ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 886 สามเดือน
บทที่ 886 สามเดือน
Ink Stone_Fantasy
หมายเลขหนึ่ง ‘นี่เจ้าบุ่มบ่ามไปสะสางแค้นที่สำนักพ่อมดงั้นรึ? สถานการณ์ทางสำนักพ่อมดเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า?’
หากเป็นประเด็นเกี่ยวกับการเมือง ฮว๋ายชิ่งมักตอบสนองเร็วกว่าคนอื่นๆ จึงตอบกลับเป็นคนแรก
ทั้งนี้นางไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวมากนัก เพียงรู้สึกว่าการกระทำของสวี่ชีอันนั้นหุนหันพลันแล่นเกินไป เขาเปิดฉากต่อสู้กับสำนักพ่อมดโดยไม่เรียกกลุ่มเหนือมนุษย์คนอื่นๆ หรือแม้แต่เสินซูให้มาช่วย
หมายเลขเจ็ด ‘เทพยุทธ์ครึ่งก้าวหนังหนาออกขนาดนั้น คงไม่ตายง่ายๆ หรอก’
หลังมาถึงซินเจียงตอนใต้เมื่อวันก่อน หลี่หลิงซู่ที่ไม่ได้กลับเมืองหลวงไปพร้อมกับเย่จี โดยวางแผนพักอ้างแรมอยู่ที่ดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นเวลาสองสามวัน เอ่ยตอบเป็นคนถัดมา
เขาถือเป็นแขกคนสำคัญของดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจให้การต้อนรับเขาด้วยเหล้าและเนื้อชั้นดี ทั้งยังมีนางจิ้งจอกแสนสวยมาร้องรำลอยชายประกอบจังหวะ ครั้นเทพบุตรเมาได้ที่ก็เข้าไปสุมวงร้องรำทำเพลงกับนางจิ้งจอกด้วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้จะสุขสมเพียงใด แต่เขาจะไม่ให้มีภาระมาพัวพันเด็ดขาด เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นแขกคนสำคัญ เขาย่อมมีอภิสิทธิ์เพียงพอ
แน่นอนว่ามีนางจิ้งจอกมากมายอยากร่วมหลับนอนกับเขา แต่หลี่หลิงซู่ก็ยืนกรานปฏิเสธ
‘ทุกคนรื่นเริงให้เต็มที่เถิด อย่าได้คิดจะนอนกับข้าเลย’
กลับกันหากเป็นในบ้านอาจต่างออกไปลิบลับ พวกผู้หญิงที่หลงใหลในความงามของเขา คงรุมทำอะไรต่อมิอะไรกับเขาไปแล้ว
สรุปคือถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งที่เขาสามารถใช้ชีวิตในสภาวะมึนเมาที่ซินเจียงตอนใต้ได้โดยไม่ต้องปีนกำแพงหนีผู้หญิงแต่อย่างใด
หมายเลขสอง ‘ตายสิดี!’
หลี่เมี่ยวเจินสาปแช่งด้วยความกรุ่นโกรธ
นางเพิ่งกลับมาจากการเดินทางอันแสนยาวนานที่โพ้นทะเล และกำลังหาเรื่องให้สวี่หนิงเยี่ยนทำในเช้าวันรุ่งขึ้นอยู่ แต่สุดท้ายเขาดันไปมีเรื่องที่เมืองจิ้งซานเสียเองเนี่ยนะ?
หลี่เมี่ยวเจินฉุนเฉียวแล้ว ไว้เขียน ‘จดหมายแห่งมิตรภาพ’ ให้นางทีหลังแล้วกัน…สวี่ชีอันกล่าวในใจ ก่อนเขียนข้อความต่อมา
ข้ายึดดินแดนทั้งสามมณฑลทางตะวันออกเหนือได้หมดแล้ว โปรดฝ่าบาทส่งกองกำลังเข้ายึดอาณาเขตของสำนักพ่อมดโดยด่วน’
ในพระราชวัง ณ เมืองหลวงอันห่างไกล จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็พลิกตัวลุกพรวดขึ้นนั่ง พลางจ้องมองไปที่ผิวกระจกหยกบานเล็กอย่างเลื่อนลอย
‘ยึดได้แล้ว?!’
‘ยึดได้แล้วจริงๆ หรือ?’
