ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 882 การสนทนาลับ
บทที่ 882 การสนทนาลับ
……….
สวี่ชีอันยิ้มพลางว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติที่ทำตามรับสั่งได้ลุล่วง!”
“หลังผ่านพ้นอุปสรรค ความยากลำบาก และการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้สำเร็จ
“ตอนนี้รักษาเหลยโจวไว้ได้ พระพุทธเจ้าก็ถอยกลับแดนประจิมแล้ว”
จิ้งจอกเก้าหางซึ่งอยู่ด้านข้างกลอกตา
เทพยุทธ์ครึ่งก้าว เขาเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้วจริงๆ…ฮว๋ายชิ่งได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว หัวใจซึ่งลอยคว้างอยู่กลางคอหอยจึงลดกลับสู่ตำแหน่ง ทว่าความยินดีและความตื่นเต้นกลับมิได้ลดทอน ซ้ำยังทะลักล้นพุ่งเข้ากลางใจ
แก้มของนางแดงเรื่อ ดวงตาเป็นประกายแห่งความยินดี ไม่ว่าอย่างไรก็ควบคุมมิให้เกิดรอยยิ้มที่มุมปากไม่ได้
แน่นอนว่าเขาไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นฆ้องทองแดงในตอนนั้น หรือฆ้องเงินสวี่ผู้มีชื่อเสียงก้องโลกเช่นยามนี้
ฮว๋ายชิ่งกอดความหวังสูงสุดไว้ที่เขาเสมอ แต่เขาก็ยังทำเกินความคาดหวังของนางและนำความประหลาดใจมาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า
‘หนิงเยี่ยนเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าว ประกอบกับผู้อาวุโสเสินซูซึ่งอยู่ในขั้นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอีก ในที่สุดก็มีความมั่นใจที่จะท้าทายอำนาจใดๆ ก็ตามในสำนักพ่อมดหรือสำนักพุทธเสียที หมากกระดานนี้ยังคงเดินต่อไปได้ เฮ้อ คนไร้สมองในตอนนั้น บัดนี้กลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วสินะ’…เว่ยเยวียนรู้สึกยกภูเขาออกจากอก ขณะเดียวกันก็เกิดอารมณ์ซับซ้อนทั้งความคร่ำครวญ ความปลื้มปีติ ความพึงพอใจ และความภาคภูมิใจ
เมื่อพิจารณาสถานะของตนและการรวมตัวของยอดฝีมือในห้องทรงพระอักษรแล้ว เว่ยเยวียนจึงรักษาความสงบสุขุมให้สอดคล้องกับสถานภาพของตน แล้วเอ่ยเนิบๆ ว่า
“ทำได้ไม่เลว”
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเชียวนะ หากจำไม่ผิด น่าจะเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเผ่าพันธุ์มนุษย์คนแรกแห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง มีหนึ่งเดียวเหมือนปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ต้องบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ว่า ฆ้องเงินสวี่ศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ตั้งแต่เด็ก และได้คำนับเจ้าสำนักจ้าวโส่วเป็นอาจารย์…เมื่อจ้าวโส่วคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกฮึกเหิม เขาซึ่งวางแผนจัดทำตำราประวัติศาสตร์กำลังจะก้าวขึ้นมาเอ่ยแสดงความยินดี แต่เมื่อเหลือบไปเห็นเว่ยเยวียนสุขุมสงบนิ่งไม่กระโตกกระตาก เขาจึงได้แต่รักษาความสุขุมนุ่มลึกให้สมกับฐานะ แล้วเอ่ยว่า
“ดีมาก!”
ต้าฟ่งมีทางรอดแล้ว และ ‘รอดพ้นจากความตาย’ อีกครั้ง สวี่ชีอันกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้อย่างราบรื่น สายตาของข้าไม่ผิดเพี้ยน เฮ้อ ตาเฒ่าสองคนนี้ก็สุขุมเสียจริง…หวางเจินเหวินแทบอดใจไม่ไหว อยากจะร้องรำทำเพลงและร่ำสุราทั้งคืน ราวกับย้อนเวลากลับไปสมัยที่ตนสอบผ่านขุนนาง
ทว่าเมื่อเห็นจ้าวโส่วและเว่ยเยวียนต่างสีหน้าสงบนิ่ง เขาจึงคงความสุขุมให้สมกับสถานะเช่นกัน แล้วพยักหน้าช้าๆ
“ยินดีด้วยกับการเลื่อนขั้น!”
