ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 887 ปรมาจารย์ด้านการบริหารเวลา
บทที่ 887 ปรมาจารย์ด้านการบริหารเวลา
Ink Stone_Fantasy
ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมสดชื่น คล้ายกับกลิ่นของดอกไม้ แต่เมื่อลองดมดีๆ กลับรู้สึกว่ากลิ่นนั้นหอมหวนยิ่งกว่าดอกไม้ ยิ่งผ่านไปนาน คนที่ได้กลิ่นจะตกอยู่ในภาวะผ่อนคลายสุดขีด ตกสู่ห้วงนิทราอย่างไม่อาจขัดขืน ปลดเปลื้องความเหนื่อยล้าจนสิ้น
นี่คือกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของมู่หนานจือ ซึ่งประกอบด้วยจิตวิญญาณของต้นไม้อมตะเล็กน้อย ช่วยให้สิ่งมีชีวิตรอบกายนางหายจากความเหนื่อยล้า และช่วยยืดอายุขัยให้กับพวกเขา
สวี่ชีอันเหลือบสายตามองหญิงสาวที่นอนตะแคงบนเตียง ไม่รีบร้อนขึ้นเตียง แต่เดินวนรอบฉากกั้นแล้วมองดูอ่างอาบน้ำที่ใส่น้ำไว้เต็มอ่าง มีกลีบดอกเบญจมาศสีขาว และกลีบกุหลาบสีแดงลอยอยู่ด้านใน
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นน้ำที่มู่หนานจือใช้อาบก่อนเข้านอน
วันรุ่งขึ้นมาถึงตามปกติ
เขาถอดเสื้อคลุม รองเท้า แล้วก้าวเข้าไปในอ่างน้ำทันที น้ำในอ่างเย็นเฉียบ ทำให้รู้สึกสดชื่น สวี่ชีอันนั่งพิงอ่างอาบน้ำ เงยหน้ามองเพดาน ปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ก็มีเสียงกรุ่นโกรธของหนานจือลอยมาจากด้านนอกของฉากกั้น
“เจ้าอาบน้ำเสร็จหรือยัง”
สายตาของสวี่ชีอันยังคงจ้องมองไปยังเพดาน พลางบ่นพึมพำ
“จริงๆ เลย ในเมื่อเจ้าก็ตื่นแต่เช้าแล้ว เหตุใดจึงไม่มาช่วยปรนนิบัติอาบน้ำให้สามีล่ะ เห็นแก่ขนบธรรมเนียมบ้างหรือไม่”
“สามี?” มู่หนานจือแค่นหัวเราะกล่าว
“ภริยาที่เจ้ายกเกี้ยวไปแต่งกลับมายังนอนหลับอุตุอยู่ในเรือนข้างๆ เกี่ยวอะไรกับข้า อยู่กับข้าที่นี่ เจ้าก็เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนชั่วช้าเท่านั้น”
สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปทันที เขากระโดดออกจากอ่างน้ำ วิ่งขึ้นเตียงนอนอย่างหน้าไม่อาย แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า
“ป้ามู่จ๋า เด็กเมื่อวานซืนมาแล้ว”
คราบน้ำที่เกาะตามตัวระเหยไป ระหว่างที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามา
“ไสหัวไป!”
