ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 878 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (2)
บทที่ 878 เทพยุทธ์ครึ่งก้าว (2)
Ink Stone_Fantasy
แขนสิบสองข้างของร่างธรรมแห่งความมืดยกร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรขึ้น ราวกับยักษ์ในตำนานปรัมปราผู้ถือดวงอาทิตย์
ภาพนี้ส่งผลโจมตีต่อดวงตาเป็นอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าผลกระทบต่อดวงตานั้น คือพลังการเผชิญหน้าที่ระเบิดออกมาของทั้งสองฝ่าย แขนสิบสองข้างมีพลังแปลกประหลาดน่าสะพรึงพลุ่งพล่านออกมา มันกดดันดวงอาทิตย์สีทองและพยายามบดขยี้ให้ดับ
ร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรยังคงปล่อยพลังชำระล้างสรรพสิ่งออกมา เพื่อทำให้กายเนื้อไปจนถึงวิญญาณของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวระเหยและสลายไปด้วยกัน
พลังปราณของจอมยุทธ์และแสงธรรมของร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรสอดประสานและพัวพันเข้าด้วยกัน ก่อนจะกลายเป็นลมพายุที่พัดทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างแล้วสร้างความหายนะไปทั่วทุกสารทิศ
เลือดเนื้อสีแดงเข้มที่ปกคลุมทั้งแผ่นดินราวกับตะกอนถูกขูดออกมาทีละชั้นๆ จากนั้นภายในระยะร้อยเมตรจากใต้เท้าของเสินซูก็ไม่มีสสารเลือดเนื้ออีกเลยแม้แต่ครึ่งนิ้ว
ตอนนี้ ‘กายเนื้อ’ ของพระพุทธเจ้าไม่อาจเข้าใกล้เสินซูได้
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง!’…
นักบวชเต๋าแมวส้มเคาะระฆังทองสัมฤทธิ์ด้วยแรงทั้งหมดที่มี เสื้อคลุมนักบวชเต๋าพลิ้วไหวรุนแรง ปิ่นปักผมก็หลุดร่วงจนทำให้ผมสีขาวยวงปลิวไสวอยู่ท่ามกลางสายลม
หยางกงที่สวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอกเสกวิชาออกมาเพิ่มพลังของเสียงระฆัง
เสียงระฆังเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น สิ่งที่สามารถต้านทานการควบคุมจากร่างธรรมพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริงนั้น ยังคงเป็นจิตเดิมอันแกร่งกล้าของตัวเสินซูอยู่ดี
ฉู่หยวนเจิ่นสังเกตการณ์สนามรบอย่างใกล้ชิด พลางหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาส่งข้อความ
‘ฆราวาสจื่อหยางมาแก้วิกฤตฉุกเฉินให้เราได้พอดี เพียงแต่ ไต้ซือเสินซูอาจจะเอาชนะพระพุทธเจ้าไม่ได้’
เขากล่าวได้ค่อนข้างมีไหวพริบยิ่ง
ไม่ว่าใครต่างก็สัมผัสได้ว่า ถึงแม้จะเป็นเสินซูที่อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพระพุทธเจ้าก็ยังมีความต่างอยู่บ้าง
ภายในพระราชวัง ฮว๋ายชิ่งอ่านดูข้อความพลางบีบนวดหว่างคิ้วไปด้วย นางไม่ได้ตอบข้อความของฉู่หยวนเจิ่นเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“เว่ยกง ขุนนางจ้าว ขุนนางหวาง พวกท่านทั้งสามมีแผนการดีๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงในวันนี้หรือไม่?” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ครั้งนี้แม้แต่เว่ยเยวียนผู้รอบรู้ก็ยังจนปัญญา
เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
“ทำให้ดีที่สุด แล้วแต่ฟ้าลิขิต”
หวางเจินเหวินเอ่ยเสริมในรายละเอียดว่า
“ส่งคำสั่งไปทันที ให้สมุหเทศาภิบาลแห่งเหลยโจวเรียกตัวขุนนางจากแต่ละเมืองแต่ละมณฑล มารอพยพชาวบ้านในเหลยโจวไปทางตะวันออก อพยพได้มากเท่าไหร่ก็เท่านั้น หากเสินซูพ่ายแพ้ พวกเราก็รอดูอย่างเงียบๆ ว่าพระพุทธเจ้าจะกลืนกินภาคกลางอย่างไร และกลืนกินได้เร็วแค่ไหน เมื่อถึงตอนนั้นเราค่อยหารือแผนการรับมือ นอกจากนั้นให้ส่งคนไปนอกทะเลแล้วพาตัวฆ้องเงินสวี่กลับมา ตอนนี้ต้าฟ่งต้องการพลังต่อสู้ของเขาอย่างเร่งด่วน”
จ้าวโส่วถอนหายใจ
“ยังไม่เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ก็เกรงกว่าจะต่อกรกับพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้คงทำได้เพียงก้าวหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าว จนปัญญาจริงๆ”
ฮว๋ายชิ่งส่งเสียง ‘อืม’ แล้วส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว
หมายเลขหนึ่ง ‘เราจะสั่งให้สมุหเทศาภิบาลเหลยโจวอพยพชาวบ้านที่เหลยโจวทันที ขอให้ทุกท่านพยายามรั้งพระพุทธเจ้าไว้อย่างสุดกำลังเพื่อยื้อเวลาไว้ นักบวชหลานเหลียน เจ้ารวดเร็วที่สุด ดังนั้นรีบออกทะเลไปตามหาสวี่ชีอันกลับมาทันที’
สวี่ชีอันอยู่นอกทะเล ห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่อาจใช้การติดต่อจากหนังสือปฐพีได้
สิ่งที่หลี่เมี่ยวเจินต้องทำจริงๆ ไม่ใช่การตามหาสวี่ชีอันที่อยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ แต่เป็นการทำให้ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเขาเข้ามาอยู่ในขอบเขตการส่งข้อความอีกครั้ง จากนั้นค่อยบอกเล่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงในจิ่วโจวกับเขา
หมายเลขสาม ‘เข้าใจแล้ว’
หลี่เมี่ยวเจินรู้ถึงเหตุผลที่ฮว๋ายชิ่งเลือกให้นางออกทะเล เนื่องจากสายของนางซ้อนทับกับนักบวชเต๋าจินเหลียน เพิ่มนางอีกหนึ่งคนไม่ถือว่ามากขึ้น หรือลดนางไปคนหนึ่งก็ไม่ถือว่าน้อยลง
ส่วนพระอรหันต์ตู้เอ้อร์กับไต้ซือเหิงหย่วน รวมถึงอาซูหลัวนั้น ถึงแม้จะมีการซ้อนทับด้านสายการฝึกตน แต่ตอนนี้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เป็นที่นิยมยิ่ง ถ้าให้เขาออกปฏิบัติการคนเดียวก็อันตรายเกินไป อีกทั้งเขาก็ไม่มีชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
ไต้ซือเหิงหย่วนอยู่ขั้นสี่ ทำได้เพียงระเบิดพลังแห่งการเข่นฆ่าออกมาในช่วงสั้นๆ เท่านั้น การให้ขั้นสี่หนึ่งคนออกทะเลจะเป็นการบีบคั้นเขาเกินไป
อาซูหลัวคือชั้นยอดในหมู่ขั้นสองสูงสุด เขาเป็นพลังต่อสู้แสนสำคัญ มิอาจขาดเขาไปได้
ดังนั้น หลี่เมี่ยวเจินผู้เชี่ยวชาญการเดินทางด้วยกระบี่บินและไปมาราวกับสายลมก็คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินรู้สถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างดี นางรับภารกิจทันที แล้วกลายเป็นจุดแสงพุ่งไปทางใต้โดยไม่แม้แต่จะบอกกล่าวเพื่อนร่วมรบ
‘ปัง!’
เสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้น ระฆังทองสัมฤทธิ์ตรงหน้านักบวชเต๋าจินเหลียนระเบิดเป็นผุยผง
หลี่เมี่ยวเจินหันกลับไปมองทันที เห็นภาพโดยรอบเปลี่ยนจากสีสันกลายเป็นขาวดำ เห็นพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่ทำลายระฆังทองสัมฤทธิ์ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้านักบวชเต๋าจินเหลียน แล้วยื่นดาบหยกในมือไปฟันคอของนักบวชเต๋า
มองเห็นเจียหลัวซู่ปรากฏตัวในโลกอันไร้สีสัน แล้วจับตัวพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่ยากจะเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
มองเห็นเงาร่างภิกษุหนุ่มของพระโพธิสัตว์กว่างเสียนยืนอยู่ที่ไกลๆ แล้วมองภาพทั้งหมดนี้ด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง
พระโพธิสัตว์สามคนลงมือแล้ว
การปรากฏตัวของผู้ฝึกร่างธรรมมาอย่างไร้ร่องรอยและลอบโจมตีทุกคนโดยที่ตั้งตัวไม่ทัน
ทั้งยังมีเหตุผลยิ่งที่ไม่ได้ลงมือกับอาซูหลัว ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วน
เพราะทั้งสามคนนี้ล้วนมีสัญชาตญาณระวังภัยของจอมยุทธ์อยู่
ส่วนขั้นสองที่ไม่มีสัญชาตญาณระวังภัยนั้น จะหลบหนีการลอบโจมตีของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้อย่างไร
‘ไม่…’ ม่านตาของหลี่เมี่ยวเจินหดเกร็ง ลำแสงจากกระบี่บินพลันหยุดลงกะทันที
…
สัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์ลอยอยู่บนผิวทะเลไปตามคลื่น
รูปร่างหน้าตาของมันไม่ต่างจากปลาหมึกยักษ์มากนัก แต่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำมะเมื่อม บริเวณหลังศีรษะปกคลุมด้วยชุดเกราะมีเขาที่ดูเหมือนกระดองเต่า แต่มองก็รู้ว่าเป็นวัตถุที่มีพลังป้องกันแกร่งกล้านัก
วันเวลานับอสงไขยผ่านไป ร่างกายนี้ยังคงไม่เน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยปราณชีวิตอันอุดมสมบูรณ์
หลังจากมาถึงระดับหนึ่งแล้ว กายเนื้อและจิตเดิมก็จะกลายเป็นสองอย่างที่ต่างกัน แม้จิตเดิมสลายไป แต่ปราณชีวิตของร่างกายจะไม่หายไปด้วย
ตัวอย่างเช่นจอมยุทธ์ขั้นสอง แม้ว่าวิญญาณจะแตกฉานซ่านเซ็นแล้ว แต่กายเนื้อก็ยังมีพลังชีวิตอันมหาศาลอยู่ จนกระทั่งหลายสิบปีให้หลังจึงจะค่อยๆ เบาบางลง แต่ถ้าหากจะให้ปราณชีวิตสูญสลายไปโดยสมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาถึงร้อยปี
ส่วนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวนั้น โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นอมตะ ยิ่งอยู่เหนือระดับขั้นก็ยิ่งยากจะสังหารได้
แม้จะมีวันไหนที่ปราณชีวิตถูกทำลายลงจริงๆ ร่างกายและจิตเดิมก็จะเน่าเปื่อยไปพร้อมกัน จะไม่ทิ้งเปลือกร่างที่มีปราณชีวิตเอาไว้เปล่าๆ เพราะจิต ปราณ วิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นสูงสุดนั้นหลอมรวมกันเป็นหนึ่งมานานแล้ว
โชคดีที่แม้ว่าเทพมารบรรพกาลตนนี้จะมี ‘พลัง’ อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่จอมยุทธ์
ไม่อย่างนั้นวันนี้คงเป็นลาภปากของสวี่ชีอันไปแล้ว
หลังจากพาร่างของหมึกยักษ์มายังผิวทะเล สวี่ชีอันก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา ลูกกระเดือกของเขาขยับแล้วคาบกระจกหยกออกมา
‘เคร้ง!’
ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับด้านหลังของหนังสือปฐพี จากนั้นแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีใสก็บินออกมาทีละแผ่นๆ และลอยอยู่กลางอากาศ
มีแผ่นทองแดงทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดแผ่น โดยแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมแต่ละแผ่นล้วนมีขนาดใหญ่เท่าโต๊ะกลม บนนั้นสลักลวดลายยุ่งเหยิงเอาไว้ บ้างก็เหมือนลูกอ๊อด บ้างก็มีเส้นสลับกัน บ้างก็เหมือนเปลวไฟหยาบๆ และละอองน้ำ…
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลวดลายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ และถูกจัดเรียงในรูปแบบแปลกประหลาดซึ่งแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินบางอย่าง
‘นี่คือแผ่นกลเวทที่สามารถปลอมแก่นของยอดฝีมือขั้นหนึ่งออกมาได้…’ จิ้งจอกเก้าหางบนท้องฟ้าสูงเบิกตาโตและพยายามจดจำรูปแบบของแผ่นทองแดงแปดเหลี่ยมเอาไว้
“ถ้าเจ้าอยากได้ ไว้ใช้เสร็จแล้วข้าจะมอบกระจกทองแดงให้เจ้า”
สวี่ชีอันที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนผิวทะเลเอ่ยยิ้มๆ
“คนกันเองทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจไป”
“ได้ๆ…” จิ้งจอกเก้าหางก็ไม่ใช่สตรีในห้องหอที่เอาแต่เก็บตัวอยู่แล้ว
สวี่ชีอันไม่พูดอะไรอีก เขานั่งขัดสมาธินิ่งๆ แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นมากลางอากาศ
แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นกระจายตัวออกจากนั้นก็ตกลงมายังบริเวณต่างๆ แล้วลอยอยู่เหนือตัวหมึกยักษ์ เบื้องล่างของสวี่ชีอัน
จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกว่าจุดที่แผ่นทองแดงลอยไปสถิตอยู่นั้นดูมีกฎเกณฑ์อย่างยิ่ง มันแฝงไว้ถึงความลึกลับของห้าธาตุและหยินหยาง แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นประกอบกันเป็นสัญลักษณ์แปดทิศขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง
‘หวึ่ง…’
แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นหมุนตามเข็มนาฬิกาจนก่อให้เกิดคลื่นแสงสีใสเป็นวงๆ
ตอนแรกยังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ จิ้งจอกเก้าหางก็มองเห็นละอองแสงสีแดงชาดลอยออกมาจากในร่างของหมึกยักษ์อย่างช้าๆ ยิ่งหากมองให้ละเอียดขึ้นไป ละอองแสงเหล่านั้นประกอบขึ้นจากลวดลายที่บิดเบี้ยว
พวกมันคล้ายกับลวดลายที่ประทับอยู่บนหนวดของหมึกยักษ์เป็นอย่างยิ่ง
นี่คือหลิงอวิ้นของเทพมารบรรพกาล
หลิงอวิ้นถูกลอกออกมาแล้วไปรวมตัวกันที่แผ่นทองแดง หลังจากละอองแสงเล็กๆ เหล่านี้ถูกกรองด้วยแผ่นทองแดง พวกมันก็ลอยขึ้นต่อไปแล้วเข้าสู่ร่างกายของสวี่ชีอัน
ผิวของสวี่ชีอันปรากฏลวดลายบิดเบี้ยวสายแล้วสายเล่า นั่นคือหลิงอวิ้นของปลาหมึกยักษ์
พลังของเทพมารนั้นมาจากหลิงอวิ้น และหลิงอวิ้นจากเศษซากร่างกายของเทพมารบรรพกาลก็กำลังเคลื่อนเข้าสู่ร่างกายของสวี่ชีอันทีละนิดๆ
พวกมันถูกจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแห่งต้าฟ่งช่วงชิงไปแล้ว
แผ่นทองแดงหนึ่งร้อยแปดแผ่นขุดลอกหลิงอวิ้นของปลาหมึกยักษ์ออกมาไม่หยุด
ด้านหลังของเสินซูมีปากโผล่ขึ้นมาแล้วค่อยๆ พ่นพลังปราณออกมา
‘แคร่ก!’ …เขตแดนไร้ลักษณ์ของพระโพธิสัตว์หลิวหลีแตกสลายทันที
ในช่วงวิกฤต เสินซูจำเป็นต้องยื่นมือช่วยเหลือ แต่ก็จำกัดอยู่เพียงแค่การพ่นพลังปราณออกมาเพื่อทำลายเขตแดนแข็งแกร่งนั่นเท่านั้น
“ในที่สุดพวกเจ้าก็มาแล้ว”
อาซูหลัวถอนหายใจออกมา ดวงตาคมกริบภายใต้โหนกคิ้วกวาดมองพระโพธิสัตว์ทั้งสาม
“ควรจะให้มดปลวกอย่างพวกเจ้าได้โดดเด่นบ้างใช่หรือไม่”
“รีบไป!”