พวกลูกพี่ในวงการขุนนางนี่คาดเดายากจริงๆ โกรธหรือยินดีก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า…สวี่ชีอันแอบชื่นชมแล้วเอ่ยว่า
“น่าเสียดายที่ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ว่าเลื่อนขั้นเทพยุทธ์ได้อย่างไร”
ข้าวต้องกินทีละคำ! เว่ยเยวียนเกือบออกปากสอนงานเขาเสียแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาชี้แนะอีก จึงข่มกลั้นไว้
แล้วหันมาถามว่า
“สถานการณ์เหลยโจวเป็นอย่างไรบ้าง ตายไปเท่าไรแล้ว”
ขณะที่เหล่าผู้เหนือมนุษย์กำลังลังเล พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็เอ่ยว่า
“ทำลายเมืองใหญ่ไปได้แห่งเดียว มีประชากรสองพันกว่าคน”
นักบวชเต๋าจินเหลียนและเหิงหย่วนเอ่ยปากตอบสนองด้วยความเชื่องช้า
จากรายละเอียดนี้จะเห็นได้ว่า พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ใส่ใจประชาชนเป็นที่สุด เขาถูกนิกายมหายานล้างสมอง ไม่สิ ย้ายศาสนาไปแล้วจริงๆ…สวี่ชีอันวิจารณ์ในใจ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ก่อนมองมาทางสวี่ชีอันแล้วเอ่ยว่า
“ช่วงเวลาที่เจ้าไม่ได้อยู่โพ้นทะเล สำนักพุทธได้จัดงานชุมนุมพุทธะขึ้น ตามที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ว่ามา พระพุทธเจ้ากำลังอาศัยการชุมนุมครั้งนี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่ากลัวขึ้น
“พวกเราไม่รู้มูลเหตุอย่างเป็นรูปธรรม แต่เจ้าจำต้องรู้ผลลัพธ์ พระองค์กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่กลืนกินทุกสิ่งไปแล้ว”
นางจงใจเอ่ยถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบของ ‘ภัยพิบัติ’ ครั้งนี้ และบรรยายสถานการณ์แทนสวี่ชีอัน
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยต่อว่า
“ตอนที่พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ออกจากแดนประจิม พระพุทธเจ้ามิได้ทำร้ายเขา แต่เมื่อนิกายมหายานรับการสถาปนา และหลังจากสำนักพุทธสูญเสียโชคชะตาไปแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเกือบอดใจรอไม่ไหวที่จะกลืนกินเขา
“เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับโชคชะตา นี่เป็นไปได้มากว่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ามหาเคราะห์”
เว่ยเยวียนถอนหายใจพลางว่า
“จากการแสดงออกของพระพุทธเจ้า สามารถอนุมานได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากเทพกู่และเทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึก
“เพียงแต่ พวกเรายังไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของระดับสุดยอดมีความหมายและจุดประสงค์อะไร”
เหล่าขั้นเหนือมนุษย์ขมวดคิ้วไม่พูดจา พวกเขารู้สึกรางๆ ว่าตนเข้าใกล้ความจริงแล้ว แต่ก็มิอาจแถลงหรือบอกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ
มีเพียงหน้าต่างกระดาษเพียงชั้นเดียวซึ่งยากเจาะทะลวง
ไม่ใช่เพื่อมาสวมรอยวิถีแห่งฟ้ารึ…จิ้งจอกเก้าหางกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินสวี่ชีอันถอนหายใจยาวและชิงเอ่ยนำไปก่อนก้าวหนึ่งว่า
“ข้ารู้ความจริงเกี่ยวกับมหาเคราะห์แล้ว”
ทุกคนในห้องทรงพระอักษรมองเขาด้วยความตื่นตะลึง
“เจ้ารู้หรือ”
อาซูหลัวพินิจมองเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ยากจะเชื่อว่าเจ้าหนุ่มที่ออกทะเลมาหลายเดือนคนหนึ่งจะรู้ความลับของมหาเคราะห์ได้อย่างไร
นักบวชเต๋าจินเหลียนและเว่ยเยวียนสะดุดใจ
เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้า หยางกง ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ก็รู้สึกประทับใจเล็กน้อย
เรื่องนี้ต้องกล่าวย้อนไปตั้งแต่ตอนสร้างโลก…ท่ามกลางสายตากระตือรือร้นและคาดหวังของทุกคน สวี่ชีอันได้เอ่ยขึ้นว่า
“ข้ารู้ทุกอย่าง รวมถึงมหาเคราะห์ครั้งแรกและการล่มสลายของเทพมาร”
ในที่สุดความจริงเบื้องหลังการล่มสลายของเทพมารก็ถูกเปิดเผย…ทุกคนตื่นตัวและตั้งใจฟัง
สวี่ชีอันเอ่ยช้าๆ ว่า
“เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นจากฟ้าดินและการกำเนิดของเทพมาร พวกท่านรู้เรื่องเทพมารกันแค่ไหน”
อาซูหลัวตอบเป็นคนแรก
“เทพมารกำเนิดจากฟ้าดิน เกิดมาทรงพลัง พวกเขาไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญก็ควบคุมพลังมหาศาลในการย้ายภูเขาถมทะเลได้ เทพมารแต่ละคนต่างมีแก่นแท้จิตวิญญาณที่ฟ้าดินมอบให้”
ทุกคนไม่มีใครเอ่ยเสริม สิ่งที่อาซูหลัวพูดคงจะเป็นทั้งหมดที่พวกเขารู้เกี่ยวกับเทพมารแล้ว
สวี่ชีอันทอดถอนใจว่า
“เกิดจากฟ้าดิน ตายคืนฟ้าดิน นี่เป็นกรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง”
กรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง…ทุกคนขมวดคิ้ว รู้สึกว่าประโยคนี้มีความล้ำลึกยิ่งใหญ่อย่างอธิบายไม่ถูก
สวี่ชีอันมิได้ปล่อยให้ค้างคา จึงเอ่ยต่อว่า
“ข้าออกทะเลครั้งนี้ได้ผ่านหมู่เกาะแห่งหนึ่ง เกาะแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต จากคำอธิบายของทายาทเทพมารที่อาศัยอยู่ เทพมารบรรพกาลผู้นั้นได้กลายร่างเป็นหมู่เกาะหลังจากเสียชีวิต
“เทพมารถือกำเนิดจากฟ้าดิน เดิมร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดินอยู่แล้ว ดังนั้นหลังความตายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้”
ตู้เอ้อร์พลันตาเป็นประกายแล้วโพล่งออกมา
“พระพุทธเจ้า!
“พระพุทธเจ้าก็กลายเป็นอรัญตาได้ บัดนี้พระองค์กลายเป็นทั้งแดนประจิมไปแล้ว จะต้องมีความเชื่อมโยงกันแน่”
พูดจบ ภิกษุชราก็จ้องสวี่ชีอันเขม็งด้วยสีหน้าที่ขอคำยืนยัน
เทพมารบรรพกาลกลายเป็นหมู่เกาะหลังสิ้นชีพ ส่วนพระพุทธเจ้าก็มีลักษณะคล้ายกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าและเทพมารบรรพกาลมีอะไรบางอย่างเหมือนกันใช่หรือไม่
ทุกคนเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานา
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อา’ ก่อนเอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยว่า
“มหาเคราะห์ครั้งแรกและมหาเคราะห์ครั้งที่สองต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน”
“เป้าหมายอะไร” ฮว๋ายชิ่งถามทันที
คนอื่นๆ ก็อยากรู้คำตอบนี้เช่นกัน
สวี่ชีอันมิได้ตอบทันที เขาเรียบเรียงคำพูดอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า
“สวมรอยวิถีแห่งฟ้า กลายเป็นศรัทธาอันแน่วแน่ในโลกของจิ่วโจว”
ดั่งฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น ทำเอาผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทุกคนในห้องทรงพระอักษรตะลึงงัน
นักบวชเต๋าจินเหลียนสูดหายใจลึก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีซึ่งยากแท้หยั่งถึงผู้นี้ยากจะสงบสติอารมณ์ได้ จึงเอ่ยถามอย่างงงันว่า
“เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ”
สวี่ชีอันกวาดตามองฝูงชน และพบว่าการแสดงออกของพวกเขามิได้แตกต่างจากนักบวชเต๋าจินเหลียนนัก กระทั่งเว่ยเยวียนและจ้าวโส่วก็มีท่าทางตกตะลึงเช่นกัน
“ครั้งจักรวาลเพิ่งก่อตัว จิ่วโจวไร้อารยะ หลายปีต่อมา เมื่อเทพมารถือกำเนิด ชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในช่วงนี้ ทุกสิ่งยังวุ่นวาย ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีฤดูทั้งสี่ หยินหยางปัญจธาตุล้วนสับสนยุ่งเหยิง บนโลกไม่มีพลังวิญญาณสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจให้บำเพ็ญ
“ผ่านไปอีกหลายปี ด้วยวิวัฒนาการของฟ้าดิน เดิมควรจะแบ่งเป็นธาตุทั้งห้าและทิศทั้งสี่ ทว่าฟ้าดินในที่นี้กลับมิอาจวิวัฒนาการต่อไปได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
ไม่มีผู้ใดตอบเขา ทุกคนยังคงย่อยข้อมูลอันสะเทือนโลกานี้อยู่
สวี่ชีอันจึงมองไปยังเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตอบแทนบุรุษไม่เอาไหนโดยพยายามรักษาหน้าให้อย่างไม่เต็มใจว่า
“จะเดาก็เดาได้ เพราะฟ้าดินมีช่องโหว่ เทพมารจึงแย่งชิงพลังแห่งฟ้าดินไป”
“ปราดเปรื่อง!”
สวี่ชีอันยกย่องแล้วเอ่ยต่อว่า
“ดังนั้น ในสมัยบรรพกาล ประตูแห่งแสงสว่างได้ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นประตูที่นำไปสู่ ‘วิถีแห่งฟ้า’ เทพมารเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน หมายความว่าพวกเขาจะผ่านประตูบานนี้ได้ก็ต่อเมื่อประตูเปิดออกอย่างราบรื่นเท่านั้น เทพมารจึงจะสามารถเลื่อนขึ้นวิถีแห่งฟ้าได้”
จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็เอ่ยว่า
“นี่คือเหตุผลที่เทพมารฆ่ากันเองหรือ แต่ที่สุดแล้วเทพมารก็ล่มสลายกันหมด หรือว่า วิถีแห่งฟ้าในปัจจุบันก็คือเทพมารสักคนในตอนนั้นรึ”
นางถามข้อสงสัยของทุกคนออกมา
