ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 885 กำราบสามดินแดน
บทที่ 885 กำราบสามดินแดน
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่นางถามคำถามนี้ นางก็รู้คำตอบ ชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นในใจนาง สวี่ชีอัน!
ทอดตามองทั่วจิ่วโจว คนผู้เดียวที่มีความแค้นเคืองกับสำนักพ่อมด ทว่ากลับผงาดฟ้าจนถึงขั้นเทพพ่อมดไม่อาจกำราบได้ ก็คือจอมยุทธ์ที่เพิ่งเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งผู้นี้
ตงฟางหว่านหรงย่อมเคยเห็นสวี่ชีอันเคาะประตูบ้านนางด้วยตัวเองมาแล้ว
“คราวที่แล้วข้าเห็นเขามาทวงหนี้ แต่กลับถูกพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เข้าขัดขวาง” ตงฟางหว่านหรงแสดงความกังวลสงสัย
ขนาดตอนนั้นพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ยังเข้ามาขวาง ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึกนานแล้ว ย่อมต้องมีพลังมากกว่าเมื่อครั้งที่เพิ่งหลุดพ้นจากผนึกแน่นอน
ทั้งเทพพ่อมดกับพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังอยู่ในเมืองจิ้งซาน ต่อให้สวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ควรเกรงกลัวสวี่ชีอันขนาดนี้
“อีกอย่าง ข้าได้ยินผู้อาวุโสอูต๋าเป๋าถ่าบอกมาสักพักแล้วว่า จอมยุทธ์ออกทะเลไปอีกคนแล้ว” พ่อมดอีกคนพูดเสริม
เรื่องนี้ตัดความเป็นไปได้ว่าสวี่ชีอันคือศัตรู
ใช่แล้ว นอกจากนี้สวี่ชีอันยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งด้วย สำหรับพวกเขาแล้ว สวี่ชีอันเหนือกว่าจริงๆ แต่สำหรับเทพพ่อมดกับพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่แล้ว สวี่ชีอันอาจไม่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น
หากสวี่ชีอันเป็นศัตรูก็ไม่ควรมีความเคลื่อนไหวเช่นนี้
“หรือจะเป็น…พระพุทธเจ้า?”
พ่อมดคาดเดาอย่างกล้าหาญ
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เห็นเหล่าผู้สวมผ้าคลุมรอบตัวหันมารุมล้อมจ้องมอง
เหล่าเพื่อนร่วมสำนักต่างพ่นคำพูดจำพวก ‘หยุดพูดเรื่องไร้สาระซะ’ ‘มีเหตุผลหน่อย’ ‘ปากอีกาเรอะ’ ‘บ้าไปแล้ว’ เป็นต้น
“แต่ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ใครกันล่ะที่ทำให้เทพพ่อมดกับพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่หวาดกลัวได้” ตงฟางหว่านหรงกระซิบ
มีรายงานเรื่องราวการต่อสู้ในอรัญตาระหว่างผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่งกับสำนักพุทธเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมากลับไปยังสำนักพ่อมดนานแล้ว
ว่ากันว่าพระพุทธเจ้าหลุดจากผนึกได้ก่อนเทพพ่อมด
แม้ผู้บำเพ็ญในระบบพ่อมดจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่ดูเหมือนพระพุทธเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเทพพ่อมด
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง เหล่าพ่อมดรอบตัวเขาล้วนมีสีหน้าไม่สู้ดี
สักพักหนึ่ง พ่อมดก็กระซิบถามตัวเองว่า
“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เรียกพวกเราไปเมืองจิ้งซานเพื่อช่วยเทพพ่อมดต่อต้านพระพุทธเจ้ามิใช่หรือ?”
