ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 881 กลับเมืองหลวง
บทที่ 881 กลับเมืองหลวง
……….
พรมแดนระหว่างเขตดินแดนประจิมทิศและเหลยโจว
ฉับพลันสวี่ชีอันและเสินซูก็ปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองยืนอยู่ที่ด้านนอกเส้นเขตแดนพลางมองดูร่างสสารเลือดเนื้อสีแดงเข้มหดตัวกลับไปยังดินแดนประจิมทิศ ก่อนผสานเข้ากับแผ่นดิน
กระทั่งพลังปราณของพระพุทธเจ้าอันตรธานหายไปไม่เหลือแม้ร่องรอย
ในเวลานี้พวกเขาได้กำจัดพลังของร่างธรรมมหาสุริยาวัฏจักรออกไปจนหมดสิ้นแล้ว และกลับคืนสู่ร่างเดิมทว่าเป็นในร่างเปลือยเปล่า
“นิกายพุทธมหายานได้รับการสถาปนาแล้ว เหตุใดพระพุทธเจ้าถึงยังเหลือโชคชะตากลืนกลายดินแดนประจิมทิศได้อยู่อีก?”
ขณะที่สวี่ชีอันกำลังพูด มือก็หยิบเสื้อคลุมสองชุดออกมา พร้อมกับโยนชุดหนึ่งไปทางด้านเสินซู
เพื่อให้ไม่ดูเป็นการเสียมารยาท จึงประสานมือโค้งคำนับแก่เสินซูตามหลัง ถึงเวลาแล้วที่จิ้งจอกเก้าหางจะต้องเรียกเขาว่าอาสวี่
“คงเกี่ยวข้องกับสำนักพ่อมดนั่นแหละ” เสินซูอธิบายสั้นๆ พลางสวมเสื้อคลุมพึมพำเอ่ย
“ข้าเคยบำเพ็ญวิชาพุทธะมาก่อน จะลองเข้าไปสอดแนมดูสักหน่อยแล้วกัน”
บุ่มบ่ามสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือนั่น สวี่ชีอันบ่นอุบอิบในใจ ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า
“ใช้หุ่นเชิดสำรวจเถิด อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเลย”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อีกใจยังลังเลที่จะใช้ ‘หยกดำ’ มังกรน้ำที่ซ่อนอยู่ในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ไม่นานนักก็ตัดสินใจใช้วิชามิติว่างจับกระต่ายตัวหนึ่งออกมา ก่อนทุบให้ตายแล้วฝังซือกู่ลงไปในร่างศพนั้น
เหตุผลที่เลือกซือกู่แทนที่จะใช้ซินกู่ควบคุม เป็นเพราะซินกู่สามารถแยกประสาทสัมผัสอันซับซ้อนได้เพียงบางอย่างเท่านั้น เช่น การมองเห็น
กล่าวคือซือกู่เป็นระดับการควบคุมที่ลึกล้ำกว่า ส่วนหุ่นเชิดก็เปรียบได้กับร่างอวตาร
นี่จึงทำให้สวี่ชีอันสัมผัสถึงสถานะปัจจุบันของพระพุทธเจ้าได้ดียิ่งขึ้น
กระต่ายกระโดดเข้าไปในดินแดนประจิมทิศ เดินเตาะแตะไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ บนพื้นดินก็มีปากหนึ่งเปิดออก กระต่ายเมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกกลืนกิน มันจึงกระโดดถีบตัวขึ้นสูงหลบหลีกปากใหญ่ที่อยู่ด้านล่างอย่างว่องไว
ทว่าครู่ต่อมากระต่ายที่ลอยตัวอยู่บนอากาศกลับแปรทิศทิ้งตัวตกลงเข้าไปในปากที่อ้าอยู่บนพื้น
นี่…สวี่ชีอันใบหน้าหม่นแสงลง
เสินซูหันมองไปที่ด้านข้างเพื่อรอการวิเคราะห์จากเขา
“ข้าไม่ทันสังเกตข้อจำกัดและกลไกควบคุมของมันน่ะ เลยได้แต่กระโดดหลบง่อยๆ ไปอย่างนั้น” สวี่ชีอันกล่าว
แต่ความจริงคือกระต่ายที่เพิ่งกระโดดขึ้นไป จู่ๆ ก็เกิดกระโจนลงในปากนั่นเสียดื้อๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งเทพยุทธ์ครึ่งก้าวและสวี่ชีอันก็ตระหนักรู้ในทันที ก่อนกระซิบกระซาบกัน
“พระพุทธเจ้าเปลี่ยนกฎ”
“ทรงเปลี่ยนกฎการกระโดดเป็นร่วงหล่น ที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อืม ต้องเป็นอย่างนั้นแน่”