มู่หนานจือไม่รู้จะทำอย่างไรกับท่าทางผีเข้าของเขา จึงดึงผ้าห่มขึ้นม้วนตัวเองเป็นเปาะเปี๊ยะไก่ แล้วนอนหันหลังให้กับเขา
อารมณ์เสียอีกแล้ว…สวี่ชีอันเหลือบมองผ้าห่มบางๆ แล้วพูดขู่ว่า
“ไม่เชื่อฟัง เดี๋ยวข้าจะเอาไม้จิ้มฟันมาแทงเสียเลย”
มู่หนานจือไม่สนใจเขา
สวี่ชีอันยังคงยัดเยียดตัวเองเข้าไป หลังจากนั้นก็เกิดการต่อสู้ขัดขืนกันในที่นอน ตามมาด้วยชุดนอนผ้าไหมที่ปลิวว่อน และเสื้อชั้นในสีดอกบัวอ่อนนุ่ม
การเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดลง พร้อมๆ กับเสียงอู้อี้ของมู่หนานจือ ผ่านไปหลายอึดใจ เตียงสลักลายก็เริ่มส่งเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’
ผ้าม่านเตียงพลิ้วไหวแผ่วเบา ผ้าห่มบางขยับขึ้นลง
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ความเคลื่อนไหวภายในห้องหยุดลง ความสงบกลับคืนมาอีกครา มู่หนานจือนอนหนุนหมอนในท่าคว่ำหน้า คางเกยสองแขน หลับตาพริ้ม ใบหน้าแดงก่ำราวกับกำลังเมามาย
สวี่ชีอันนอนทับร่างของนาง คลอเคลียต้นคอ ไหล่กลมหอมหวน และแผ่นหลังหยกเนียนขาวละเอียดราวกับผ้าไหม
“เฮ้อ เรือนร่างของป้ามู่น่าหลงใหลไม่สร่างจริงๆ”
สวี่ชีอันพูดติดตลก
มู่หนานจือขี้คร้านเกินกว่าจะสนใจเขา และเพลิดเพลินกับความสงบสุขหลังพายุผ่าน
“ไว้มหาเคราะห์สิ้นสุดลงเมื่อไร พวกเราไปท่องเที่ยวจิ่วโจวกันเถิด ไปดินแดนประจิม หรือไปจะตะวันออกเฉียงเหนือดี” สวี่ชีอันกระซิบแผ่ว
มู่หนานจือลืมตาขึ้น อ้าปากคล้ายจะเอ่ยบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับตอบรับสั้นๆ เพียง “อืม”
ผ่านไปสักพัก นางจึงเอ่ยขึ้น
“ข้าคิดถึงบ้าน”
นางหมายถึงจวนเล็กๆ ที่ครั้งหนึ่งนางเคยใช้ชีวิตในฐานะหญิงสาวธรรมดา วันๆ เอาแต่คร่ำเครียดกับการทำอาหาร ซักผ้า พอมีเวลาว่างก็มัวแต่นั่งคิดว่าทำไมวันนี้ไอ้ผู้ชายห่วยแตกถึงไม่มาหา
หากเขามาไม่ตรงเวลา ก็แอบสาปแช่งในใจ คิดว่าถ้ายังไม่มาอีกจะซื้อยาเบื่อหนูมาใส่แกงให้กินเสียเลย
“เอาไว้คราวหน้า!” สวี่ชีอันสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมสลวย
มู่หนานจือรีบตอบ
“เช่นนั้นต้องหาสาวใช้มาให้ข้าสักสองคนสิ”
“ได้สิ!” สวี่ชีอันพยักหน้า
นางครุ่นคิดแล้วกล่าวเสริม
“ต้องอัปลักษณ์ด้วย”
“ได้สิ…”
ได้ยินเช่นนั้นมู่หนานจือจึงสบายใจ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ข้าใช้ชีวิตโดยสวมกำไลเช่นนี้ตลอดไม่ได้ แต่ถ้าข้าถอดกำไลออก อาสะใภ้ของเข้า น้องสาวเจ้า พวกสาวๆ ของเจ้าจะน้อยเนื้อต่ำใจกันหมด”
หากเปลี่ยนเป็นหญิงคนอื่นพูดประโยคนี้ สวี่ชีอันคงจะถ่มน้ำลายรดหน้าให้
แต่ใครใช้ให้นางเป็นถึงเทพดอกไม้เล่า
สวี่ชีอันพลิกตัวลงมาจากแผ่นหลังของนาง คลำใต้ผ้าห่มสักพัก ก่อนจะหยิบหมอนนุ่มตรงหว่างขาของมู่หนานจือที่เปียกชุ่มด้วยน้ำกามออกมา โยนทิ้งไปอย่างช่วยไม่ได้
“หนุนหมอนด้วยกันเถิด”
เขากอดหมู่หนานจือในอ้อมแขน ร่างกายอ่อนนุ่ม เนียนละเอียดของนางแนบชิดกับร่างของเขาอย่างแนบแน่น
เวลาเคลื่อนคล้อยเงียบงัน ท้องฟ้าฝั่งตะวันออกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวราวพุงปลา สวี่ชีอันค่อยๆ แกะท่อนแขนของมู่หนานจือที่เกี่ยวรอบคอของตนออก
ฝ่ายหลังแพขนตาขยับ ก่อนจะตื่นขึ้นมา
“ข้ามีเรื่องด่วนต้องทำ ต้องไปเดี๋ยวนี้” สวี่ชีอันกระซิบแผ่ว
เทพดอกไม้รู้ดีว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวาย จึงหดมือกลับโดยไม่เอ่ยถาม ไม่เหนี่ยวรั้ง
สวี่ชีอันสวมเสื้อผ้า ยกมือขึ้น ให้ดวงตาที่ข้อมือส่องแสงวาบ เขาหายตัวไปจากห้องส่วนตัวของมู่หนานจือ แล้วไปโผล่ในห้องของเย่จีในชั่วพริบตา
…
ยามเหมายังไม่มาเยือน ท้องฟ้าเป็นสีดำมืด
ทางทิศตะวันออกเริ่มมีแสงสีขาวสาดส่อง หน้าประตูอู่ เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่มารวมตัวกัน
“เมื่อวานสำนักราชเลขาธิการมีคำสั่งลงมา ให้สมุหเทศาภิบาลแห่งเหลยโจวและฉู่โจวอพยพราษฎรยี่สิบสี่เมืองชายแดนไปทางทิศตะวันออก หรือว่าจะเกิดสงครามขึ้นกันนี่?”