ตั้งแต่สมัยโบราณกาล สำนักพ่อมดได้ครอบครองดินแดนตะวันออกเหนือทั้งหมด ประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าต้าฟ่ง มีระบอบการปกครองระดับสุดยอดและทหารม้าที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ เฉกเช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางชายแดนตอนเหนือที่สร้างความกังวลให้กับต้าฟ่ง
กลายเป็นว่าสำนักพ่อมดสูญสิ้นไปเพียงชั่วข้ามคืน?
หมายเลขหนึ่ง ‘เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่มีทางน่า เทพพ่อมดไม่ปกป้องสำนักพ่อมดอย่างนั้นหรือ?’
สวี่ชีอันปักรายละเอียดของเรื่องราวทั้งหมดไว้ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี
เขาไม่ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงหรือสิ่งจะตามมาหลังจากเทพพ่อมดปกป้องพ่อมด ตลอดจนต้าฟ่งจะได้รับผลประโยชน์อะไร เพราะสวี่ชีอันเชื่อว่าในหมู่สมาชิกของพรรคฟ้าดินยกเว้นลี่น่า เชาวน์ปัญญาของคนอื่นๆ อยู่ในระดับเหนือพื้นฐานทั้งสิ้น
ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเลย
ทว่าสิ่งเดียวที่เขาจะต้องอธิบาย คือเรื่องที่เทพพ่อมดปกป้องพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ โดยควบคุมให้พวกเขาเข้าไปในร่างกายต่างหาก
หมายเลขสาม ‘ดูเหมือนว่าระดับสุดยอดจำเป็นต้องยอมรับวิถีหลอมรวมร่างกายของตัวเองเข้ากับผู้ฝึกตน ตอนที่ข้าเข้าช่วยเหลือศีรษะของเสินซู พระโพธิสัตว์ทั้งสามก็ได้ถูกรวมเข้ากับร่างของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน’
หมายเลขเก้า ‘สำนักพ่อมดถูกบังคับให้เสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่สินะ’
นักบวชลัทธิเต๋าจินเหลียนโผล่มาแสดงความคิดเห็น
หมายเลขแปด ‘แล้วการปิดผนึกเทพพ่อมดเป็นอย่างไรบ้าง?’
อาซือหลัวส่งข้อความถาม
มหาเนตรบนข้อมือของสวี่ชีอันสว่างวาบขึ้น จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวที่บนแท่นบูชา ระหว่างรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อและรูปปั้นเทพพ่อมด
รูปปั้นสวมมงกุฎหยกหนามบนศีรษะ ดวงตาค่อยๆ เคลือบฉาบด้วยหมอกสีดำ จ้องมองมาที่เขาอย่างไร้อารมณ์
มองทำไม เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก…สวี่ชีอันเพิกเฉยต่อสายตาของเทพพ่อมด พลางสำรวจรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ
เผ่าพันธุ์มนุษย์มีอายุสั้นที่สุด ทว่ากลับมีประติมากรรมอันน่ายอดเยี่ยมเกรียงไกรที่สุด ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกร้าวที่คล้ายกับใยแมงมุม ราวกับหากลมพัดมามันอาจแตกสลายเป็นผุยผงก็เป็นได้
หมายเลขสาม ‘ไม่เกินสามเดือน ตราผนึกของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะสลายไป’
วันเวลาแห่งมหาเคราะห์คืบคลานเข้ามาแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะท้ายปี!
‘สามเดือน…’ หัวใจของสมาชิกพรรคฟ้าดินพลันจมดิ่งลง ลางหายนะและความรู้สึกวิตกแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง
ถ้าพวกเขาไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับมหาเคราะห์มาก่อน ในใจคงได้แต่ภาวนาขอให้ไม่เกิดเหตุร้ายใดๆ ตามมา คิดว่าแม้พวกเขาจะต้านลิขิตแห่งสวรรค์ไว้ไม่ได้จริงๆ แต่ด้วยพลังระดับเหนือมนุษย์ที่มี ย่อมหาทางออกได้เสมอ
หากจิ่วโจวอยู่ไม่ได้ ก็ออกทะเลไปสิ
โลกแสนกว้างใหญ่ จะไม่มีที่ให้ไปเชียวหรือ?
