท่าน เมื่อเรียกข้าว่าท่าน ก็อย่าพูดคำเช่น ‘ขอคำแนะนำ’ หรือ ‘ช่วยข้าด้วย’ ”
เขาโบกมือและเอาไม้บรรทัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ
แล้วจึงอธิบายว่า
“ข้าอุตส่าห์เพียรใช้คัมภีร์สามอักษรฟูมฟักสั่งสอนมาตั้งแต่เยาว์วัย ดังสุภาษิตว่า เป็นความผิดของบิดาที่สอนไม่ดีและเป็นความเกียจคร้านของอาจารย์ที่ไม่สอนอย่างเคร่งครัด”
‘แล้วท่านตีนักเรียนทันทีที่เห็นเลยรึ?’ ฮว๋ายชิ่งเม้มปากพูดน้ำเสียงจริงจัง
“นับว่ามีความรับผิดชอบสูง!”
…
หยางกงยิ้มให้อย่างขมขื่น “ข้าจะถือว่าเป็นคำชมอย่างจริงใจจากฝ่าบาทแล้วกัน”
เขารู้ว่าเวลากำลังจะหมดลง ดังนั้นเขาจึงไม่พูดมาก โบกแขนเสื้อ เลียนแบบการกระทำของจ้าวโส่วเมื่อครู่แล้วพูดเสียงดัง
“ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์รีบมาหาข้าทันที”
เพื่อประหยัดเวลา เขาพยายามอัญเชิญมงกุฎขงจื๊อต่อ
แต่ไม่มีการตอบสนอง
ทุกคนมองไปที่ฆราวาสจื่อหยาง หยางกงหน้าแดงและพูดทันทีว่า
“ข้าก็อยู่ในสำนักอวิ๋นลู่”
ลำแสงแจ่มชัดส่องขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้าเขาแล้วก็อันตรธานหายไป
…
‘เปรี้ยง!’
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าเสินซูระเบิดออก ก้อนดินปลิวไปพร้อมกับเศษเลือดเศษเนื้อ ทำให้เกิดพื้นที่สุญญากาศเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจั้ง
ส่วนตัวเขาเองก็ปลิวไปเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ความเร็วสูงพุ่งเข้าหาพระพุทธเจ้า
ด้านหลังพระพุทธเจ้าทางเบื้องขวา มีร่างธรรมมายาปรากฏขึ้นแล้วแวบหายไปทันที เหลือเพียงเสินซูผู้เดียวเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ
ทันใดนั้น ก็ปรากฏรูปพระพุทธเจ้าขึ้นด้านหลังเสินซู มีร่างธรรมวชิระอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและพลังความแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังทางด้านซ้าย
แขนทั้งสิบสองคู่ยกขึ้นพร้อมกัน
‘เคร้ง!’
เกิดเสียงดังเหมือนตีเหล็ก เสินซูโซเซกลับไปด้านหลัง เลือดเนื้อใต้พระบาทของพระพุทธเจ้ากระเพื่อมเหมือนดังคลื่นน้ำ หักล้างพลังหมัดเทพยุทธ์ครึ่งก้าวจนหมดสิ้น
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงถอยกลับ เบื้องหลังมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอีก เป็นร่างธรรมเมตตามหานิยม
บทสวดภาษาสันสกฤตดังก้องไปทั่วโลก ขจัดความโกรธความเกลียดชังทั้งปวงหมดสิ้น
‘แกรก แกรก…’ กงล้อสีทองหมุนไปในทิศทางตรงกันข้ามและคำจารึกพุทธะสีทองสามคำเขียนว่า ‘อสุรา’ ก็สว่างขึ้น
กลิ่นอายของเสินซูลดฮวบลงทันทีจนรู้สึกได้ ทว่าผิวกายสีเข้มของเขากลับโดดเด่นขึ้น ตอนแรกศีรษะของเขากลายเป็นภาพลวงตา จากนั้นแขนขวาของเขาก็กลายเป็นภาพลวงตา แล้วพลังของวงล้อก็หมดลง
ร่างธรรมมหาสังสารวัฏย้อนกลับย่อมหมายถึงการทำให้เสินซูอ่อนแอลงสู่สถานะในอดีต ในทางกลับกัน หากหมุนไปข้างหน้าก็ย่อมเป็นการก้าวไปสู่อนาคต
อายุขัยของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวนั้นไร้ที่สิ้นสุด หมุนไปข้างหน้าเช่นไรก็ไร้ความหมาย
และเสินซูเพิ่งหวนคืนจุดสูงสุดของตัวเอง ดังนั้นการหมุนย้อนกลับพึงทำให้เขาอ่อนแอลงอย่างเห็นผล