เขาไม่ลืมส่งเสียงทางจิตไปบอกหลี่เมี่ยวเจิน
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถามด้วยรอยยิ้ม
สีหน้าของพวกหยางกงเคร่งเครียดยิ่ง พวกเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กันและกันยิ่งขึ้น
จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งสามคือขั้นสองจากสายการฝึกตนที่ต่างกัน สามารถร่วมมือกันยื้อยุดกับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งแห่งสำนักพุทธได้
ตอนนี้เมื่อพระโพธิสัตว์ทั้งสามรวมตัวกัน พวกเขาก็แทบไม่มีวี่แววจะชนะเลย
อีกด้านหนึ่ง ซ่าหลุนอากู่พลันดึงแส้ออกมาแล้วหัวเราะลั่น
“ดูละครเฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องยื่นมือไปยุ่งเรื่องของต้าฟ่งกับสำนักพุทธด้วยเล่า พระโพธิสัตว์ทั้งสามร่วมมือกัน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะสามารถต้านทานได้ ผู้นำทุกท่านจะต้องรักชีวิตให้มากๆ”
เขาเอ่ยขณะที่เหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ที่คิดจะเข้ามาช่วยเหลือ
ผู้นำเหล่านั้นพากันขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แม่ย่าเทียนกู่เหลือบมองซ่าหลุนอากู่แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“พ่อมดใหญ่วาจาสิทธิ์เป็นจริง ในเมื่อพ่อมดใหญ่อยากให้พวกเราดูละครเฉยๆ เช่นนั้นพวกเราก็ดูอยู่เฉยๆ เถอะ”
ทันใดนั้นพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้ยิ่งใหญ่ก็มองไปยังศีรษะที่อยู่ในมือ มันกลายเป็นแสงสีทองกระจายไปทั่ว
ส่วนร่างกายของนักบวชเต๋าจินเหลียนก็มีแสงแห่งธรรมอันนุ่มนวลสว่างขึ้น เขาอาบอยู่ท่ามกลางแสงธรรม จากนั้นที่ลำคอก็มีศีรษะงอกขึ้นมาใหม่
“ตถาคตเหนือความตาย!”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีเลิกคิ้วขึ้น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอย่างหาได้ยาก
“พวกเจ้าสังหารอรหันต์ตู้ฉิง ท่านโหราจารย์เคยรับปากแล้วว่าจะขังเขาไว้สามปีโดยไม่เอาชีวิตเขา”
นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มออกมา
“ท่านโหราจารย์รับปาก แล้วเกี่ยวอันใดกับอาตมาด้วย? ในช่วงชาติล่มสลายบ้านแตกสาแหรกขาด ชื่อเสียงของคนผู้หนึ่งจะถือเป็นอะไรได้”
ในบรรดากองกำลังหลักของผู้อยู่เหนือสามัญแห่งต้าฟ่ง อาซูหลัวและโค่วหยางโจวจะไม่มีวันตายอันเนื่องมาจากสายการฝึกตน
จ้าวโส่วก็มีดาบสลักและมงกุฎปราชญ์คุ้มครองชีวิต
มีเพียงผู้นำเต๋านิกายปฐพีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาเท่านั้นที่ไม่มีวิธีการรักษาชีวิตอะไรเลยสักอย่าง