“แต่ดินแดนประจิมทิศต้องการจะทำสงครามกับเราไม่ใช่หรือ”
“ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ออกมา วันนี้จึงต้องมาเข้าเฝ้าด้วยเหตุนี้”
“เหตุใดจึงเกิดสงครามขึ้นอีกแล้ว? กว่าราชสำนักจะปราบกบฏอวิ๋นโจวได้ต้องยากเย็นเพียงใด นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปี จะต้องมาทุกข์ทนเช่นนั้นอีกได้อย่างไร หากฝ่าบาททรงหุนหันพลันแล่นจะใช้ความรุนแรงละก็ พวกข้าจะทัดทานด้วยชีวิตอย่างแน่นอน”
เหล่าเสนาบดีจับกลุ่มพูดคุยเสียงแผ่วเบา
ขันทีที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ไม่ไกลแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ในขณะที่รอเข้าเฝ้า ขุนนางไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกัน แม้แต่จะกระแอมไอหรือถ่มน้ำลายยังต้องถูกจดบันทึกเอาไว้ แต่กฎนี้ค่อยๆ เสื่อมความสำคัญลงอย่างเชื่องช้า ขอเพียงไม่เกิดการทะเลาะวิวาทเสียงดังในท้องพระโรง ขันทีก็ไม่จดบันทึก
เมื่อวานนี้ สำนักราชเลขาธิการออกคำสั่งที่ขุนนางหลวงส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ นั่นคือสั่งอพยพราษฎรเขตเมืองเหลยโจว ฉู่โจวและเมืองข้างเคียงยี่สิบสี่เมืองไปยังทิศตะวันออก!
นี่มันบ้าชัดๆ!
แม้ว่าเมืองเหลยโจว ฉู่โจวจะมีประชากรน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ เนื่องจากปัญหาความยากจน แทบจะไม่มีเมืองใหญ่ หรือเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเลย
แต่ประชากรของยี่สิบสี่เมืองมารวมกันย่อมต้องเกินหนึ่งล้านคน
ยังไม่ต้องพูดถึงวิธีการอพยพคนเหล่านี้ ลำพังแค่การโยกย้ายถิ่นฐานก็เป็นเรื่องใหญ่ ที่เปลืองทั้งคนทั้งเงินทอง
ราชสำนักเพิ่งจะได้พักหายใจหายคอ กำลังจะฟื้นฟูจากความเสียหาย จะทนกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร
สิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางเศร้าที่สุดคือสำนักราชเลขาธิการต่างเห็นชอบแล้ว
ไม่รู้ว่าเข้าใจการปกครองใต้หล้า การบริหารบ้านเมืองบ้างหรือไม่
“ใต้เท้าหยางพูดถูก พวกเราจะทัดทานด้วยชีวิต!”
“เหตุใดต้องทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ด้วย ทัดทานด้วยชีวิต!”