ทว่าในตอนนี้ได้ล่วงรู้แล้วว่าเป้าหมายของระดับสุดยอดคือการแทนที่วิถีแห่งฟ้าและกลายเป็นจิตตานุภาพของดินแดนจิ่วโจว นั่นจึงทำให้สถานการณ์ต่างออกไป
พวกเขาซึ่งเป็นชาวต้าฟ่งที่เหลือรอด เกรงว่าต่อให้จะหนีไปที่ไหนก็ล้วนแต่เป็นทางตัน
แม้ว่าโลกจะกว้างใหญ่เพียงใดก็คงไม่มีที่สำหรับพวกเขา
หมายเลขเก้า ‘หากไม่สามารถเอาชนะมหาเคราะห์ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกจะถูกกำจัดออกไป’
หมายเลขหก ‘อมิตตาพุทธ สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นทุกข์’
ด้วยบุญกุศลของนักบวชเต๋าจินเหลียนและหลี่เมี่ยวเจินที่ได้สั่งสมมา ด้วยจิตเมตตากรุณาของไต้ซือเหิงหย่วน สิ่งที่คำนึงจึงไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเอง แต่กลับเป็นความอยู่รอดของผู้คน
จินเหลียน เหิงหย่วนและเมี่ยวเจินคือสิ่งที่อันตรายที่สุด พวกเขาอาจพลีกายโกงชะตาของตัวเอง…ไม่ ข้าจะไม่มีวันให้พวกเขาปักธงทำอย่างนั้นแน่ ผิดบาป ผิดบาป…สวี่ชีอันสลัดความคิดนี้ออกจากใจอย่างรวดเร็ว
ในบรรดาสมาชิกคนอื่นๆ อาทิเทพบุตร ฉู่หยวนเจิ่นหรืออาซูหลัว พวกเขาค่อนข้างยึดหลักเหตุผลมากกว่า หรือก็คือขาดจิตสำนึกที่จะอุทิศตนเพื่อคนทั่วไปนั่นเอง
หมายเลขเจ็ด ‘หากมหาเคราะห์ถึงจุดไม่อาจหวนกลับจริงๆ สวี่หนิงเยี่ยนต้องตายเป็นแน่แท้สิน่า’
ยามนี้เทพบุตรถอนหายใจลงในกลุ่มสนทนาอย่างปลงตก
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดคุยกันครู่หนึ่ง
อา แท้จริงแล้วพวกเขาก็ปักธงแห่งความหวังไว้ในใจของข้าด้วย…สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ
ข้าได้พบกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่สำนักพ่อมด เทพบุตร เขาเป็นคนสนิทของตงฟางหว่านชิง’
หมายเลขสี่ ‘ขอแสดงความยินดีกับเทพบุตร’
ฉู่หยวนเจิ่นรีบโพล่งขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึม
หมายเลขสอง ‘ยินดีด้วยพี่ใหญ่’
หมายเลขแปด ‘ยินดีด้วย!’
หมายเลขเก้า ‘ยินดีด้วย!’
สมาชิกคนอื่นๆ ต่างแห่แหนเข้ามาแสดงความยินดี
…
ซินเจียงตอนใต้อันห่างไกล ใบหน้าของหลี่หลิงซู่ค่อยๆ เรียบตึง นางจิ้งจอกที่กำลังกรีดกรายร่ายรำในห้องโถงหมดความอภิรมย์ไปทันตา
‘ให้ข้าพักผ่อนสักหน่อยเถอะ ความอยากอาหารลดฮวบไปหมดแล้วเนี่ย เจ้าบ้าสวี่หนิงเยี่ยน…’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจพลางส่งข้อความถาม
‘พี่หรง เหล่าพ่อมดรวมร่างเข้ากับเทพพ่อมดอย่างนั้นรึ?’
ปากพร่ำบ่นทว่าในใจยังคงคำนึงหาผู้หญิงของเขาอยู่เสมอ
หมายเลขสาม ‘อื้อ!’