ท่ามกลางสายตาของทุกคน สวี่ชีอันส่ายหัว
“การที่เทพมารเข่นฆ่ากันเอง และจิตวิญญาณหวนคืนฟ้าดิน ผลลัพธ์ท้ายที่สุดคือจิ่วโจวฉวยเอาจิตวิญญาณได้มากพอ และปิดประตูสู่สวรรค์”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่พระพุทธเจ้าจะเปลี่ยนแปรไปเช่นนี้
ผู้เหนือมนุษย์ในที่นี่ต่างเป็นคนฉลาด เมื่อโยงนึกถึงเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้ากลายร่างเป็นแดนประจิมซึ่งได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว จึงหมดข้อสงสัยในคำพูดของสวี่ชีอันอีก
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งมีชีวิตจะแปลงกายเป็นฟ้าดิน สวมรอยวิถีแห่งฟ้าได้” หยางกงพึมพำ “หากไม่ใช่จากปากหนิงเยี่ยน ข้าก็ยากจะเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งนี้เป็นความจริง”
ทันทีที่สิ้นเสียง แสงแวววาวเด่นชัดก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา แล้วเคาะที่หัวเขาอย่างแรง
“ข้าต่างหากที่เป็นอาจารย์ของเขา…”
หยางกงดุเบาๆ แล้วรีบเก็บไม้กลับ สีหน้าเก้อเขินอยู่บ้าง
ราวกับลูกๆ บ้านตนก่อเรื่องวุ่นวายในที่สาธารณะเพราะไม่รู้ความ ทำให้ใต้เท้าอับอายยิ่งนัก
เคราะห์ดีที่ตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในความสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ จึงไม่ได้สนใจเขา
เว่ยเยวียนเอ่ยเสียงเข้มว่า
“เช่นนั้นมหาเคราะห์ครั้งที่สองที่ใกล้เข้ามา เป็นเพราะประตูสู่สวรรค์ได้เปิดขึ้นอีกครั้งแล้วรึ”
สวี่ชีอันส่ายหัว
“มหาเคราะห์ครั้งนี้ต่างจากสมัยบรรพกาล ครั้งนี้ไม่มีประตูแห่งแสง ระดับสุดยอดได้เลือกเส้นทางอื่น ซึ่งก็คือการช่วงชิงโชคชะตา”
จากนั้น เขาจึงบอกเล่ารายละเอียดให้ทุกคนฟัง ว่าการกลืนกินโชคชะตาสามารถได้รับ ‘การยอมรับ’ และสวมรอยวิถีแห่งฟ้าได้ตามครรลอง รวมถึงความลับของผู้พิทักษ์ประตูซึ่งมีเพียงระบบจอมยุทธ์เท่านั้นที่เป็นได้
“ที่แท้ระดับสุดยอดช่วงชิงโชคชะตาเพราะเหตุนี้นี่เอง” เว่ยเยวียนนวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ยด้วยความทอดถอนใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนและคนอื่นๆ นิ่งเงียบ หมกมุ่นอยู่กับความคิดตัวเอง พลางย่อยข้อมูลอันน่าตกใจ
เวลานี้ ฮว๋ายชิ่งจึงเอ่ยด้วยคิ้วขมวดว่า
“นี่เป็นผลจากวิวัฒนาการในปัจจุบันใช่หรือไม่ หรือจะบอกว่า วิถีแห่งฟ้าของจิ่วโจวสามารถสวมรอยได้มาตลอด”
ประเด็นนี้สำคัญยิ่งนัก ดังนั้นทุกคนจึงพากัน ‘ได้สติ’ แล้วมองมาทางสวี่ชีอัน
“ข้าไม่สามารถให้คำตอบได้ บางทีด้านของฟ้าดินก็เป็นเช่นนี้ บางทีอาจเป็นดังที่ฝ่าบาทตรัส เป็นเพียงสถานการณ์ในปัจจุบันเท่านั้น” สวี่ชีอันกล่าวอย่างครุ่นคิด
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าพลางคิดวิเคราะห์แล้วเอ่ยว่า
“ดังนั้น ในขั้นปัจจุบันจึงต้องการผู้พิทักษ์ประตูหนึ่งคน และเจ้าก็คือผู้พิทักษ์ประตูที่ถูกเลือกจากท่านโหราจารย์”