ถ้าเป็นเช่นนี้ย่อมมีคนตายเป็นจำนวนมากแน่นอน
ขณะที่เหล่าพ่อมดกำลังคิดหนัก บ้างก็ประหลาดใจบ้างก็หวาดกลัว พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชาข้างรูปปั้นเทพพ่อมดก็ลุกขึ้นยืนทันที
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังพ่อมดอันได้แก่ เจ้าแห่งวัสสานน่าหลันเทียนลู่ ถัดมาคือปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณสองคน อีเอ๋อร์ปู้กับอูต๋าเป๋าถ่าต่างก็ลุกขึ้นยืนเคียงข้างพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ไล่ๆ กัน เหล่าเหนือมนุษย์ทั้งสี่คนของสำนักพ่อมดต่างก็หันหน้ามองทางทิศใต้พร้อมกัน
“ช่างมีชีวิตชีวามาก”
เสียงแจ่มชัดดังก้องกังวานในค่ำคืนมืดมิด
สีหน้าของพี่น้องสองสาว ตงฟางหว่านหรงกับตงฟางหว่านชิงเปลี่ยนไป เสียงนี้คุ้นเคยอย่างยิ่ง พวกนางเคยได้ยินมาแล้วหลายครั้ง
จู่ๆ เหล่าพ่อมดก็หันกลับมามองอีกครั้งและเห็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีครามลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าภายใต้จันทราเต็มดวงสีเงิน
สวี่ชีอัน!
‘เป็นเขาจริงๆ’…ตงฟางหว่านหรงหน้าซีดลงเล็กน้อย นางไม่คาดคิดว่าคนที่ทำให้พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่หวาดกลัวและระดมกำลังพลจำนวนมากขนาดนี้ได้จะเป็นสวี่ชีอันจริงๆ?
นางหันไปมองน้องสาวอีกครั้งและเห็นว่าน้องสาวก็มีสีหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับนาง คือทั้งตกใจและสับสน
‘สวี่ชีอันรึ?!’
พ่อมดหลายพันคนต่างหันไปมองท้องฟ้าเบื้องหลังและเห็นชายหนุ่มอยู่สูงขึ้นไปบนฟากฟ้า
ตอนนี้มีใครในจิ่วโจวไม่รู้จักจอมยุทธ์ในตำนานผู้นี้บ้าง?
ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนที่ทำให้เทพพ่อมดกับพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เกรงกลัวจนต้องเรียกพ่อมดทั้งหมดมารวมตัวกันในเมืองจิ้งซานโดยไม่ลังเล เขาผู้นี้คือสวี่ชีอัน
เขาสมควรได้รับความเกรงกลัวเช่นนี้หรือไม่?
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งสามารถบีบบังคับสำนักพ่อมดของเราได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ?
พ่อมดไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ พวกเขาหันมองซ้ายขวา มองหาคนอื่นที่อาจเป็นศัตรูและเงี่ยหูฟังอย่างเงียบกริบ เพื่อดูว่าพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่กับจอมยุทธ์ในตำนานจะพูดอะไร
“ซ่าหลุนอากู่ นับตั้งแต่ข้าสังหารเจิ้นเต๋อไป เจ้าก็เพ่งเล็งข้ามาตลอด เมื่อวานข้าต่อสู้กับพระพุทธเจ้าที่ชายแดนเล่ยโจว สำนักพ่อมดของเจ้าก็ยังเติมฟืนใส่กองไฟไม่หยุดหย่อน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะมีวันนี้วันที่ได้ชำระบัญชีกัน!”
เสียงของสวี่ชีอันชัดเจนและสงบนิ่ง ทว่าดังก้องอยู่ในหูพ่อมดทุกคน
พ่อมดหลายพันคนล้วนได้ยินชัดเจน ตั้งแต่แรกแล้วพวกเขาแน่ใจอย่างหนึ่งว่า จริงๆ แล้วสวี่ชีอันมาที่นี่เพื่อแก้แค้น เพราะหลายครั้งหลายคราก่อนหน้านี้พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เคยทำให้เขาต้องขุ่นเคือง
แต่ทว่าเหล่าพ่อมดไม่อาจเข้าใจเรื่องราวถัดมาได้
‘เขาว่ากระไรนะ ประมือกับพระพุทธเจ้าที่ชายแดนเล่ยโจวรึ? สวี่ชีอันกับพระพุทธเจ้าสัปยุทธ์กันที่ชายแดนเล่ยโจวจริงรึ? เขาไม่ได้เป็นแค่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งใช่หรือไม่? เมื่อไหร่กันที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ระดับสุดยอดได้’…คำถามนี้ผุดขึ้นในใจพ่อมดทุกคน
ต่อให้ผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งจะไม่ใช่ขั้นที่สามารถบรรลุกันได้ง่ายๆ ในสายตาผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญทั่วไป แต่ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดแล้วย่อมต้องเป็นเทพเจ้าในสายตาผู้คนแน่