เหล่าเสนาบดีพูดเสียงดังฟังชัด
สมาชิกพรรคหวางและพรรคเว่ยยังไม่เข้าใจการกระทำของหัวหน้าพรรคทั้งสอง จึงได้แต่ส่ายหน้าถอนใจ
เสียงระฆังดังลั่น ยามเหมามาเยือน เหล่าขุนนางหลายร้อยชีวิตเดินเข้าประตูสองด้านจากฝั่งประตูอู่ ผ่านสะพานจินสุ่ยและจตุรัส ขุนนางที่เหลือยืนเรียงแถวสองข้างขนานไปกับบันไดสู่พระราชวัง ไม่ก็กลางจัตุรัส
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ร่างของจักรพรรดินีในชุดมังกร ประดับเครื่องหน้าอย่างประณีต ก็เสด็จโดยไพล่พระกรไว้ด้านหลัง ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์พระที่นั่งมังกร
“ฝ่าบาท!”
หลังจากการเข้าเฝ้าเริ่มขึ้น ขุนนางใกล้ชิดของกรมการคลังก็ยกมืขึ้นคำนับ
“ยี่สิบสี่เมืองของเหลยโจว ฉู่โจวมีประชากรจำนวนมาก การอยพยราษฎรไปยังทิศตะวันออกเป็นการสิ้นเปลืองกำลังคนและเงินทอง ไม่ควรทำ ขอฝ่าบาททรงยกเลิกคำสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้น ขุนนางใกล้ชิดจากหลากฝ่ายก็ทยอยโน้มน้าวให้ฮว๋ายชิ่งยกเลิกคำสั่ง
ความหมายของขุนนางใกล้ชิด คือห้ามปรามไม่ให้จักรพรรดิประพฤติตนไม่เหมาะสม
ในมุมมองของเหล่าขุนนางใกล้ชิด จักรพรรดินีกำลังทำผิดพลาดอย่างมหันต์ หากคิดจะจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ ตอนนี้คือโอกาสทอง
เมื่อเห็นสถานการณ์ หลิวหงกระดูกสันหลังของเว่ยเยวียนก็เหลืบมองคนชุดดำที่แน่นิ่งตรงหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาท สิ่งที่ใต้เท้าเหล่านี้กราบทูลนั้นมีเหตุผล
“อีกไม่นานชาวพุทธมหายานจะเดินทางมาถึงจุดรวมตัวที่ราชสำนักกำหนดให้พวกเขา ผู้คนกว่าสองแสนชีวิต ต้องกินต้องดื่ม เงินที่ใช้เลี้ยงดูพวกเขาล้วนมาจากราชสำนักทั้งสิ้น
“นอกจากนี้การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เราจะอพยพผู้คนจากยี่สิบสี่เมืองไปทางตะวันออกในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ได้อย่างไร”
ฮว๋ายชิ่งนั่งฟังเงียบๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เมื่อวันก่อน พระพุทธเจ้ามาเยือนเหลยโจว ต้องการจะผนวกต้าฟ่ง!”
ประโยคเรียบง่ายเพียงประโยคเดียว ราวกับเสียงฟ้าผ่าดังก้องในหูของเหล่าขุนนางชั้นสูง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดินีเบื้องหน้าอย่างเหลือเชื่อ
พระพุทธเจ้ามาเยือนเหลยโจว ต้องการจะผนวกต้าฟ่ง?!
ขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงต่างเป็นปัญญาชน ตบะของแต่ละคนนับว่าไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ด้วยตำแหน่งที่สูงส่งของพวกเขา ย่อมรู้ดีว่าคำว่าองค์เหนือหัวนั้นมีความหมายอย่างไร
หมายความว่าไร้พ่าย!