หลังจากสิ้นสุดการสนทนากลุ่ม สวี่ชีอันก็เคลื่อนไปยังร่างของตงฟางหว่านชิง
ร่างระหงของคนด้านหลังพลันประหม่า ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“กลับเมืองหลวงไปพร้อมข้าเถอะ หลี่หลิงซู่รอเจ้าอยู่ที่นั่น” สวี่ชีอันมองอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น
“แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกกลับไปที่ตำหนักมังกรตงไห่ได้เช่นกัน”
แม้สีหน้าและน้ำเสียงของเขาจะสงบเงียบมากหรือเรียกได้ว่าไร้เยื่อใยแบบสุดๆ กระนั้นตงฟางหว่านชิงกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เพราะนางรู้อยู่แล้วว่ายามอยู่ต่อหน้าบุคคลในตำนานผู้นี้ ตัวนางแทบไม่ต่างกับสัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่ง หากอีกฝ่ายต้องการฆ่ากันทิ้ง นางคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ได้มามัวพูดกับตัวเองแบบนี้หรอก
‘เขาเห็นแก่มิตรภาพที่มีต่อคุณชายหลี่ หาใช่ตัวเราไม่…’ ตงฟางหว่านชิงโค้งคำนับทำความเคารพ
“ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ยิ่งนัก”
…
พระราชวัง ห้องทรงพระอักษร
หวางเจินเหวินในชุดราชพิธีสีแดงเข้ม บนศีรษะสวมหมวกประจำตำแหน่ง กำลังก้าวขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มุ่งตรงไปยังห้องทรงพระอักษร
ข้างกายเขาคือเว่ยเยวียนในชุดสีกรมท่าอันวิจิตร จอนผมสีขาวรำไร ดวงหน้าแสนหล่อเหลา
หลังจบการประชุมเมื่อวานนี้ หวางเจินเหวินก็ใช้เวลาราวๆ ชั่วโมงในการงีบหลับที่บ้าน ก่อนจะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ราชการอันหนักหน่วง
ทว่าจิตวิญญาณของหวางเจินเหวินนั้นยังคงแรงกล้า ด้วยยศของเขาและตระกูลซึ่งมียากลืนวิญญาณของสำนักโหราจารย์ที่ได้ผลชะงัดนักสำรองไว้มากมาย ตราบใดที่ไม่เป็นโรคร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกาย
หวางเจินเหวินเคยรอดพ้นจากความเป็นความตายมาคราหนึ่งแล้ว พ่อมดจากสำนักโหราจารย์กล่าวว่าหากเขารอดพ้นจากหายนะได้ เรื่องร่างกายของเขาก็หายห่วงไปอีกสิบปี
‘เรียกตัวมาดึกดื่นเช่นนี้ ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอีกแน่…’ หวางเจินเหวินใบหน้าเคร่งเครียด เพียงภาวนาขอให้อย่าเป็นเรื่องเลวร้ายมากนัก
เขาเหลือบมองไปที่เว่ยเยวียนข้างๆ พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายก็เคร่งเครียดพอกัน
ในยุคแห่งความโกลาหล ไม่ว่าความผันผวนใดย่อมมีผลกับจิตใจของพวกเขาทั้งสิ้น
หลังจากผ่านธรณีประตูห้องทรงพระอักษรเข้ามา หวางเจินเหวินก็กวาดตามองไปรอบๆ พลันเห็นจ้าวโส่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนหน้าแล้ว
‘มาเร็วจริงเชียว!’