เพียงคำอธิบายเดียวก็ทำให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเข้าใจในทันทีว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับข้อจำกัดหรือกลไกควบคุมทั้งสิ้น การที่พวกเขากลายเป็นเนื้อเข้าปากเสือก็เพราะกฎที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป
นั่นคือกฎของฟ้าดิน
ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันจึงไม่รับรู้ถึงสิ่งผิดปกติใดๆ
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าจะกระทำได้” เสินซูออกความเห็น
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อาจสามารถบังคับเปลี่ยนกฎได้ก็จริง แต่นั่นก็ถือเป็นทักษะพิเศษของระบบผู้บำเพ็ญ และภายหลังเสร็จเรื่องก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
“เพราะในดินแดนประจิมทิศ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ระดับสุดยอดอีกต่อไป แต่ตัวเขาเป็นเจ้าผู้ครองฟ้าดินเองอย่างไรล่ะ!” สวี่ชีอันถอนหายใจ
‘ท่านโหราจารย์พูดถูก ปณิธานที่แท้จริงของระดับสุดยอดคือการแทนที่วิถีแห่งฟ้า แล้วกลืนกลายเป็นร่างจำแลงจิตตานุภาพของดินแดนจิ่วโจว
หากก่อนหน้านี้ใจของเขายังพอมีสิ่งเคลือบแคลงอยู่บ้าง ในตอนนี้เขาคงเชื่อคำพูดของท่านโหราจารย์อย่างถึงที่สุดไปแล้ว’
เสินซูครุ่นคิดอีกครั้ง ก่อนก้าวเท้าไปข้างหน้า พลังอันน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวโพยพุ่งออกมาจนฟ้าดินสะเทือนครืนครั่น ธาตุต่างๆ เกิดโกลาหลอลหม่าน
แต่แล้วเมื่อธาตุที่อลวนเหล่านี้เข้าใกล้ดินแดนประจิมทิศ พวกมันทั้งหมดก็ถูกมหาพลังแกร่งกล้าทำให้สงบลง ตลอดจนเขตแดนจอมยุทธ์ที่กางโดยเสินซู ก็ถูกปิดกั้นจากดินแดนประจิมทิศด้วย
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่าเกิด ‘การแบ่งแยก’ ระหว่างดินแดนประจิมทิศและดินแดนจิ่วโจวขึ้น แม้จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่กลับไม่ได้อยู่ในดินแดนเดียวกัน
“นี่น่ะหรือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมหาเคราะห์ เสินซูคิดไปว่าที่กลืนกลายจิ่วโจว เป็นเพราะต้องการวิวัฒน์สู่ดินแดนแห่งใหม่เสียอีก?” เสินซูมองไปที่สวี่ชีอัน
“ไม่ใช่วิวัฒนาการ แต่จะมาแทนที่ต่างหาก!” สวี่ชีอันกล่าวเสียงเข้ม
เสินซูทอดมองไปยังอาณาเขตดินแดนประจิมทิศอันกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน พลางพูดขึ้นช้าๆ
“อย่างนี้นี่เอง”
ดูเหมือนเขาจะไขข้อสงสัยอันน่าฉงนสนเท่ห์แสนยาวนานได้แล้ว
“ไต้ซือคิดเห็นว่าอย่างไรหรือ?” สวี่ชีอันถือโอกาสหยั่งเชิง
“กลียุคของมวลมนุษย์” เสินซูแสดงความเห็น
เขารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเสินซูไม่มีท่าทีเอ่ยต่อ ก็ชิงถามขึ้นว่า
“ไต้ซือ ตอนที่ข้าได้เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้ว พบว่าภายในกายมีเส้นริ้วแปลกๆ เต็มไปหมด คล้ายกับจิตวิญญาณของเทพมารเทือกนั้น”
เสินซูกล่าวตอบ
“พวกมันมีสมบัติจำเพาะของการเป็นอมตะ ซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้เทพยุทธ์ครึ่งก้าวกล้าท้าทายระดับสุดยอด”
“ข้าลองศึกษาพวกมันดูแล้ว สิ่งเดียวที่พบคือพวกมันไม่สมประกอบ”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“ไม่สมประกอบหรือ?”