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าพระพุทธเจ้าหมายจะกลืนกินต้าฟ่ง เหล่าขุนนางก็ตกใจ ความหวาดกลัวล้นทะลักจนแทบจะหายใจไม่ออก
แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ หากว่าพระพุทธเจ้ามุ่งเป้ามาที่ต้าฟ่ง เหตุใดจักรพรรดินีจึงยังประทับบนพระที่นั่งมังกรได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นนี้อยู่ได้
สำนักราชเลขาธิการจะไม่ยอมทำอะไร ไม่ส่งกองทัพไปรบ สักแต่จะอพยพราษฎรเท่านั้นหรือ
ขุนนางชั้นสูงยังสับสนงุนงงได้ไม่นาน ฮว๋ายชิ่งก็ให้คำตอบแก่พวกเขา
“ฆ้องเงินสวี่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เมื่อคืนก่อนเพิ่งจะต่อสู้กับพระพุทธเจ้าที่เหลยโจวและเอาชนะกลับมาได้
“ทว่า แม้พระพุทธเจ้าจะยอมถอย แต่ก็สามารถกลับมาได้เสมอ การต่อสู้ระหว่างระดับสุดยอดกับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวนั้นสะเทือนฟ้าสะท้านแผ่นดิน ดังนั้นข้าจึงมีความคิดให้อพยพราษฎรยี่สิบสี่เมืองไปทางตะวันออกเสีย”
เกิดเสียงฟ้าร้องอีกครั้ง
เหล่าขุนนางชั้นสูงจ้องมองฮว๋ายชิ่งอย่างมึนงงอยู่นานสองนาน กว่าจะมีคนเรียกสติพวกเขา
ขุนนางใกล้ชิดจากกรมการคลังผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการทัดทานฮว๋ายชิ่งด้วยชีวิต เอ่ยขึ้นด้วยความสับสน
“ฝ่าบาท กระ…กระหม่อมไม่เข้าใจ
“อะไรคือเทพยุทธ์ครึ่งก้าวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เทพยุทธ์คำนี้ฟังแล้วช่างแปลกหู เหล่าขุนนางชั้นสูงต้องเค้นสมองอย่างหนักกว่าจะนึกขึ้นได้ว่าขั้นสูงสุดของจอมยุทธ์คือเทพยุทธ์
ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นโดยนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ ทว่านับตั้งแต่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อสิ้นชีพลงเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อน โลกนี้ก็ไม่เคยมีเทพยุทธ์ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
เว่ยเยวียนกลับหลังหัน มองไปยังขุนนางชั้นสูงแล้วเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลทว่าทรงพลัง
“พวกท่านจำต้องรู้เอาไว้ เทพยุทธ์ครึ่งก้าวนั้นสามารถต่อกรกับระดับสุดยอดได้ และสังหารจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย”
ในหัวของขุนนางใกล้ชิดกรมการคลังส่งเสียง ‘วิ้งๆ’
ฆ้องเงินสวี่ข็งแกร่งถึงขั้นนี้เชียวหรือ?!
หากจำไม่ผิด ยามราชครู ไม่สิ ผู้นำเต๋าลั่วหนีเคราะห์กรรมนั้น ได้บำเพ็ญคู่กับฆ้องเงินสวี่จนขึ้นไปถึงขั้นหนึ่ง เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน เขาก็เติบโตจนทัดเทียมกับระดับสุดยอดได้แล้ว…นอกเหนือจากความตกตะลึงแล้ว เหล่าขุนนางชั้นสูงกลับรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่น้อย
ความหวาดกลัวต่อคำพูดของฮว๋ายชิ่งนั้นทุเลาลงมาก
อย่างน้อยต้าฟ่งก็ยังไม่หมดสิ้นหนทางต่อกรกับระดับสุดยอด
หลิวหงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เหตุใดพระพุทธเจ้าต้องพุ่งเป้ามาที่ราชสำนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางชั้นสูงต่างขมวดคิ้วมุ่น นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาต่างงงงวย
นับแต่ครั้งโบราณกาล หลังจากยุคนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อกว่าหนึ่งพันสองร้อยปี ไม่ว่าต้าฟ่งกับสำนักพ่อมดจะต่อสู้กันอย่างไร สำนักพ่อมดก็ไม่เคยสนใจพวกเขา พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน
เหตุใดจึงคิดจะผนวกที่ราบลุ่มภาคกลางโดยไม่มีสาเหตุเช่นนี้
เรื่องนี้ ฮว๋ายชิ่งมีคำอธิบายไว้อยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด
“ท่านหลิวคิดว่าเหตุใดจู่ๆ สำนักพุทธจึงตัดขาดกับที่ราบลุ่มภาคกลาง และสนับสนุนอวิ๋นโจวหรือ การผนวกที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าที่ถูกเปิดเผยมาตั้งแต่คราวกบฏอวิ๋นโจวแล้ว
“อวิ๋นโจวพ่ายแพ้ ฆ้องเงินสวี่และราชครูก้าวขึ้นสู่ขั้นหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงต้องลงมือเอง”
ขุนนางชั้นสูงพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
ศึกสงครามระหว่างสองดินแดนไม่ต้องการความสมัครใจจากผู้ใด การผนวกดินแดนเป็นความจริงตราบนิจนิรันดร์
คำถามที่หลิวหงเพิ่งถามออกไป เป็นเพียงข้อสงสัยว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าที่หลีกเลี่ยงทางโลกมาโดยตลอด จึงต้องลงสนามรบด้วยตัวเอง
ฮว๋ายชิ่งกวาดสายตามองไปทั่วท้องพระโรงแล้วเอ่ยถาม
“มีใครคิดต่างอีกบ้างหรือไม่”
ขุนนางใกล้ชิดจากทุกฝ่ายต่างนิ่งเงียบ ขุนนางที่เหลือยิ่งไม่มีเหตุผลให้ทักท้วง
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดเรื่องที่สองต่อ
“เมื่อคืนวาน ฆ้องเงินสวี่ได้เดินทางไปเมืองจิ้งซานด้วยตัวเอง บังคับเทพพ่อมดให้นำพ่อมดทั้งหมดในสามก๊กเข้ามาอยู่ในร่างเพื่อปกป้องคุ้มครอง จากนี้ต่อไป จิ่วโจวจะไม่มีพ่อมด เหยียน จิ้น คัง สามก๊กจะถูกปกครองโดยต้าฟ่ง”
สายฟ้าเส้นที่สามฟาดฟันลงมา!