ทั้งนี้สำหรับชาวขงจื๊อแล้ว เมื่อได้รับหมายเรียกต้องท่องสิ่งหนึ่งให้ขึ้นใจ
‘ข้าอยู่ในราชสำนัก ย่อมมาถึงได้ในทันที’
หวางเจินเหวินและเว่ยเยวียนเดินตรงไปยังใต้บัลลังก์ พลางประสานมือคำนับจักรพรรดินีท่ามกลางแสงเทียน
ในท้องพระโรง ณ เวลานี้ ขุนนางผู้มีอำนาจสามคนที่จักรพรรดินีทรงไว้วางใจและพึ่งพาอาศัยมากที่สุด ได้แก่เว่ยเยวียน จ้าวโส่ว และหวางเจินเหวิน
มีข่าวลือแพร่สะพัดในราชสำนักว่าฝ่ายสำนักอวิ๋นลู่ซึ่งนำโดยจ้าวโส่วได้รับการสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษจากจักรพรรดินีเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างพรรคหวางและพรรคเว่ย
ดังนั้นยามมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ทั้งสามคนนี้จึงต้องมารวมตัวกัน
“อ้ายชิงทั้งสองเชิญนั่ง”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า พลางสั่งการขันทีจัดแจงที่นั่งให้ผู้มาใหม่
หลังหวางเจินเหวินนั่งลงแล้ว สายตาก็เหลือบมองจ้าวโส่วทันที เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาเรียบนิ่งทั้งเรียวคิ้วผ่อนคลาย ในใจก็รู้สึกโล่งอก
ใช่ว่าคนเจ้าเล่ห์ผู้นี้จะเป็นพวกความคิดตื้นเขินที่ใครต่อใครก็อ่านใจได้ง่ายเสียเมื่อไร หากเผชิญหน้ากับปัญหา โดยไม่มีเรื่องสงครามภายในราชสำนักมาเกี่ยวข้องแล้วล่ะก็ จ้าวโส่วก็คงไม่ต้องมานั่งควบคุมสภาพอารมณ์อยู่แบบนี้
เหมือนกับครั้นที่พระพุทธเจ้าโจมตีเหลยโจว สถานการณ์ตึงเครียดจนทั้งสามเป็นอันขมวดคิ้วมุ่นตลอดทั้งคืน
ทันใดนั้นเขาก็เห็นฮว๋ายชิ่งยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า
“คืนนี้ฆ้องเงินสวี่จะไปที่เมืองจิ้งซานเพื่อสะสางเรื่องราวต่างๆ”
ฉับพลันหวางเจินเหวินลูบเครายกยิ้มเอ่ย
“ถึงเวลาที่จะยุติเรื่องนี้เสียที สำนักพ่อมดมุ่งร้ายต่อราชสำนักและฆ้องเงินสวี่ไม่จบไม่สิ้น ในตอนนี้ฆ้องเงินสวี่บรรลุถึงระดับสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องชดใช้”
“ตาเฒ่าซ่าหลุนอากู่นั่น เกรงว่าจะรนหาเรื่องใส่ตัวเสียแล้ว อืม ฝ่าบาทประสงค์วางแผนนำกองกำลังเข้าโจมตีสำนักพ่อมดเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ถ้าเป็นวิธีนี้คงน่าเชื่อถือมากกว่าการบังคับให้สำนักพ่อมดหันมาเจรจาโดยสันติ ไม่สิ้นเปลืองกองกำลังในการยึดดินแดน ไพร่พล ตลอดจนเสบียงอาหาร
หากสำนักพ่อมดไม่ยินยอม ก็สามารถประกาศสงครามได้อีกครั้ง
ฮว๋ายชิงส่ายหน้า
“ข้าไม่ต้องการโจมตีสำนักพ่อมด คืนนี้ที่เรียกรวมพลอ้ายชิงทั้งสาม ก็เพื่อหารือร่วมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องยึดครองเหยียน คัง จิ้น ดินแดนสามก๊ก”
‘ยึดครอง…’ ทันใดนั้นหวางเจินเหวินก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองที่ฮว๋ายชิ่งด้วยดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย
“ก่อนที่มหาเคราะห์จะมาถึง จะไม่มีพ่อมดในจิ่วโจวอีกต่อไป”
“ดินแดนตะวันออกเหนือจะไม่มีสำนักพ่อมดอีกตลอดกาล”
ฮว๋ายชิ่งเปล่งวาจาที่ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงอ้าปากด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จะไม่มีพ่อมดในจิ่วโจวอีกต่อไป จะไม่มีพ่อมดในจิ่วโจวอีกต่อไป…”
หวางเจินเหวินพึมพำกับตัวเอง ชายชราผู้เจนจัดในราชสำนักมานานนับทศวรรษแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไป ซึ่งขัดกับประสบการณ์และสถานะของเขาโดยสิ้นเชิง
นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าฟ่งมา คนเถื่อนและสำนักพ่อมดเปรียบเหมือนหนามยอกเนื้อคอยห้อมล้อมที่ราบลุ่มภาคกลาง ทุกๆ สามถึงห้าปีพวกเขาจะมาที่ชายแดนเพื่อเผาฆ่าและปล้นสะดม นำพาผู้คนเดือดร้อนไปถ้วนทั่ว
ในสายตาปัญญาชนรุ่นสู่รุ่น การสยบปีศาจผนวกกับโค่นล้างเผ่าพันธุ์พ่อมด ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หลายหมื่นชั่วอายุคน
และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ ก็ได้ถือกำเนิดในรุ่นของเขา
จู่ๆ หวางเจินเหวินก็นึกอะไรบางอย่างออก จึงหันขวับไปมองเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนที่นั่งเงียบมาตลอด ค่อยๆ เบี่ยงหน้ามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
ย้อนไปเมื่อสี่สิบปีก่อน กองทัพของสำนักพ่อมดได้บุกโจมตีสามดินแดนทางตะวันออกเหนือ ทั้งสังหารร้อยลี้ทั้งกวาดล้างทุกบ้านช่อง รวมถึงทุกคนในครอบครัวข้าหลวงอวี้โจวก็ถูกทหารม้าเหล็กฆ่าตายยกครัว เหลือเพียงเด็กคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำเน่าเสียเป็นเวลาหลายวัน
นั่นก็คือเว่ยเยวียน
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่น้อยครั้งเขาจะเอ่ยถึงความแค้นของตระกูล เพราะรู้แก่ใจว่าการจะล้มล้างสำนักพ่อมดได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เรื่องที่แม้แต่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ยังไม่อาจทำได้ในสมัยนั้น แล้วจะมีใครเล่าที่ทำได้?