ไกลออกไป กลิ่นอายของอาซูหลัวมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย เขาเองก็มาจากเผ่าอสุราด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ระยะทางจากที่นี่ไกลเกินไป และเขาอยู่ตรงสุดขอบพลังของร่างธรรมมหาสังสารวัฏผู้ยิ่งใหญ่
ความอ่อนแอไม่ใช่เรื่องร้ายแรง
ร่างธรรมอีกองค์หนึ่งที่อยู่เบื้องหลังพระพุทธเจ้าหลับตาอยู่ มือถือดอกไม้ทว่ารัศมีอันเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาที่อยู่ด้านหลังพระเศียรพลันกลับด้าน
ทันใดนั้นทั้งความแวววาวและมัวหมองก็พลันสูญสิ้นไปจากดวงตาของเสินซู ราวกับหลงลืมไปแล้วว่าเขาอยู่ในสถานที่เปี่ยมอันตราย
ระหว่างนี้เอง เบื้องหลังพระพุทธเจ้า มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่กอปรไปด้วยเลือดเนื้อสีแดงเข้มพลันอ้าปากขึ้นอีกครั้ง แล้วค่อยๆ พ่นดวงตะวันสีทองขนาดเล็กออกมา
แสงพุทธะเข้าห่อหุ้มโลก
ดวงตะวันสีทองขนาดเล็กจิ๋วเหล่านี้มาบรรจบกันที่เงาดำเบื้องหลังพระเศียรของพระพุทธเจ้าและมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ แสงพุทธะสาดส่องไปทั่วโลก แม้กลางคืนยังกลับกลายเป็นกลางวัน
หากร่างธรรมอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งเก้าร่างมารวมกันจะน่ากลัวขนาดไหน
หลี่เมี่ยวเจินกับนักบวชเต๋าจินเหลียนรีบวิ่งออกไป ยกมือขึ้นในลักษณะเดียวกัน และหมุนตามเข็มนาฬิกาไปทางเสินซูแต่ไกล
พวกเขาส่งพรอันล้ำลึกเข้าไปในตัวเสินซูโดยแลกกับการทำให้พรของพวกเขาอ่อนแอลง
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของคนทั้งสองพลันเปล่งประกายแสงสีทอง พยายามใช้พลังของเทพเจ้าหยางเพื่อปลุกเสินซู
แต่พลังของเทพเจ้าหยางกลับถูกขจัดหมดสิ้นและบริสุทธิ์ด้วยแสงพุทธะ จึงไม่บังเกิดผลใด
“วรยุทธ์นั้นไร้ประโยชน์ เราต้องหาทางอื่น!”
ฉู่หยวนเจิ่นพูดเสียงอ่อย
“เมี่ยวเจิน ขอยืมกระบี่บินทีสิ”
กระบี่ของเขากร่อนทำลายภายใต้บารมีของพระพุทธเจ้า
ทันทีที่เขาพูดจบ ดาบบินคุณภาพเยี่ยมจำนวนหนึ่งก็บินไปให้ฉู่หยวนเจิ่นเลือกตรงหน้า
ไม่ใช่อาวุธเวทมนตร์ของหลี่เมี่ยวเจิน แต่เป็นของซุนเสวียนจี
‘ด้ามเดียวก็พอแล้ว’…ฉู่หยวนเจิ่นคว้ามาด้ามหนึ่งแล้วใช้มือซ้ายแตะกระบี่
ทันใดนั้นกระบี่ก็เผยอารมณ์รุนแรง ความโลภ ความโกรธ ความหลงใหล ความรักและความชั่วร้ายออกมาให้เห็น ราวกับว่าเป็นการรวมตัวกันของสันดานมนุษย์ที่อยู่ในโลกใบนี้
นี่คือไฟแห่งกรรมที่ฉู่หยวนเจิ่นจงใจถามลั่วอวี้เหิงก่อนการเดินทางและผนึกไว้ภายในร่างกายเขา หากใช้พลังนี้ให้เป็นประโยชน์ พลังกระบี่ของเขาอาจไปถึงระดับเหนือมนุษย์ได้ชั่วครู่ชั่วคราว
ฉู่หยวนเจิ่นขว้างกระบี่บิน แต่เป้าหมายไม่ใช่พระพุทธเจ้า หากเป็นเสินซู
เขาต้องการใช้ความแข็งแกร่งของไฟแห่งกรรมเพื่อปลุกเสินซู
ไฟแห่งกรรมไม่ใช่ทั้งวรยุทธ์วิเศษหรือองค์ประกอบธาตุฟ้าดิน
กระบี่บินกลายเป็นกระแสแสง เหมือนเส้นบางๆ ที่ส่องแสงกระทบหลังของเสินซู
แต่ในขณะนี้ สีสันของท้องฟ้าและแผ่นโลกพลันจางหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างภายในระยะร้อยจั้งจากเสินซูกลับกลายเป็นสีขาวและสีดำ
ขอบเขตไร้สีของหลิวหลี
กระบี่บินแข็งค้างอยู่ในอาณาเขตนั้น จากนั้นก็ตกลงไปเสียงดังกราว
ในเวลานี้ ดวงตะวันเบื้องหลังพระเศียรของพระพุทธเจ้ามีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าสิบเมตรแล้วและผิวกายภายนอกเสินซูก็เริ่มละลาย
ท่าทีของฉู่หยวนเจิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘เคร้ง!’
ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้น เสียงระฆังดังจนหูแทบหนวก ทำให้ปราณโลหิตพลุ่งพล่าน จิตเดิมสั่นไหว
หลี่เมี่ยวเจินตกใจยิ่งนักเมื่อรู้ว่า ในขณะนี้แม้แต่นางซึ่งเป็นเทพเจ้าหยางลัทธิเต๋ายังออกอาการทางร่างกาย
ซุนเสวียนจีเป็นผู้ตีระฆัง เขาถือค้อนทองเหลืองแกะสลักลวดลายไว้ในมือ มีระฆังทองสัมฤทธิ์สูงสองช่วงตัวลอยอยู่ข้างหน้าเขา
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง…’
ซุนเสวียนจีตีระฆังทองสัมฤทธิ์ด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี ทุกครั้งที่เขาตี ระลอกแสงแจ่มชัดจะกระเพื่อมตามเสียงระฆัง ลวดลายที่สลักไว้บนตัวระฆังจะสว่างวาบทันทีและมีสัญญาณบางอย่างปรากฏขึ้น
โลหิตไหลออกมาจากตา หู จมูกและมุมปากของเขา แต่ค้อนทองเหลืองในมือเขาไม่เคยหยุดนิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ม่านตาของเสินซูก็ขยับเล็กน้อย แสดงให้เห็นสัญญาณการตื่น
ร่างธรรมมหาสังสารวัฏรุ่งโรจน์เปล่งปลั่งฉายแสงสุกใสแรงกล้า ล้อไฟด้านหลังพระเศียรร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถเร่งรีบหวนคืนสู่สภาพเดิม ร่างธรรมเมตตามหานิยมขยับพระโอษฐ์ขมุบขมิบ แว่วเสียงบทสวดภาษาสันสกฤตค่อยๆ ดังก้องหล้า กลบเสียงระฆังเสียสิ้น
ร่างธรรมมหาสุริยาสังสารวัฏเบื้องหลังพระเศียรพระพุทธเจ้าเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ และขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งขยายขนาดออกไปมากเท่าใดก็ยิ่งทำลายพลังชีวิตของเสินซูให้เสื่อมถอยรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
“เสียงระฆังนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า”
จู่ๆ ก็เหมือนมีเสียงสวดมนต์ดังก้องอยู่ในหูทุกคน
ลำแสงแจ่มชัดที่ส่องมาแต่ไกลสว่างวูบแล้วดับลง ในที่สุดหยางกงปราชญ์คนที่สองผู้สวมมงกุฎขงจื๊อก็มาถึงสนามรบ
‘เคร้ง!’
เสียงระฆังดังก้องตราบฟ้าจรดดินราวกับสายฟ้าฟาดจากเบื้องบน
เขย่าจิตเดิมของฉู่หยวนเจิ่นกับเหิงหย่วนออกจากร่างกายทันที ตู้เอ้อร์กับอาซูหลัวที่นั่งขัดสมาธิประสานมือพยายามใช้ทักษะวิชาฉานเข้าต่อต้าน
นักบวชเต๋าจินเหลียนกับหลี่เมี่ยวเจินอาศัยพลังของเทพเจ้าหยางอันทรงพลานุภาพเข้าต้านทานเสียงระฆัง แต่กลับรู้สึกหัวหมุนเวียนศีรษะคลื่นไส้อาเจียน
ค้อนทองแดงในมือซุนเสวียนจีร่วงหล่น ร่างของเขาตกลงมาจากท้องฟ้า กระทั่งจิตเดิมของเขาก็ยังสั่นคลอนไม่แพ้กัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หยางกงก็ยกมือขึ้นรองรับร่างของฉู่หยวนเจิ่นกับซุนเสวียนจีแต่ไกล
ในอีกด้านหนึ่ง เสินซูขยับหูเล็กน้อย เสียงระฆังยังดังก้องอยู่ในใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหลุดพ้นจากวรยุทธ์ควบคุมต่างๆ ทันที ได้สติและตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง
ข้างหน้าคือดวงตะวันที่เพิ่งควบแน่นเสร็จ
ดวงตะวันอันยิ่งใหญ่ดวงนี้ค่อยๆ ลุกขึ้นและชนเข้ากับเสินซูด้วยความเร็วที่ดูเหมือนช้า แต่จริงๆ แล้วรวดเร็วยิ่งนัก
ร่างธรรมสำคัญอื่นๆ อีกหลายร่างก็มิได้เกียจคร้าน ยังพยายามใช้พลังอำนาจของตนต่อไปเพื่อ ‘กีดกัน’ ไม่ให้เสินซูฟื้นคืนสติอีกครั้ง
“เคาะต่อไป!”