ใครก็ตามที่มีความรู้และประสบการณ์ย่อมรู้ว่าที่ตรงนี้ยังมีช่องว่างที่ไม่ว่าจะเพียรพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถผ่านไปได้
“ตูม”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมไปด้วยเมฆหนาทึบเข้าบดบังจันทราเต็มดวงจนมืดมิด
ทว่ากลับมีพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ยืนอยู่บนขอบแท่นบูชา อ้าแขนกว้างสื่อสารกับพลังแห่งฟ้าดิน
ลำแสงสายฟ้าหนาเท่าถังเก็บน้ำฟาดลงมาโจมตีจอมยุทธ์กลางเวหา ฟ้าดินขับไล่เขา ต่อต้านเขา ปรารถนาจะสังหารเขา ให้เขายอมรับความพ่ายแพ้
พ่อมดตัวสั่นสะท้านภายใต้พลังแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่ ในขณะที่เหล่าพ่อมดมั่นใจขึ้นเล็กน้อย
นี่คือพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา
ฟ้าดินกลายเป็นสีขาวสว่างจ้าทันที ขณะที่ลำแสงสายฟ้าบิดเบี้ยวฟาดลงมาอย่างดุเดือด
แม้ต้องเผชิญหน้าสวรรค์ลงทัณฑ์อันสาหัสสากรรจ์ยิ่ง สวี่ชีอันกลับทำเพียงยกมือขึ้นแตะมันเบาๆ ทันใดนั้น ฟ้าดินก็กลับคืนสู่ความมืดมิดและเมฆดำก็พลันสลาย
ในฝ่ามือสวี่ชีอันมีลูกอัสนีบาตทรงกลมที่พื้นผิวรอบนอกล้อมรอบไปด้วยสายฟ้าขณะที่แกนกลางเป็นสีขาว
“ซ่าหลุนอากู่ ตอนนี้เจ้าแย่กว่าเก่าอีกนะ!”
เขายกฝ่ามือขึ้นดับอัสนีบาตลูกนั้น แล้วเกร็งหลังชักแขนขวากลับไป ผิวหนังของเขาสว่างขึ้นดารดาษไปด้วยลายเส้นซับซ้อนและลึกซึ้งจนทำให้ผู้คนเวียนหัว
พื้นที่รอบหมัดของเขาบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันไม่สามารถรับแรงกดดันอันหนักหน่วงได้ และกำลังจะแตกหัก
สวี่ชีอันต่อยออกมากลางอากาศ พลังหมัดของเขาทำให้เกิดเสียงระเบิดรุนแรง
การโจมตีของจอมยุทธ์นั้นย่อมไม่โอ้อวด
แต่พ่อมดที่อยู่เบื้องล่างเห็นด้วยตาตัวเองว่าพื้นที่ด้านหน้าพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่นั้นพังทลายลงราวกับกระจก ได้ยินแต่เสียงอู้อี้ในอากาศว่างเปล่า
ดังที่เราทุกคนรู้กันดีว่าพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ขั้นหนึ่งสามารถใช้พลังแห่งฟ้าดินเพื่อปัดเป่าศัตรูได้ สิ่งนี้ทำให้เขาอยู่ยงคงกระพันแต่กำเนิด
เว้นแต่จะมียอดฝีมือระดับเดียวกันเข้าขัดเกลาฟ้าดิน ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากหากพวกเขาคิดทำร้ายพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
ตอนอยู่สถานะสูงสุด ซ่าหลุนอากู่เคยใช้กระบวนท่านี้จัดการท่านโหราจารย์กับเว่ยเยวียนมาแล้วและยังไม่เคยล้มเหลว
“พู่ว…”
แต่คราวนี้ ความสามารถตามระบบพ่อมดขั้นแรกดูเหมือนจะล้มเหลว ซ่าหลุนอากู่พ่นละอองโลหิตออกมา ร่างกายงุ้มงอ ขาสองข้างแยกออกจากกันลื่นไถลไปตามพื้น
โลหิตสีแดงสดเปรอะเลอะหนวดเคราดกหนาของเขา
ท่าทีของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เริ่มย่ำแย่รวดเร็ว ดวงตาของเขาแดงก่ำ ราวกับชายชราน้ำมันหมด
ซ่าหลุนอากู่นั่งขัดสมาธิทั้งที่โลหิตไหลซึมเปรอะเลอะทั่วร่าง เขารีบกำจัดพลังปราณที่รุกเร้าร่างกายออกไปและเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บ
เขาไม่ได้พยายามโต้กลับด้วยวิชาสาปสังหาร เพราะมันถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจทำร้ายเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้
ความโกลาหลพลันบังเกิด
พ่อมดด้านล่างได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง แต่ไม่มีใครกล้าเชื่อ
หมัดเดียว หมัดเดียวสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพ่อมดขั้นหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องที่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งสามารถทำได้งั้นรึ?