กลับกันตอนนี้สำนักพ่อมดจะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ทั้งเหยียน คัง จิ้น ดินแดนสามก๊กก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกัน
สวี่ชีอันทำเรื่องนี้ได้
และเขาก็เป็นศิษย์ที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยน้ำมือของเว่ยเยวียนเอง
กรงกรรมได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว
เว่ยเยวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบอารมณ์ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฝ่าบาททรงเรียกพวกกระหม่อมทั้งสามมาที่นี่เพื่อหารือเรื่องกลยุทธ์ยึดครองสามก๊กอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
“สามก๊กมีอาณาเขตกว้างขวางอันสามารถเพาะปลูกและล่าสัตว์ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรมากมาย หลังจากยึดครองสามก๊กได้แล้ว ต้าฟ่งจะแก้ไขปัญหาเรื่องเสบียงเงินตราอย่างถอนรากถอนโคน ตลอดจนบรรจุการชุมนุมของสาวกพุทธมหายานลงในระเบียบวาระ”
“สิ่งนี้ไม่อาจทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แต่เรายังมีเวลาอีกสามเดือน”
“ถึงอย่างไรก็มีหลายเรื่องที่สามารถเลื่อนออกไปก่อนได้ แต่เรื่องปราบสามก๊ก ข้าจะออกกฤษฎีกาให้ใต้หล้าได้รับรู้เสียก่อน เพื่อรวบรวมโชคชะตาและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับต้าฟ่ง”
หวางเจินเหวินรีบกล่าวขึ้นทันที
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนฆ้องเงินสวี่เลย แค่ส่งกองกำลังเหนือมนุษย์สักสองสามคนไปจัดการที่ชายแดนมณฑลทั้งสามก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ปัจจุบันต้าฟ่งมีผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์มากมาย คำพูดของเหล่าหวางจึงเปล่งออกมาด้วยความมั่นใจ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
“รายละเอียดไว้ค่อยหารือกันอีกที”
…
สวี่ชีอันทิ้งตงฟางหว่านชิงไว้ที่บ้านของเทพบุตร ก่อนจะทิ้งทวนกับเหล่านางสนมน้อยใหญ่ว่า
ข้าถูกฝากฝังจากหลี่หลิงซู่ให้ช่วยเขาตามหาคนรัก จากนี้ไปพวกเจ้าและนางจะกลายมาเป็นพี่น้องกัน อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง อย่าได้ทำให้หลี่หลิงซู่น้องชายข้าต้องลำบากใจ
คำพูดของฆ้องเงินสวี่ เหล่าสนมนางไหนเลยจะกล้าหักหาญ ในเมื่อพวกนางทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นมิตร
ซ้ำยังถามเขาอีกว่าหลี่หลิงซู่อยู่ที่ไหนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสุขกับคุณชายหลี่ของตนในเวลานี้
สามัคคีกันจริงๆ เลยนะ…สวี่ชีอันที่ได้เห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกชื่นใจยิ่งนัก
ในใจได้แต่ร่ำร้อง เทพบุตรเอ๊ยเทพบุตร ฆ้องเงินสวี่คนนี้ช่วยเจ้าได้เท่านี้แหละหนา
เมื่อกลับมาถึงจวนสกุลสวี่ พบว่าหลินอันที่ทำงานหนักจนจวนตัวกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราลึก จึงเลือกที่จะไม่รบกวนนาง พลางปลีกตัวไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับขบคิดว่าเขาควรทำอะไรในช่วงสามเดือนนี้ดี