เพียงแค่อาศัยผลสะท้อนของหนทางแห่งฟ้าจากการตกตายไปพร้อมกันมาข่มขู่ศัตรูอย่างเดียว… เนื่องจากการสังหารผู้มีโชควาสนาล้ำลึกนั้น จะนำไปสู่หายนะแห่งฟ้าได้
ตถาคตเหนือความตายของอรหันต์ตู้ฉิงคือสิ่งที่นักบวชเต๋าจินเหลียนใช้เพื่อคุ้มครองชีวิต ซึ่งสามารถป้องกันได้ทุกสรรพสิ่ง
สุดท้ายกลับได้ใช้ออกมาจริงๆ แล้ว
อีกด้านหนึ่ง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่อยู่ในมือของเจียหลัวซู่ก็สลายไปอย่างรวดเร็วและหายวับไปในชั่วพริบตา
นี่เป็นเพียงร่างปลอม เป็นร่างปลอมที่ถูกเรียกออกมาจากอรหัตผล
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ปรากฏตัวอยู่ข้างกายอาซูหลัว ตอนนี้มีเพียงจอมยุทธ์ภิกษุอสุราผู้หยาบกระด้างอย่างอาซูหลัวเท่านั้น ที่สามารถทำให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์รู้สึกปลอดภัยได้
“ตู้เอ้อร์!”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนส่ายหน้าอย่างผิดหวังก่อนถอนหายใจออกมา
“สำนักพุทธปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีมิใช่หรือ”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ประนมมือแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ในสายตาของอาตมา พวกท่านเป็นเพียงคนนอกรีต”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีแค่นเสียงเย็นชาและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“เหตุใดต้องเปลืองวาจาด้วย บี้มดปลวกสองสามตัวให้แหลก ไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากด้วยซ้ำ”
เท้าถูกยกขึ้นมาและกำลังจะเหยียบลง
หยางกงเอ่ยอย่างร้อนรน
“ถอยไปสามร้อยจั้ง”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีพลันหยุดยกเท้าแล้วเหยียบลงมา
ทิวทัศน์โดยรอบพลันไร้สีสันและกลายเป็นภาพขาวดำ
คาถาของหยางกงมิได้ไร้ประโยชน์ เพียงแต่สำหรับผู้ฝึกร่างธรรมแล้ว ระยะห่างสามร้อยจั้งสามารถไปกลับได้ภายในชั่วพริบตา
คนนอกถึงขั้นมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาเคยออกมาก่อน
เสินซูผู้ติดอยู่ในการต่อสู้อันแสนทรมานอ้าปากด้านหลังออกอีกครั้งแล้วเป่าพลังปราณออกไป
ครั้งนี้พระพุทธเจ้าไม่ยอมให้เขาได้ตามที่หวัง ร่างธรรมมัญชุศรีสองมือทำมุทราผนึกสนามรบผืนนั้นเอาไว้ ทำให้พลังปราณกระแทกกับสิ่งกีดขวางกลางอากาศ
พื้นที่ไร้สีเข้าปกคลุมพวกอาซูหลัวอีกครั้ง
และในตอนนี้เอง ทางทิศตะวันออกก็มีลำแสงสายหนึ่งสว่างขึ้น เมื่อมันปรากฏขึ้นมาก็ราวกับดวงดาวยามค่ำคืน ชั่วขณะต่อมาก็คล้ายดาวตกที่มาเยือนเพื่อฉีกพื้นที่หลิวหลีไร้สีออก
ปราณกระบี่พวยพุ่งเต็มจักรวาล!