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงนึกถึงสิ่งที่สวี่ชีอันพูดเมื่อครู่ ‘ข้าต่อสู้กับพระพุทธเจ้าที่ชายแดนเล่ยโจว’
ทันใดนั้นพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่จึงได้เกรงกลัวจอมยุทธ์ที่อยู่ตรงหน้า ตบะของเขาทรงพลังเกินกว่าขอบเขตที่พวกเขาเคยจินตนาการไว้
‘นี่เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น’…
‘เนื่องจากบุคคลในตำนานเลือกที่จะเป็นศัตรู จึงควรกำจัดมันทิ้งให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วมันย่อมส่งผลย้อนกลับ ไม่สิ มันได้ส่งผลย้อนกลับมาแล้ว’…
‘ตอนนี้เขาอยู่ในระดับไหน?’…
ความคิดทุกประเภทพลุ่งพล่านอยู่ในใจพ่อมด
พี่น้องสองสาวตงฟางมองหน้ากันด้วยความตกใจ ต่างเห็นความกลัวและความตกใจในสายตาของกันและกัน ในเวลาเดียวกันตงฟางหว่านหรงก็เห็นเทพพ่อมดข้างๆ นางตัวสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว
หลังจากสวี่ชีอันทำให้พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่บาดเจ็บสาหัสในหมัดเดียว เขาก็มิได้ลงมือต่อหากว่าร้องตะโกน
“เทพพ่อมด!”
“เชื่อหรือไม่ ข้าจะสังหารศิษย์และลูกหลานของเจ้าทุกคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!”
สิ้นเสียง รูปปั้นที่สวมมงกุฎหนามก็ส่งเสียงพึมพำด้วยความตกใจ แล้วหมอกสีดำหนาทึบราวธารน้ำมันพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวเป็นม่านหมอกบดบังจันทราเต็มดวงเสียมิด
หลังม่านเปิด ดวงตาเย็นชาที่ไม่แยแสสิ่งใดคู่หนึ่งพลันจับจ้องมองไปทั่วโลก
สวี่ชีอันไม่ได้อยากจะสังหารพ่อมดหลายพันคนที่อยู่ด้านล่าง เพราะเขารู้ว่ามันถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องล้มเหลว เพราะเมื่อเขาก้าวเข้าสู่เขตแดนเมืองจิ้งซาน ฟ้าดินก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเทพพ่อมดแล้ว
หมัดที่ทำให้ซ่าหลุนอากู่บาดเจ็บสาหัสเมื่อครู่ได้ผล ดูเหมือนว่าเทพพ่อมดกำลังประเมินพลังต่อสู้ของเขาอยู่
“เทพแม่มดอยู่บนนั้น!”
พ่อมดหลายพันคนกราบไหว้บูชา
ความรู้สึกปลอดภัยพลุ่งพล่านแรงกล้าในใจพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาไม่เกรงกลัวพลังคุกคามจากเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอีกต่อไป
“ถึงตาข้าทดสอบเจ้าแล้ว!”