เขาไม่เห็นรู้สึกถึงความไม่สมประกอบเลย
เสินซูหยุดคิดพักหนึ่งแล้ววิเคราะห์ต่อ
“หากจะกล่าวให้กระจ่างกว่านี้ก็คือพวกมันเป็นเหมือนกับต้นแบบของค่ายกล ส่วนรายละเอียดยิบย่อยอื่นยังคงต้องได้รับการปรับปรุงให้สมบูรณ์”
“แต่ละ ‘อักขระเวท’ ล้วนมีความเป็นปัจเจก แต่ขาดความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แม้พวกมันจะมีสมบัติจำเพาะของการเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
“บางทีการที่ได้เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์อาจทำให้ค่ายกลพวกนี้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างได้อย่างแท้จริงก็ได้”
แต่ละเนื้อเยื่อมีความเป็นอมตะทว่าเป็นอิสระจากกัน…หัวใจของสวี่ชีอันเต้นรัวเร็ว
“เพราะเหตุนี้ท่านจึงถูกพระพุทธเจ้าผ่าร่างและปิดผนึกตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือ?”
เนื้อเยื่อจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงถึงอักขระเวทจำนวนมหาศาล แต่เนื่องจากเนื้อเยื่อเหล่านี้เป็นอิสระจากกัน จึงสามารถแยกออกจากกันได้
เสินซูพยักหน้า
สวี่ชีอันชวนคุยอย่างตื่นเต้น
“แล้วท่านรู้วิธีที่จะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์หรือไม่?”
“รู้สิ!”
สวี่ชีอันพลันรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของเสินซู จากนั้นอีกฝ่ายก็กล่าวต่อ
“หากจัดรูปแบบ ‘ค่ายกล’ ในกายได้สมบูรณ์ ก็เป็นเทพยุทธ์ได้แล้ว”
นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม เรื่องนั้นข้าก็รู้อยู่แล้ว ที่ถามคือวิธีการอันเป็นรูปธรรมต่างหาก…สวี่ชีอันพูดด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“แล้วค่ายกลที่สมบูรณ์เป็นอย่างไร?”
เสินซูมองมาที่เขา พลางพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“เมื่อครู่พระพุทธเจ้าเรียกเจ้าว่าผู้พิทักษ์ประตูสินะ”
สวี่ชีอันชี้แจง
“ในครั้งนี้ข้าได้พบกับท่านโหราจารย์ตอนที่ข้าออกทะเล เขาบอกกับข้าว่าผู้พิทักษ์ประตูสามารถบังเกิดแต่ในระบบจอมยุทธ์เท่านั้น”
เสินซูปราดมองเขา
“จุดประสงค์ของการที่ท่านโหราจารย์หนุนนำเจ้า คือการบ่มเพาะให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ประตู”
สวี่ชีอันพยักหน้า
เสินซูเอ่ยต่อ
“ข้าเองก็เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเช่นกัน แต่ท่านโหราจารย์ไม่หนุนนำข้า แต่กลับเลือกเจ้า”
“เราอนุมานความจริงของเรื่องนี้ได้จากแผนการในอดีตของท่านโหราจารย์ เจ้าต้องตีความหมายของคำถามสองข้อให้กระจ่าง หนึ่งคือเหตุใดเขาถึงหนุนนำเจ้า สองคือเขาทิ้งอะไรไว้บนตัวเจ้า”
ทิ้งอะไรไว้อย่างนั้นหรือ? สวี่ชีอันคลำกายตามคำบอกของเสินซูในทันที
คนข้างหลังขมวดคิ้วมุ่น
“ข้ารู้แล้ว” สวี่ชีอันโพล่งขึ้น
คำตอบนั้นชัดเจนในตัวมันเอง คือโชคชะตา!