“เทพเซียนเดินดินมา ทีนี้ก็น่าตื่นเต้นแล้ว” ซ่าหลุนอากู่เอ่ยยิ้มๆ
…
นอกทะเล
ซากร่างของเทพมารบรรพกาลหดเล็กจนไม่ถึงครึ่งของร่างเดิม
เมื่อหันกลับมามองสวี่ชีอัน ตอนนี้รูปลักษณ์ของเขาสูงใหญ่ร้อยจั้ง กล้ามเนื้อทั่วกายขยายจนใหญ่ยักษ์
ลวดลายบิดเบี้ยวแต่ละเส้นถูกพิมพ์ลงบนตัวของเขาราวกับลายสัก
จิ้งจอกเก้าหางหลับตาลง ไม่กล้ามองลวดลายหลิงอวิ้นที่ทำให้นางมึนหัวตาลายนี้อีก
ในสายตาของนาง สวี่ชีอันในตอนนี้คือสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ คือรูปลักษณ์ของ ‘พลัง’
รูปแบบลักษณะของแนวคิดที่เกี่ยวกับ ‘พลัง’ ที่ไม่ว่าใครก็จินตนาการออกล้วนสามารถหาดูบนร่างกายของเขาได้
สวี่ชีอันหลับตาแล้วสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายอย่างจริงจัง
หลังจากยึดหลิงอวิ้นของเทพมารบรรพกาล เขาก็ใกล้จะก้าวเข้าสู่ช่วงกลางแล้ว เขาสามารถทะลวงหน้าต่างกระดาษเพื่อเข้าสู่ช่วงกลางของขั้นหนึ่งได้อย่างราบรื่น จากนั้นก็ทะลวงจากขั้นกลางเข้าสู่ขั้นปลาย แต่นี่ยังไม่ถือว่าจบ
พลังยังคงเพิ่มพูนขึ้นจนเข้าใกล้ความสมบูรณ์มากเข้าไปอีก
แต่มันกลับหยุดลงที่ก้าวสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
เพราะจิต ปราณ วิญญาณของเขาเสียความสมดุลแล้ว
คำว่าสมดุลคือเคล็ดลับของจอมยุทธ์ มันคือรากฐาน
เมื่อเขากลืนกินหลิงอวิ้นของเทพมารบรรพกาล พลังปราณและเลือดลมก็จะพลุ่งพล่าน แล้วจิตเดิมของเขาก็จะไม่ได้รับการหล่อหลอม
ผลลัพธ์ของการเสียสมดุลก็คือธาตุไฟเข้าแทรกและตกสู่ทางมาร
เขาจะหยุดอยู่แค่ในระดับปัจจุบันและจะสูญเสียโอกาสในการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวไป
ในตอนนี้มีวิธีการสองอย่าง หนึ่งคือผนึกเลือดลมบางส่วน และรอให้จิตเดิมเพิ่มพูนขึ้นมาในอนาคตแล้วค่อยหลอมรวมอีกครั้ง
ส่วนวิธีที่สองคือเจือจางจิตเดิมแล้วผสานเข้าไปในปราณจิตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า
อย่างหลังใช้สำหรับการบังคับเลื่อนขั้น เทียบเท่ากับการไต่เส้นเชือกและมีความเสี่ยงที่จะเลื่อนขั้นล้มเหลวแล้วตกสู่ทางมาร
“จู่ๆ ข้าก็เข้าใจขั้นหลอมวิญญาณและความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเสินซูแล้ว”
ตอนนั้นที่เขาสิ้นชีพในอวิ๋นโจว เขาได้ไปพูดคุยกับเสินซูในส่วนลึกของสายธารแห่งปัญญา เสินซูในตอนนั้นกล่าวว่า
จอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณทั่วไปที่ทำการสำรวจเบื้องต้นจนถึงแค่ขีดจำกัด ถือว่าเป็นระดับต่ำ แต่หากทะลวงขีดจำกัดอย่างต่อเนื่องในสถานการณ์อับจนหนทาง ถือว่าเป็นระดับสูง
ส่วนผลลัพธ์จากการหลอมวิญญาณของสวี่ชีอันก็คือระดับสูง
สุดยอดเลยใช่ไหม? แลกชีวิตมาเลยนะนั่น