หากเรื่องที่พระพุทธเจ้าลงมาต่อสู้เอง ทำให้เหล่าขุนนางชั้นสูงหัวใจดิ่งวูบ เช่นนั้น เมื่อได้ยินว่าสำนักพ่อมดถูกกวาดล้างจนสิ้น สามก๊กหวนคืนสู่ต้าฟ่งอีกครั้ง เหล่าขุนนางชั้นสูงต่างก็เผยความยินดีและประหลาดใจอย่างยิ่ง
เรื่องราวอันเป็นสิริมงคลเช่นนี้ทำเอาปัญญาชนทั้งกลุ่มแทบจะลมจับ
“ระ เรื่องจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ผู้ที่เอ่ยขึ้นหาใช่ขุนนางบุ๋น แต่เป็นอวี้อ๋องผู้มีเส้นผมขาวแซมข้างขมับ ใบหน้าแดงก่ำอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ จ้องมองฮว๋ายชิ่งตาเขม็ง
คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือสมาชิกราชวงศ์
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
“อยู่ในตำหนักกระดิ่งทอง ข้าจะล้อเล่นได้อย่างไร”
ขยายอาณาเขต ขยายอาณาเขต…คำดังกล่าววนเวียนอยู่ในหัวของอวี้อ๋อง
“ฝ่าบาททรงกระทำในสิ่งที่บรรพบุรุษทำไม่ได้ เกียรติประวัติของพระเจ้าจะยืนยงนับพันสารทฤดู…”
ชินอ๋องร้องไห้ด้วยความปีติ
“นี่เป็นผลงานของฆ้องเงินสวี่” จวิ้นอ๋องท่านหนึ่งรีบทักท้วง
ความโกลาหลก่อตัวขึ้นในตำหนักกระดิ่งทอง ขุนนางชั้นสูงต่างพากันกระซิบซาบ ด้วยใบหน้าปลาบปลื้ม
ขันทีถือแส้ในมือ คราวนี้ไม่ได้ฟาดแส้หรือดุว่าแต่อย่างใด
มองไปยังกลุ่มขุนนางที่ตื้นตันและดีใจอย่างยิ่ง มุมปากของฮว๋ายชิ่งก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ท่านขุนนางทั้งหลายคิดว่าจะยึดครองสามก๊กได้อย่างไร”
…
ขณะที่เกิดความปั่นป่วนในหมู่เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร การเข้าเฝ้าเริ่มร้อนระอุขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สวี่ชีอันก็เริ่มขั้นตอนที่สามของการบริหารจัดการเวลาของเขา
ในห้องส่วนตัว เย่จีที่อยู่บนเตียงตื่นขึ้นมา ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญคือสวี่ชีอัน นางก็ไม่แปลกใจ กลับส่งยิ้มหวานให้
“สวี่หลาง!”