เขากลายเป็นหมากของท่านโหราจารย์ เพราะว่าเขาเป็นลูกชายของสวี่ผิงเฟิง และสวี่ผิงเฟิงก็เป็นผู้ขโมยโชคชะตาของอาณาจักรต้าฟ่งไป
จนถึงตอนนี้แม้ว่าท่านโหราจารย์จะให้ความช่วยเหลือเขามากมาย แต่นั่นก็เพื่อช่วยให้เขาเลื่อนขั้นและยกระดับความแข็งแกร่ง แถมทั้งหมดนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับโชคชะตาที่เขาต้องแบกรับร่วมด้วย
เสินซูกล่าวสรุป
“สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงรักษาโชคชะตาไว้ให้ดี รักษาโชคชะตาของเจ้าแล้วเฟ้นหาวิธีการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์เสีย”
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้น เป็นซุนเสวียนจีที่มาถึงพร้อมกับกลุ่มเหนือมนุษย์
เมื่อเห็นว่าสวี่ชีอันและเสินซูไม่ได้บุ่มบ่ามเปิดฉากการต่อสู้ หยางกง จินเหลียนและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เสินซูพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“เสินซูไม่สามารถยึดเหลยโจวได้ในเวลานี้ ข้าจะรักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนนี่แหละ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ตามสบาย”
สวี่ชีอันขอให้ซุนเสวียนจีทิ้งยันต์หยกส่งตัวและเคล็ดวิชาเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อบางหน้าไว้ให้กับเสินซู ซึ่งสิ่งนี้เป็นวรยุทธ์ที่ใช้ต่อกรกับร่างธรรมส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า พร้อมเอ่ยต่อ
“หากพระพุทธเจ้ากลับมา รีบติดต่อหาข้าโดยทันที”
การที่พระพุทธเจ้าจะกลืนกลายเหลยโจวจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร และเขาที่อยู่เมืองหลวงตรงมายังเหลยโจวนั้นใช้เวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น
ฉะนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าพระพุทธเจ้าจะใช้จังหวะตอนที่เขากลับเมืองหลวง ฉวยโอกาสกลืนกลายเหลยโจว
ต่อมาเขาก็บอกลากับทุกคน
“ข้าขอตัวกลับเมืองหลวงก่อน หากมีเรื่องอะไรก็ค่อยว่ากันทีหลัง”
จิ้งจอกเก้าหางและอาซูหลัวมองไปยังดินแดนประจิมทิศ อีกใจยังคงอิดออด แต่เพราะทั้งเสินซูและสวี่ชีอันไม่มีความตั้งใจที่จะเข้ายึดดินแดนประจิมทิศในตอนนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอดใจ
สวี่ชีอันเบิกมหาเนตรบนข้อมือของเขา พร้อมกับพากลุ่มเหนือมนุษย์จากไป
…
ในเวลานี้เตียวเสี้ยนยังคงอยู่ระหว่างทางมาที่นี่…
ไม่สิ ในเวลานี้จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินยังคงรอฆ้องเงินสวี่อยู่ท่ามกลางทะเลเวหา
…
ท้องฟ้ายามรุ่งสาง
ณ เมืองหลวง ภายในห้องทรงพระอักษร
หวางเจินเหวินที่อดหลับอดนอนตลอดทั้งคืนดูเหนื่อยล้า ขอบตาดำคล้ำ นัยน์ตาแดงก่ำ
ฮว๋ายชิ่งที่รู้สึกเป็นห่วง จึงเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
“หวางอ้ายชิงไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หวางเจินเหวินพลันส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ถึงนอนไปก็เอาแต่พลิกตัวไปมา สู้ไม่นอนเลยเห็นจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเวลานี้ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ ก็ถือเป็นข่าวที่ดีที่สุดแล้วล่ะ”
หากเหลยโจวคุ้มกันไม่อยู่ สถานการณ์ก็จะเข้าสู่ขั้นที่เลวร้ายที่สุด เมื่อถึงตอนนั้นหายนะครั้งใหญ่ก็จะถือบังเกิด
ฮว๋ายชิ่งไม่ได้คะยั้นคะยอเขาอีก เพียงถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ในมือ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
หากให้เทียบความสงบนิ่งระหว่างเว่ยเยวียนและจ้าวโส่ว ด้านเว่ยเยวียนเคยประสบกับวิบากกรรมมามากมาย จิตใจจึงไม่แกว่งไกวนักแม้ว่าจะมีมีดจ่ออยู่ที่คอก็ตาม