“ปรมาจารย์เต๋า!” นักบวชเต๋าจวี๋เมาเอ่ยอย่างกะทันหันว่า
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดปรมาจารย์เต๋าต้องสถาปนานิกายทั้งสามคือนิกายสวรรค์ นิกายปฐพี และนิกายมนุษย์ ทั้งหมดนี่ต่างก็มีเจตจำนงเพื่อสวมรอยวิถีแห่งฟ้า และกลายเป็นจิ่วโจว”
พูดจบ เขาก็มองไปยังสวี่ชีอัน ราวกับจะขอคำยืนยันที่ถูกต้องจากเขา
สวี่ชีอันพยักหน้า
“กลืนกินโชคชะตาสวมรอยวิถีแห่งฟ้า เป็นวิธีการที่ค้นคว้าโดยปรมาจารย์เต๋าอย่างแน่นอน เป็นเขาที่ริเริ่มขึ้นมา”
ปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้ริเริ่มรึ เขายังคงเป็นบุคคลซึ่งไม่มีใครเทียบมาตั้งแต่โบราณจริงๆ สินะ…ทุกคนทั้งทอดถอนใจทั้งประหวั่นพรั่นพรึง
เว่ยเยวียนถามว่า
“ความลับเหล่านี้ เจ้ารู้มาจากท่านโหราจารย์รึ”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า
“ข้าเคยพบท่านโหราจารย์ที่โพ้นทะเลครั้งหนึ่ง เขายังคงถูกฮวงปิดผนึก ถือโอกาสบอกข่าวร้ายกับทุกท่านเลยแล้วกัน ตอนนี้ฮวงอยู่ในภาวะหลับลึก เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง มันน่าจะได้กลับสู่จุดสูงสุดอีก”
ระดับสุดยอด ระดับสุดยอดอีกหนึ่งแล้ว…ฮว๋ายชิ่งและคนอื่นๆ รู้สึกเพียงความขมปร่า ความยินดีที่ได้ขับไล่พระพุทธเจ้าและครอบครองเหลยโจวมลายหายไปสิ้น
พระพุทธเจ้า เทพพ่อมด เทพกู่ ฮวง หากระดับสุดยอดผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ร่วมมือกัน ต้าฟ่งก็ไม่มีโอกาสหันหลังกลับแล้ว ความหวังลมๆ แล้งๆ สักเล็กน้อยก็ไม่มี
ไต้ซือเหิงหย่วนซึ่งนิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นสีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า
“บางที หากพวกเราลองแบ่งศัตรู อาจเอาชนะระดับสุดยอดหนึ่งหรือสองคนได้”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา
ไต้ซือเหิงหย่วนเหลียวซ้ายแลขวา สุดท้ายก็มองมาทางฆ้องเงินสวี่ ซึ่งเขามีความสัมพันธ์ด้วยดีที่สุด
“ใต้เท้าสวี่เห็นว่าอย่างไร”
สวี่ชีอันส่ายหัว
“ฮวงและเทพกู่เป็นเทพมาร คนหนึ่งหลับใหลอยู่ในซินเจียงตอนใต้หลายปีไม่รู้จบ อีกคนระเหเร่ร่อนอยู่ในโพ้นทะเล พวกเขาไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดที่สร้างศาสนาขึ้นเพื่อรวบรวมโชคชะตา
“ทันทีที่เกิดมา สิ่งแรกที่ต้องทำย่อมเป็นการรวบรวมโชคชะตา ทว่าซินเจียงตอนใต้นั้นมีประชากรน้อย โชคชะตาบางเบา หากท่านเป็นเทพกู่ ท่านจะทำเช่นไร”
ไต้ซือเหิงหย่วนเข้าใจแล้ว
“เข้าโจมตีที่ราบลุ่มภาคกลาง และผนวกดินแดนต้าฟ่ง”
แดนประจิมถูกพระพุทธเจ้าแทนที่ไปแล้ว ตะวันออกเฉียงเหนือก็ยากจะหนีพ้นเงื้อมมือของเทพพ่อมดได้แน่ ดังนั้นการขึ้นเหนือเพื่อยึดที่ราบลุ่มภาคกลางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ฮวงเองก็เช่นกัน