สวี่ชีอันเหลือบมองเสื้อชั้นในที่แขวนอยู่บนฉากกั้น แล้วเอ่ยยิ้มๆ
“เจ้าช่วยข้าประหยัดเวลาได้มากทีเดียว”
ผ้าม่านสั่นไหว บนเตียงใหญ่ที่เว้นว่างจากการใช้งานมาหลายเดือนก็มีเสียงครวญครางด้วยความทรมานแว่วออกมาอีกครั้ง
หลังจากที่พายุผันผ่านเมฆฝนจางสลาย เย่จีก็นอนเหงื่อตกซบอกของสวี่ชีอัน พลางเอ่ยหัวเราะคิกคัก
“สวี่หลางคิดอย่างไรกับจักรพรรดินี”
สวี่ชีอันถามกลับ
“เจ้าหมายถึงในด้านไหน”
เย่จีกะพริบตาพริ้ม “จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางชอบคนแข็งแกร่ง ยิ่งเป็นตัวเมีย ยิ่งไม่มีแรงต้านทานผู้ชายแข็งแกร่ง สวี่หลางเป็นถึงเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ดูท่าทางจักรพรรดินีคงจะหมายปองเจ้ามานานแล้ว
“สวี่หลางไม่คิดจะอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินีบ้างหรือ อีกอย่าง น้องสาวเจ็ดคนของเย่จีก็จะแต่งเข้าบ้านด้วย”
จะแต่งเข้าบ้านทำไม เดี๋ยวก็บ้านแตกกันพอดี…สวี่ชีอันบ่นเงียบๆ ในใจ
แม้ว่านางจิ้งจอกจะเอวบาง ขาเรียวยาว ก้นงอนกลมกลึง ใบหน้างดงามราวกับบุปผาและหยกงาม ชวนให้หลงใหล แต่อุปนิสัยของนางจิ้งจอกทำให้คนปวดหัวไม่น้อย
หากนางเข้ามาอยู่ในบ่อปลา มู่หนานจือกับลั่วอวี้เหิงต้องจับมือกัน ฮว๋ายชิ่งกับหลินอันต้องปลดเปลื้องความคับข้องใจในอดีต หลี่เมี่ยวเจินรับผิดชอบล่าสัตว์ สู้รบตบมือกับนางจิ้งจอก และลูกสมุนของนางจิ้งจอกอีกแปดตัว
อา ไม่สิ นางจิ้งจอกเจ็ดตัว
หากตายไปตั้งแต่อายุยังน้อยสักคน ก็ยังเหลือไป๋จี นางยังเด็ก
สวี่ชีอันพูดด้วยความสัตย์จริง
“ข้ากับจักรพรรดินีเป็นเพียงสหายเต๋าธรรมดาเท่านั้น ข้ามีเจ้าคนเดียวก็พอแล้ว”
เย่จีดูเสียใจ
“น่าเสียดายออก สวี่หลางลองคิดดูใหม่ดีหรือไม่ เย่จีรู้ว่ามีพี่สาวน้องสาวหลายคนอยากแต่งงานกับสวี่หลาง ทำให้คนครหาว่าสวี่หลางเป็นพวกเจ้าชู้ และจะทำให้ชื่อเสียงของสวี่หลางแปดเปื้อน แต่เย่จีไม่สนใจหรอก”
สวี่หลางส่ายหน้า
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
เย่จีตอบรับอย่างเชื่อฟัง นางก้มหน้าลงเผยรอยยิ้มพึงใจออกมา
กลิ่นหอมชาลอยไปถึงห้องของหลิงเยวี่ยแล้ว…สวี่ชีอันแอบบ่นนางเล็กน้อย เมื่อเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว ก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าจะออกไปทำธุระ เจ้าก็พักผ่อนเสีย”
…
โถงชั้นใน จวนสกุลสวี่
สวี่หลิงเยวี่ยสวมชุดกระโปรงสีชมพู เดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับสาวใช้ข้างกาย หันมองซ้ายขวา เห็นมารดากำลังดูแลกระถางต้นไม้บนชั้นวางสูง
อามู่น้องสาวร่วมสาบานของท่านแม่ก็อยู่ข้างกาย กระซิบกระซาบพูดคุยอะไรบางอย่าง
หลิงอินผู้เป็นน้องจ้องมองผลส้มสีฉูดฉาดข้างประตูด้วยความงุนงง