ส่วนจ้าวโส่วนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญการฝึกปราณ แม้ว่าความรู้สึกวิตกกังวลจะสุมอยู่เต็มอก แต่ภายนอกกลับไม่แสดงอาการใดๆ
จ้าวโส่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“หากเหลยโจวถึงวาระสิ้นสุด ฝ่าบาทจะต้องคงเสถียรภาพในราชสำนักและจิตใจไพร่ฟ้าเสียก่อน จากนั้นก็เรียกตัวฆ้องเงินสวี่กลับมาอย่างรวดเร็วเพื่อหารือเรื่องสังหารเจียหลัวซู่และช่วยให้เขาเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว”
“ตราบใดที่สวี่หนิงเยี่ยนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ความยากลำบากทั้งหมดก็จะได้รับการแก้ไขและผ่านพ้นไปได้ในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งมองไปที่เว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนส่ายหัว พลางถอนหายใจ
“พูดง่ายกว่าทำ สำนักพุทธไม่มีทางให้โอกาสนี้กับเราแน่ ถึงให้ก็เป็นเราเองที่ต้องระวังตัว”
หวางเจินเหวินเห็นด้วยกับความเห็นของศัตรูทางการเมืองเก่า “ในขั้นนี้ แทนที่จะไตร่ตรองช่วยสวี่หนิงเยี่ยนให้ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว อาจเป็นการดีกว่าหากจะลองเชิงสำนักพ่อมดดูสักหน่อย แล้วค่อยสร้างพันธมิตรกับพวกเขา คงใช้เวลาสองหรือสามเดือนกว่าที่สำนักพ่อมดจะเริ่มเปิดฉากผนึก”
แม้ว่าสำนักพ่อมดจะให้การช่วยเหลือแก่พระพุทธเจ้า แต่ตราบใดที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์เชิงแข่งขันแก่งแย่ง พวกเขาอาจจะต้องการสร้างพันธมิตรเพิ่มก็เป็นได้
จ้าวโส่วเยาะเย้ย
“สำนักพ่อมดตั้งตนชัดเจนว่าต้องการจับเสือมือเปล่า หลังจากนั่งดูพวกมันกัดกันเสร็จแล้ว”
หวางเจินเหวินฟาดฟันกลับ
“ตราบใดที่สำนักพ่อมดเชื่อว่าเราไม่มีพลังที่จะทำร้ายทั้งสองฝ่ายของสำนักพุทธ สำนักพ่อมดก็จะเปลี่ยนความคิดเอง”
“ต่ำต้อยอะไรเยี่ยงนี้!” จ้าวโส่วส่ายหัว “อีกอย่าง นี่ก็เท่ากับว่าเป็นการเผยจุดอ่อนต่อสำนักพ่อมด ให้เขามากดขี่ข่มเหงเอาได้มิใช่หรือ แล้วไหนจะเจรจาโดยสันติอีก”
‘เจรจาโดยสันติ’ ที่เขาหมายถึงคือเจรจาหลังจากที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึก ตลอดจนดินแดนที่ก่อตั้งโดยกองทัพกบฏอวิ๋นโจวถูกแบ่งแยกแล้วต่างหาก
จินตนาการได้ไม่ยากเลย สำนักพ่อมดย่อมต้องทำตามข้อตกลงที่มีร่วมกันอย่างแน่นอน ยึดครองอาณาจักรต้าฟ่งได้โดยไร้การนองเลือด ซ้ำยังไปได้ไกลกว่ากลุ่มกบฏอวิ๋นโจวเสียอีก
เว่ยเยวียนเสริมต่อ
“หวังแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า!”
ฮว๋ายชิ่งที่อยู่หลังโต๊ะผิวเหลืองตัวใหญ่พลันโบกมือปัด
“สถานการณ์ยังไม่แน่นอนนัก คงเร็วเกินไปที่จะด่วนพูดคุยกันเรื่องนี้”
นางทำได้เพียงพึ่งพาวาทกรรมดังกล่าวเพื่อสงบข้อพิพาท ถึงกระนั้นก็รู้ดีอยู่เต็มอก หากเหลยโจวถูกพระพุทธเจ้ากลืนกลายเข้าจริงๆ ข้อพิพาทที่คล้ายกันนี้ก็จะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้นบรรดาขุนนางและนายพลของราชสำนักทั้งหมดก็จะมารวมตัวกันที่ตำหนักกระดิ่งทองเพื่อโต้แย้งกันยิบตาแน่นอน
อาจมีการเสนอทั้งยอมจำนน หรือเข้าร่วมกับสำนักพ่อมดที่กลัวว่าจะเป็นกระแสหลักนี่สิ
การสละชีพเพื่ออาณาจักรจำเป็นต้องมาจากจิตสำนึก ไม่คิดเลยว่าขุนนางทุกคนจะตื่นตัวกันถึงเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หากเมื่อถึงเวลาอีกใจก็กลัวเหลือเกินว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดไปในหมู่ชาวเมืองว่า ‘สตรีที่อ้างตนเป็นจักรพรรดินำหายนะมาสู่อาณาจักรและมวลประชา’…เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฮว๋ายชิ่งก็นวดคลึงหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า