“แล้วเทพพ่อมดกับพระพุทธเจ้าล่ะ” เหิงหย่วนถามอย่างไม่เต็มใจ
อาซูหลัวหัวเราะเยาะ
“แน่นอนว่าต้องฉวยโอกาสแบ่งที่ราบลุ่มภาคกลางเหมือนแบ่งแตง คิดว่าจะช่วยต้าฟ่งปกป้องที่ราบลุ่มภาคกลางรึ คิดว่าต้าฟ่งจะสละดินแดนเพื่อแสดงความขอบคุณรึ
“ภิกษุเช่นเจ้าช่างโง่เขลาจริงๆ”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์สีหน้าเคร่งขรึม
“เมื่อเผชิญหน้ากับระดับสุดยอด กลยุทธ์ใดๆ ก็ล้วนน่าขันและน่าสมเพช”
สวี่ชีอันพ่นลมหายใจ แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า
“ดังนั้นเมื่อครู่ข้าจึงบอกว่า น่าเสียดายนักที่ไม่พบหนทางเลื่อนสู่เทพยุทธ์”
เวลานี้ เว่ยเยวียนจึงเอ่ยปาก “ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางไปเสียหมด ในเมื่อเจ้าเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ครึ่งก้าวแล้ว ก็ไปที่เมืองจิ้งซานสักครั้ง ดูว่าจะทำลายสำนักพ่อมดได้หรือไม่ ส่วนทางด้านซินเจียงตอนใต้ ให้ย้ายคนทั้งหมดของเผ่าพันธุ์กู่ไปยังที่ราบลุ่มภาคกลาง นี่ไม่เพียงเป็นการรวบรวมกำลังเท่านั้น ยังทำให้เทพกู่อ่อนแอลงด้วย
“หลังจากคลี่คลายสองเรื่องข้างต้นแล้ว สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าก็ออกทะเลไปอีกรอบ บางทีท่านโหราจารย์อาจกำลังรอเจ้าอยู่ที่นั่น
“ฝ่าบาท จะต้องทรงดำเนินการจัดการกับสาวกพุทธมหายานโดยเร็วที่สุด สิ่งนี้จะทำให้รวบรวมโชคชะตาได้ดีขึ้น”
คำพูดเพียงไม่กี่คำก็จัดการเรื่องที่ต้องทำต่อจากนี้ได้เรียบร้อยแล้ว
จู่ๆ ฉู่หยวนเจิ่นก็ถามขึ้นว่า
“เมี่ยวเจินเล่า เหตุใดเมี่ยวเจินไม่กลับมาพร้อมกับท่าน”
จริงด้วย ยังมีเมี่ยวเจิน…ทุกคนพลันนึกถึงจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินขึ้นมา
สวี่ชีอันตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วหัวใจก็จมดิ่ง
“ตอนนั้นสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าได้ส่งตัวกลับมาโดยตรงแล้ว จึงไม่ได้พบนางระหว่างทาง นางคงไม่ได้ยังหาข้าอยู่ที่โพ้นทะเลหรอกกระมัง”
สมาชิกพรรคฟ้าดินพากันประสานมือโค้งตัวให้เขา ส่งสัญญาณว่านี่เป็นความผิดของเจ้า
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยด้วยความเข้าอกเข้าใจว่า
“อาตมาจะช่วยท่านบอกนางสักครั้ง”
ก่อนก้มหน้าหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา แล้วคุยกับหลี่เมี่ยวเจินเป็นการส่วนตัว
หมายเลขเก้า ‘เมี่ยวเจินเอ๋ย กลับมาเถอะ พระพุทธเจ้าถอยไปแล้ว’
หมายเลขสอง ‘อะไรนะ’
หมายเลขเก้า ‘สวี่หนิงเยี่ยนกลับมานานแล้ว และร่วมมือกับเสินซูขับไล่พระพุทธเจ้า เวลานี้สงบแล้ว’
ทางด้านนั้นเงียบไปครู่ใหญ่ หมายเลขสอง ‘เหตุใดไม่บอกข้า’
นักบวชเต๋าจินเหลียนราวกับจะเห็นคิ้วชี้ตรงจากความโกรธและท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของหลี่เมี่ยวเจิน
หมายเลขเก้า ‘สวี่หนิงเยี่ยนบอกว่าลืมเจ้าไปเสียสนิท’
หมายเลขสอง ‘อ้อ!’