หยางกงตะโกนขณะที่ยังกระอักโลหิตออกมาเต็มปาก
ผลข้างเคียงจากวรยุทธ์มิใช่ปัญหาใหญ่
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอื้อมมือหยิบค้อนทองแดงขึ้นมาแล้วฟาดไปที่ระฆังอย่างจัง
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง…’
เสียงระฆังดังก้องไปทั่วทุกมุมโลก ช่วยให้เสินซูมีสติมั่นคงไม่ว่อกแว่กพร้อมต่อต้านผลกระทบจากร่างธรรม
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวส่งเสียงคำรามลึกๆ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ขยายออกจนกลายเป็นร่างธรรมแห่งความมืดสูงสามสิบจั้ง แขนอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อทั้งสิบสองคู่ของเขากางออกแล้วยกขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วลากมันลงมา หยุดยั้งร่างธรรมมหาสุริยาสังสารวัฏไว้
…
โพ้นทะเล
จิ้งจอกเก้าหางยืนอยู่บนทะเล มีซากปลาซากกุ้งทุกชนิดลอยเกลื่อนรอบตัว หนาแน่นจนแทบปกคลุมทั่วท้องทะเล
เท่านั้นยังไม่พอ ยามนี้คลื่นค่อยๆ สงบลง แต่ยามเมื่อถึงจุดสูงสุด คลื่นยักษ์สูงหลายร้อยเมตรพลันยกตัวขึ้นจากท้องทะเล ซัดสาดซากสัตว์ทะเลลูกแล้วลูกเล่าออกไป
‘มันจบแล้ว’…นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรออยู่บนผิวน้ำทะเลเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ ก่อนที่นางจะเห็นชายผู้น่ารังเกียจคนนั้นวิ่งหนีไป จิ้งจอกก็รู้ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว
เขาบิดเอวทันทีและพุ่งเข้าไปในซากปลาซากกุ้ง
หางทั้งแปดนั้นขยับราวกับหนวดคอยลูบไล้กายา ผลักนางให้ดำดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว แสงเหนือศีรษะนางค่อยๆ จางหายไป จิ้งจอกเก้าหางสะบัดนิ้วซัดแสงสีขาวสองสามดวงออกมา พวกมันขดตัวขึ้นลงดังความตั้งใจ
ส่องผืนน้ำที่มืดมนให้สว่างไสว
หลังจากดำลงไปเป็นเวลานาน ไฟจิ้งจอกก็ฉายแสงส่องไปโดนสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ มันมีขนาดกว้างขวางคาดประมาณไม่ถูก เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้ว พื้นที่ที่ไฟจิ้งจอกส่องแสงใส่นั้นนับเป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง
จิ้งจอกเก้าหางกวาดจิตเทพไปมาและมองเห็นสวี่ชีอันในตาข้างหนึ่งของสัตว์ประหลาด
นางรวบรวมไฟจิ้งจอกทั้งหมดส่องร่างของฆ้องเงินสวี่
ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า ปราศจากขนแม้เพียงสักเส้น กล้ามเนื้อคล้ายดังหินอัคนีสัดส่วนกระชับ แขนขาครบสมบูรณ์ไม่มีอาการบาดเจ็บ
นี่เป็นเรื่องเข้าใจได้ สำหรับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง หากมีอาการบาดเจ็บใดๆ ย่อมฟื้นตัวได้ทันทีเว้นแต่ร่างกายจะสิ้นชีพ
แต่ทว่ากลิ่นอายของเขากลับอ่อนลงอย่างยิ่ง อ่อนจนจิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่านางสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ต่ำทรามผู้นี้ได้
“นี่ มาทำหน้าเหมือนพวกอันธพาลได้อย่างไร? ปิดไฟซะ”
ฆ้องเงินสวี่เป็นคนดี ดังนั้นเขาจึงหันข้างเพื่อไม่ให้นางเห็นสมบัติชิ้นใหญ่ของเขา
จิ้งจอกเก้าหางพูดด้วยความโมโหโกรธา
“ดูสิว่าเจ้าภูมิใจขนาดไหน”
“ดูดซับแก่นแท้ของผู้อื่นอย่างรวดเร็ว ดูสิว่าเจ้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวหรือไม่?”
นางตั้งตารอจะได้เห็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวมาจุติ
……………………………………….
……….