ระดับขั้นทั้งเก้าของจอมยุทธ์มีเพียงขั้นหลอมวิญญาณเท่านั้นที่ฝึกฝนจิตเดิมเป็นหลัก
สวี่ชีอันในขั้นนี้มีรากฐานที่มั่นคงมาก เขาแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ เป็นอย่างยิ่ง
หรือพูดอีกอย่างคือ จิตเดิมของเขายืดหยุ่นและแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์คนอื่น
ดังนั้นเขาจึงเลือกหนทางที่สอง นั่นก็คือเจือจางจิตเดิมเพื่อหลอมเข้ากับปราณจิตแล้วบังคับเลื่อนขั้น
จิตเดิมของเขาถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ แล้วผสานเข้ากับปราณจิตอันใหญ่โตโอฬาร ถ้าหากจิตเดิมก่อนหน้านี้เป็นผืนผ้าอันสมบูรณ์ ตอนนี้มันก็คือแหจับปลาผืนหนึ่ง
ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็เต็มไปด้วยช่องว่าง
ทันทีที่ด้ายเส้นหนึ่งในนั้นขาดผึง จิตเดิมของเขาก็จะแหลกสลายแล้วกลายเป็นคนวิกลจริต
ที่แย่ก็คือ ‘เส้นด้าย’ กลับขาดออกจากกันจริงๆ การเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวไหนเลยจะง่ายปานนั้น
สิ่งแรกที่สวี่ชีอันรู้สึกอย่างชัดเจนคือความเจ็บปวดของวิญญาณที่ถูกฉีกกระชาก จากนั้นสติสัมปชัญญะก็เริ่มโกลาหล แล้วเส้นด้ายแต่ละเส้นก็เริ่มพังทลายลง ความสับสนวุ่นวายนี้ทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เขาเริ่มลืมแล้วว่าตัวเองเป็นใคร ลืมถึงตัวตนในอดีต และลืมคนที่อยู่ข้างกาย
ไม่นานนัก สวี่ชีอันก็จะสูญเสียตัวตนไปโดยสมบูรณ์และกลายเป็นคนวิกลจริต
ทว่าในตอนนี้เอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาจากที่ไกลๆ
“ฆ้องเงินสวี่ ฆ้องเงินสวี่…”
ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนร้องเรียกเขา สุ้มเสียงมากมายเหลือคณานับกลายเป็นคำว่า ‘ฆ้องเงินสวี่’ อย่างเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกัน อีกเสียงหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในสมองของเขา
“สามพันโลกสู่พุทธะสูงสุด สามพันโลกสู่พุทธะสูงสุด…”
เสียงตะโกนเรียกสองแบบนี้ทำให้สวี่ชีอันเริ่มตามหาตัวเองเจอ เขารีบรวบรวมจิตวิญญาณที่แตกฉานซ่านเซ็นแล้วซ่อมแซมด้ายแต่ละเส้นที่พังทลายลง
…
กลางอากาศสูง จิ้งจอกเก้าหางตัวสั่นเทาและนำหางอันฟูฟ่องทั้งแปดเข้ามาห่อร่างเป็นกลุ่มก้อน
นางขดตัวอยู่กลางอากาศราวกับจิ้งจอกบอบบางน่าสงสารตัวหนึ่ง
คลื่นลูกใหญ่มหาศาลซัดโหมอยู่บนผิวน้ำ ผืนแผ่นดินล้วนสั่นสะเทือน สายฟ้ากลางอากาศพัวพันเข้าด้วยกันจนเกิดหายนะสายฟ้าฟาดลงมาเป็นสายๆ
ภายในภาพที่ราวกับเป็นวันสุดท้ายของโลก สวี่ชีอันก็ลืมตาขึ้นมา ประกายนัยน์ตาสว่างวาบดั่งลำแสงแล้วทะลุทะลวงเมฆอึมครึมตรงขึ้นไปยังท้องนภาทันที
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวกำเนิดแล้ว
……………………………………………………….
……….