เงียบสนิท
นักบวชเต๋าจินเหลียนวางสมุดปฐพีลง แล้วยิ้มกริ่มพลางว่า
“เมี่ยวเจินยังอยู่โพ้นทะเลจริงๆ”
สวี่ชีอันส่งเสียงกระแอม
“ไม่ได้โกรธกระมัง”
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหัว
“นิ่งมาก ไม่ได้โกรธ”
สมาชิกพรรคฟ้าดินประสานมือให้สวี่ชีอันอีกครั้ง อย่าไปเชื่อตาเฒ่าเหรียญปากผี
สวี่ชีอันคำนับคืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทุกคนสนทนาลับกันพักหนึ่ง แล้วจึงพากันแยกย้าย
“ฆ้องเงินสวี่รอก่อน เรามีเรื่องจะถามเจ้า”
ฮว๋ายชิ่งจงใจรั้งสวี่ชีอันไว้
“ข้าก็จะอยู่ฟังสักหน่อย” เจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจเอ่ยพลางยิ้มกริ่ม
ฮว๋ายชิ่งเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจนัก จนปัญญาที่จิ้งจอกจำแลงเป็นผู้ไม่รู้ความทั้งยังหนังหน้าหนา จึงไม่เก็บมาใส่ใจ
ความจริงที่ฮว๋ายชิ่งรั้งเขาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงจะถามรายละเอียดระหว่างการเดินทาง และเรียนรู้เกี่ยวกับโลกของโพ้นทะเล
“โพ้นทะเลมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์จนใช้ไม่หมด น่าเสียดายที่กองทัพเรือของต้าฟ่งมีความสามารถอยู่จำกัด มิอาจล่องเรือไปไกล อีกทั้งทายาทเทพมารก็มีมาก อันตรายเกินไป…” ฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยความเสียดาย
สวี่ชีอันเอ่ยคล้อยตามไปสองสามคำ เขาเพียงอยากจะกลับบ้านไปจัดดอกไม้ รวมตัวกับภรรยาที่รักซึ่งจากกันไปนาน
จิ้งจอกเก้าหางกลอกตาแล้วยิ้มพลางว่า
“พูดถึงสมบัติ ฆ้องเงินสวี่ได้ขอสมบัติชิ้นหนึ่งจากเกาะมนุษย์เงือกมาให้ฝ่าบาทด้วย”
ฮว๋ายชิ่งให้ความสนใจทันที และมองสวี่ชีอันอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ไข่มุกนางเงือก…สวี่ชีอันถลึงตาใส่จิ้งจอกเก้าหาง หาเรื่องอีกแล้ว
จิ้งจอกเก้าหางใช้ขาเตะเขาแล้วเร่งเร้าว่า
“ไข่มุกนางเงือกล่ะ รีบเอาออกมาสิ นั่นเป็นไข่มุกที่มีหนึ่งเดียวในโลก ประเมินค่าไม่ได้เชียวนะ”
สวี่ชีอันครุ่นคิดจริงจังอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนตัดสินใจตามน้ำ ให้ความร่วมมือกับการก่อเรื่องไร้สาระของจิ้งจอกจำแลง
เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่า ฮว๋ายชิ่งคิดอย่างไรกับเขากันแน่
จักรพรรดินีผู้นี้เป็นผู้ที่มีความคิดล้ำลึกที่สุดในบรรดาสตรีที่เขารู้จัก ทั้งมีความปรารถนาในอำนาจอย่างแรงกล้า และความทะเยอทะยานซึ่งไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย
นับเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง มีเหตุผล และมุ่งมั่นในการทำงาน
แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับองค์หญิงหลินอันผู้โง่เขลาที่ในหัวมีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ
ความใกล้ชิดที่ฮว๋ายชิ่งมีต่อเขา ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและผลประโยชน์
หรือเป็นความชมชอบ ชื่นชมเขาจากก้นบึ้งหัวใจกันนะ
หากเป็นความชอบ เช่นนั้นจะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน มีความรู้สึกดีๆ อยู่บ้าง หรือว่ารักปานดวงใจ
ให้ไข่มุกนางเงือกเป็นเครื่องพิสูจน์สักหน่อยแล้วกัน
สวี่ชีอันหยิบไข่มุกนางเงือกออกมาทันที ก่อนถือไว้กลางฝ่ามือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“คือมันนี่เองแหละ”
ไข่มุกนางเงือกมีสีขาวนวล กลมเกลี้ยงโปร่งแสง มีประกายแวววาวเล็กน้อย เพียงแรกเห็นก็มิอาจประเมินค่าได้ สตรีใดที่รักเครื่องประดับจะต้องสุขใจเมื่อได้เห็นมัน
ฮว๋ายชิ่งเองก็เป็นสตรี จึงต้องตาตั้งแต่แรกเห็น “ให้เราดูหน่อย”
ทันทีที่มือขาวผ่องยกขึ้น ไข่มุกนางเงือกบนฝ่ามือของสวี่ชีอันก็ลอยไปหาฮว๋ายชิ่ง
…………………………………………….