ระยะเวลาตลอดสามเดือนนี้สำคัญมาก
“โบราณท่านว่า กันไว้ดีกว่าแก้ หากเตรียมพร้อมล่วงหน้าก็จะไม่สูญเสีย”
“ก่อนอื่นคือดินแดนประจิมทิศ มีข้าและเสินซูประจำการอยู่ พระพุทธเจ้าคงไม่กลืนกลายเหลยโจวก่อนจะเกิดมหาเคราะห์หรอก ต่อให้พระองค์มาข้าก็ไม่กลัว เพียงเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองคนก็เพียงพอที่จะสกัดกั้นระดับสุดยอดกลับไปได้”
“ตามที่คาดไว้ พระองค์รอให้พ่อมดและเทพกู่หลุดพ้นจากผนึกก่อน เมื่อถึงตอนนั้นกองทัพระดับสุดยอดก็จะเข้ารุกรานที่ราบภาคกลาง เห็นทีคงคิดผนวกกำลังสังหารเสินซูและข้าอย่างแน่นอน จากนั้นพระองค์ก็รอกลืนกลายที่ราบภาคกลาง ตามด้วยช่วงชิงวิถีแห่งฟ้ากับระดับสุดยอดคนอื่นๆ”
“ส่วนทางด้านสำนักพ่อมด พ่อมดส่วนใหญ่ได้รวมเข้ากับร่างของเทพพ่อมดแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขาสละอาณาเขตของตัวเองทิ้ง หวังว่าฮว๋ายชิ่งจะสามารถรวมสามก๊กได้ในโดยเร็วที่สุด เพื่อเติมเต็มโชคชะตา ยิ่งโชคชะตาแข็งแกร่งเท่าไรก็จะยิ่งเป็นผลดีมากเท่านั้น”
“ที่น่าเสียดายคือข้าไม่รู้วิธีใช้โชคชะตา ซ้ำท่านโหราจารย์ก็ดันมามีลับลมคมใน ไม่รู้ว่าจะติดต่อไปดีหรือเปล่า”
“ถึงเวลาแล้วที่เผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้จะต้องย้ายไปยังที่ราบภาคกลาง เมื่อเทพกู่ถือกำเนิด พวกเขาทั้งหมดก็จะกลายเป็นกู่ เมื่อเหล่าหัวหน้ากลายเป็นกู่ แสดงว่ากลุ่มเหนือมนุษย์ก็จะกลายเป็นอสูรกู่”
“ฮวงก็เหมือนกับเทพกู่ ไม่อาจเว้นโอกาสให้เขาขยายกองกำลังได้ หวังว่าจิ้งจอกเก้าหางจะสามารถจัดการกับปัญหาลูกหลานเทพมารได้ในโดยเร็วเช่นกัน เพื่อขจัดอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่”
หลังจากคลี่คลายทุกด้านแล้ว สวี่ชีอันก็วกกลับมาที่ปัญหาหลัก
เลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์!
ในประเด็นนี้ เขามีสองวิธี หนึ่งคือศึกษาจากบันทึกประวัติศาสตร์ของสำนักโหราจารย์ เพื่อดูว่าท่านโหราจารย์ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้หรือเปล่า
สองคือรวบรวมผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งหมด ระดมความคิดว่าจะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้อย่างไร
ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ต้องรู้จักใช้ความสามารถที่มีให้เกิดประโยชน์
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่งหรือกลุ่มเหนือมนุษย์แห่งกู่ ล้วนแล้วแต่เป็นคนเฉลียวฉลาด อ่อ ยกเว้นพ่อของลี่น่าที่ไม่อยู่ในกลุ่มคนข้างต้น
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็นวดคลึงที่หว่างคิ้ว ทว่าแทนที่จะเข้านอนกลับหายตัวไปจากข้างโต๊ะหนังสือ
ชั่วครู่ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวในห้องส่วนตัวของมู่หนานจือ
……………………………………