จอมยุทธ์ต่ำทรามย่อมไม่เคารพการดำรงอยู่ของชนชั้นระดับสุดยอด ลายเส้นซับซ้อนและลึกซึ้งแผ่กระจายไปทั่วร่างกายเขาอีกครั้ง ผิวหนังพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ละอองเลือดพวยพุ่งออกจากรูขุมขน ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังความแข็งแกร่งในบัดดล
พื้นที่กว้างสิบจั้งรอบตัวเขาบิดเบี้ยวรุนแรง ราวกับว่าไม่อาจต้านทานพลังของเขาได้
ร่างทั้งเก้าโผล่ออกมาจากม่านหมอกหนาทึบละม้ายคล้ายน้ำมันที่ปกคลุมท้องฟ้า ใบหน้าของพวกเขาพร่าเลือน แต่ละร่างอัดแน่นไปด้วยพลังน่าสะพรึงกลัวทว่าท่วมท้นไปด้วยพลังปราณน่าเกรงขาม
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจำนวนเก้าคน
นี่คือจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งที่เทพพ่อมดได้หมายตาและสังหารไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในเวลานี้ มันถูกอัญเชิญผ่านความสามารถของ ‘พ่อมดผู้ประสาทพร’ ขั้นห้า
ตามหลักการแล้ว เทพพ่อมดยังสามารถอัญเชิญท่านโหราจารย์รุ่นแรกและนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อมาได้ด้วย ทั้งสองคนที่ว่ามาล้วนมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเขา แต่ความจริงแล้วการดำรงอยู่ของท่านโหราจารย์รุ่นแรกจะถูกท่านโหราจารย์ในสมัยปัจจุบันลบล้าง
หากท่านเรียกนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊ออาจจู่โจม ‘ผู้อัญเชิญ’ อย่างรุนแรง
สวี่ชีอันเหยียดแขนขวาออก เผชิญหน้ากับวิญญาณจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งผู้กล้าหาญทั้งเก้าคนด้วยฝ่ามือและบีบพวกเขาอย่างรุนแรง
ปัง ปัง ปัง…
จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งทั้งเก้าคนระเบิดไปทีละคน กลับไปสู่หมอกสีดำบริสุทธิ์ กลับไปยังม่านหมอกที่บดบังฟากฟ้าและดวงจันทราจนมืดมิด
อย่างมากวิญญาณจอมยุทธ์ที่พ่อมดเรียกออกมาจะมีพลังความแข็งแกร่งและการป้องกันเยี่ยงเจ้าของเดิม ทว่ากลับมีความสามารถต่ำกว่าระดับเหนือมนุษย์
ทั้งยังไม่มีความดื้อรั้นถือดีว่าตนมีร่างกายอมตะหรือถือตนว่าเป็นระดับผสานเต๋า
และหากเป็นเพียงการแข่งขันด้านพลังความแข็งแกร่ง สวี่ชีอันผู้กลืนกินแก่นแท้จิตวิญญาณของเทพมารไป ย่อมสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งสิบคนนี้ได้
ควรรู้ว่าแม้แต่ในระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว สวี่ชีอันต้องนับว่าเก่งที่สุด อย่างน้อยพลังของเสินซูก็ยังไม่ดีเท่าเขา
ครู่ต่อมา มีเสียง ‘เคร้ง’ ดังมาจากหน้าอกของสวี่ชีอันราวกับทองคำปะทะก้อนหิน
หน้าอกของเขายุบลงไป
เทพพ่อมดใช้ประโยชน์จาก ‘การล่มสลาย’ ของวิญญาณผู้กล้าทั้งเก้าดวงเพื่อโจมตีเขาด้วยคำสาปสังหาร
มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ และพลังนี้ก็เพียงพอที่จะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในทุกระดับขั้น
สมควรแล้วที่เป็นระดับสุดยอด ไม่ว่าจะใช้วรยุทธ์ใดก็สามารถทำให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งสูญเสียพลังการต่อสู้ไปได้ชั่วคราว…สวี่ชีอันตัดสินใจเบื้องต้นได้ว่าพลังของเทพพ่อมดเป็นเช่นไร
ก็มิได้แตกต่างจากครั้งแรกที่พระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือเสินซูมากนัก แต่ไม่ดีเท่าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าแปรสภาพเป็นดินแดนประจิมทิศทั้งแผ่นดินในตอนนี้
‘เผียะ!’
เขาดีดนิ้วตัวเอง
ช่วงเวลาต่อมา ม่านหมอกเหนียวหนับที่ปกคลุมท้องฟ้าพลันสั่นสะเทือนรุนแรงและเดือดพล่าน ราวกับว่าถูกเขย่าสุดแรงเกิด
หยกสลาย!
เขาคืนอาการบาดเจ็บที่เทพพ่อมดทำใส่เขากลับไปเต็มร้อย
เทพพ่อมดไม่ได้ร่ายวิชาสาปสังหารต่อเพราะมันจะถูก ‘หยกสลาย’ คืนสภาพกลับมาอีกครั้ง หากเขาใช้วิชาสาปสังหารต่อ ในรอบนี้จะไม่มีการจำกัดจำนวนผลที่เกิดขึ้นตามมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลรองรับ
ม่านหนาคล้ายน้ำมันค่อยๆ ทิ้งตัวลงอย่างช้าๆ ปกคลุมพ่อมดหลายพันคนรอบๆ แท่นบูชา
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ลุกขึ้นและค่อยๆ เอ่ยวาจา
“สวี่ชีอันไม่สามารถหยุดยั้งมหาเคราะห์ได้ วันที่เทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึกจะเป็นเวลาที่ถึงคราวเกิดมหาเคราะห์”
“เจ้าสามารถเปลี่ยนไปใช้ระบบพ่อมด เพื่อที่เจ้าจะได้ปกป้องคนที่อยู่รอบตัวเจ้าและร่วมมือกับกองกำลังเทพพ่อมดเพื่อต่อสู้กับระดับสุดยอดทั้งสี่คน”
สวี่ชีอันพูดด้วยความใจเย็น
“ออกไปซะ!”