แม้ว่านางจะคงเสถียรภาพตำแหน่งจักรพรรดิได้ด้วยความสามารถของตัวเอง อีกทั้งความช่วยเหลือจากเว่ยเยวียน สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ทว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบรรดาขุนนางชั้นล่าง ผู้คนในเมืองหรือแม้แต่ในหมู่บัณฑิตก็จะยังคงอยู่
เมื่อบ้านเมืองและประชาชนสงบสุข เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็จะเป็นเพียงเสียงนกเสียงกา
แต่เมื่อบ้านเมืองถึงคราววุ่นวาย คำว่า ‘สตรีเป็นจักรพรรดิ’ จะแผ่ขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นเป้าเพื่อโยนความผิด
กว่านางจะบริหารจัดการบ้านเมืองให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติและสงครามสามารถแบ่งเบาภาระและฟื้นตัวได้ในที่สุดนั้นไม่ง่ายเลย แต่ใครจะคิดว่าจะมีคลื่นลูกอื่นตามมาอีก
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง เพิ่งคิดได้ว่าต้องการใครสักคนที่สามารถจะพึ่งพาได้
ในฐานะจักรพรรดิของอาณาจักร ชายคนเดียวที่นางสามารถพึ่งพาได้และต้องการที่จะพึ่งพามีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้น
ปัจจุบันสิ่งเดียวที่พึ่งพาได้นี้ยังอยู่ระหว่างการเดินทางข้ามโพ้นทะเล จึงขาดการติดต่อไป
อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะการติดต่อไม่ได้ที่ล่าช้า ทำให้ฮว๋ายชิ่งยังคงโอบอุ้มความคาดหวังที่มีต่อเขาไว้อยู่
บางทีตอนที่มาถึงเขาอาจจะเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วก็ได้ แต่ไหนแต่ไรชายคนนั้นก็ไม่เคยทำให้นางผิดหวัง
ทันใดนั้นใจของฮว๋ายชิ่งก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
ตามด้วยเว่ยเยวียนและจ้าวโส่วที่ก้าวนำไปข้างหน้านาง
ภายในห้องทรงพระอักษรที่ว่างเปล่า บัดนี้มีคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ชายที่ดูเป็นผู้นำกลุ่มใบหน้าหล่อเหลา สวมชุดคลุมสีคราม ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เขาคือสวี่ชีอันที่หายหน้าหายตาไปหลายเดือนนั่นเอง
ข้างหลังเขาคือลั่วอวี้เหิง อาซูหลัว จิ้งจอกเก้าหาง นักบวชเต๋าจินเหลียนและผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์คนอื่นๆ
เว่ยเยวียน หวางเจินเหวิน จ้าวโส่วและฮว๋ายชิ่งยืนขึ้นพร้อมเพรียงกัน
‘เขากลับมาแล้ว? แถมยังนำผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์จากเหลยโจวกลับมาด้วย?’
ฮว๋ายชิ่งดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง ต่อมาก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นโครมคราม นางพยายามระงับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่น้ำเสียงที่พูดยังคงสั่นเทา
“พระพุทธเจ้าล่าถอยแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้หวางเจินเหวิน เว่ยเยวียนและจ้าวโส่วต่างก็จับจ้องไปที่สวี่ชีอันเป็นตาเดียว
สวี่ชีอันครางเสียง ‘อืม’ ในลำคอ
ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปากทั้งคาดหวังและระมัดระวัง ก่อนลองเชิงถามออกไปว่า
“เจ้าได้เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วหรือยัง?”
นางแทบไม่กล้าหายใจ ด้วยท่าทางที่คาดหวังและระมัดระวังนั้นทำให้นางดูน่าเอ็นดู ราวกับเด็กหญิงตัวน้อยที่เอ่ยถามผู้เป็นบิดาว่าเขาได้นำตุ๊กตาแสนรักของตัวเองกลับมาด้วยหรือเปล่าอย่างไรอย่างนั้น
หวางเจินเหวินเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว แขนเสื้อสั่นเทิ้มเล็กน้อย
ด้านเว่ยเยวียนดูค่อนข้างสงบ ถึงกระนั้นเขาก็ดูเป็นคนที่สมาธิแน่วแน่มาแต่ไหนอยู่แล้ว
ส่วนจ้าวโส่วอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ
……………………………………