“ข้าจะเข้ายึดครองสามดินแดนทั้งเหยียน คังและจิ้ง นี่คือราคาที่สำนักพ่อมดของเจ้าต้องจ่าย”
ม่านหมอกค่อยๆ หดตัวลงและกลับคืนสู่ร่างของรูปปั้นที่สวมมงกุฎหนาม
พ่อมดหลายพันคน รวมถึงซ่าหลุนอากู่ น่าหลันเทียนลู่และปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณสองคน ล้วนถูกหลอมรวมเข้ากับร่างของเทพพ่อมด
นี่คือพรจากเทพพ่อมดเพื่อพวกเขา ป้องกันไม่ให้พวกเขาถูกเทพยุทธ์ครึ่งก้าวชำระบัญชี
แต่ภายในสามชายแดน รวมถึงเมืองจิ้งซานที่อยู่ใกล้เคียง ไม่ได้มีเพียงพ่อมดเท่านั้น แต่ยังมีคนธรรมดาสามัญและจอมยุทธ์ธรรมดาสามัญรวมอยู่ด้วย
เทพพ่อมดย่อมไม่อาจปกป้องคนเหล่านี้ได้
สำนักพ่อมดได้ละทิ้งภาคตะวันออกเฉียงเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาลไปแล้ว นี่คือสิ่งที่สวี่ชีอันพูดว่าเป็นราคาที่ต้องจ่าย
แน่นอนว่าสำหรับเทพพ่อมดแล้ว โชคชะตาถูกควบแน่นและเก็บไว้ในตราราชลัญจกร ในช่วงเวลาอันสั้นนี้อาณาเขตย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เมื่อเขาทะลวงผ่านอุปสรรค เขาย่อมสามารถรองรับโชคชะตาและกลืนกินอาณาเขตสามดินแดนได้
“หากไม่มีสำนักพ่อมด สามดินแดนนี้ ทั้งเหยียน คังและจิ้งก็ย่อมถูกผนวกรวมเข้าสู่อาณาเขตต้าฟ่ง ด้วยผู้คนหลายล้านคนเหล่านี้ โชคชะตาของต้าฟ่งย่อมเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับตอนนี้ นี่เป็นเรื่องดี แจ้งฮว๋ายชิ่งให้รู้ก่อนและบอกให้นางเข้ายึดครองสามดินแดนนี้ให้เร็วที่สุด”
ประชากรย่อมส่อแสดงถึงโชคชะตา
โชคชะตาของสามดินแดนทั้งเหยียน คังและจิ้งหมดไปแล้ว ดังนั้นผลลัพธ์เดียวของพวกเขาคือการกลับไปยังต้าฟ่ง ตั้งแต่นั้นมาสามดินแดนนี้ก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป
ในโลกนี้มียามมืดย่อมมียามสว่าง
ในเวลานี้ มองลงไปที่พื้นเบื้องล่าง สวี่ชีอันเห็นคนที่ยังอยู่ที่นี่มิได้ออกไปไหน
นางมีใบหน้างดงาม มีรูปร่างสง่างามและเป็นที่รู้จักของผู้คน
อดีตคนรักของเทพบุตร ตงฟางหว่านชิง
เนื่องจากนางเป็นจอมยุทธ์ จึงไม่ถูกเทพพ่อมดพาไปและตอนนี้นางก็กำลังขวัญเสีย
“พากลับไปเมืองหลวงแล้วมอบให้หลี่หลิงซู่เป็นของที่ระลึก เทพบุตร เจ้าต้องดูแลเอวของเจ้าด้วย”
สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วส่งข้อความ
หมายเลขสาม ‘ทุกคน ข้าอยู่ในเมืองจิ้งซาน’
……………………………………………
……….