ลี่น่าผู้มาอาศัยอยู่ประจำนั่งยองๆ อยู่ข้างต้นส้มอีกต้นด้วยความสงสัย
พี่สะใภ้หลินอันสวมเสื้อคอเต่าแขนกระบอก พูดกับจีไป๋ฉิงที่กำลังเดินเข้ามาดื่มชา
สวี่หลิงเยวี่ยกระซิบกระซาบ
“ท่านแม่ พี่ใหญ่อยู่ไหนเจ้าคะ”
หญิงสาวที่อยู่ในห้อง (ยกเว้นสวี่หลิงอิน) ต่างกันมามองเป็นตาเดียว สวี่หลิงเยวี่ยรีบร้อนอธิบาย
“พี่ใหญ่ขอให้ข้าช่วยทำเสื้อคลุมให้ ข้าคิดลายปักมาใหม่ อยากถามว่าชอบหรือไม่ จึงไปหาที่ห้องแต่เช้า แต่ไม่เห็นที่ห้องเลยเจ้าค่ะ”
“เขาออกไปทำธุระ” หลินอันและมู่หนานจือตอบแทบจะพร้อมกัน
โถงชั้นในเงียบกริบไปชั่วอึดใจ ก่อนที่จีไป๋ฉิงจะรีบเอ่ยยิ้มๆ
“พี่ใหญ่ของเจ้ายุ่งมาก บางทีอาจจะออกไปตั้งแต่ฟ้าสาง องค์หญิงหลินอัน หม่อมฉันพูดถูกหรือไม่”
หลินอันตอบรับด้วย “อืม” สั้นๆ โดยไม่แสดงสีหน้าใดออกมา
หญิงสาวคนอื่นๆ ทำสีหน้าตามปกติ ไม่รู้ว่ายอมรับคำอธิบายของจีไป๋ฉิง หรือแกล้งทำเป็นยอมรับไปอย่างนั้น
ในตอนนี้เอง เย่จีอนุของพี่ใหญ่ก็เดินนำสาวใช้เข้ามาในห้องโถง
สวี่หลิงเยวี่ยกวาดตามองนางหนึ่งครั้ง ก่อนจะจากไปโดยไม่แสดงสีหน้าอันใด ทันใดนั้น ปรมาจารย์ด้านชาก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
นางเงยหน้าขึ้นสำรวจเย่จีอีกครั้ง จากนั้นเคลื่อนสายตาไปมองหลินอันและป้ามู่โดยไม่กระโตกกระตาก จากนั้นจึงเข้าใจว่าอะไรกันแน่ที่ไม่ปกติ
ทุกคนสวมเสื้อคอเต่า
เสื้อผ้าที่ปิดมิดชิดเช่นนี้ มักจะสวมใส่ในตอนที่ออกไปข้างนอก อีกอย่างแม้ว่าฤดูใบไม้ร่วงจะมาเยือนแล้ว แต่อากาศยังคงร้อน จึงไม่ใช่ฤดูที่จะสวมใส่เสื้อผ้าเช่นนี้
การสวมใส่เสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด ไม่ได้ป้องกันความหนาวเย็น แต่เพื่อปิดบังสิ่งที่น่าละอายต่างหาก
สวี่หลิงเยวี่ยเป็นคนฉลาด เพียงวิเคราะห์ปราดเดียว ก็เข้าใจทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง
ในตอนนี้เอง อาสะใภ้ก็ถอนหายใจเอ่ย
“จะมีสงครามอีกหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ของเจ้าคงไม่ยุ่งถึงเพียงนี้”
…
อารามรัตนะ
พี่ใหญ่ที่งานยุ่งกำลังวางมือบนไหล่ขาวเนียน พลางบีบนวดเบาๆ
“ท่านราชครู ข้าน้อยออกทะเลนานหลายเดือน ไม่มีวันใด เวลาใดไม่คิดถึงท่านเลย ข้าว่าท่านก็คิดถึงข้าด้วยเช่นกัน”
ลั่วอวี้เหิงหลับตาพริ้ม เพลิดเพลินกับการนวด เอ่ยเรียบๆ
“ไม่คิด”
เสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ย เสื้อคลุมขนนกพันรอบกายนางแบบหลวมๆ ใบหน้าแดงก่ำไม่คลาย ร่างกายของนางไม่แข็งกระด้างเท่าปากของนาง
สวี่ชีอันจับนางไว้อยู่หมัด
ลั่วอวี้เหิงมีลักษณะของราชินีอยู่ สวี่ชีอันจึงโอนอ่อนต่อนาง เรียกนางว่าท่านราชครู และเรียกตนเองว่าข้าน้อย เท่านี้นางก็รู้สึกฟินสุดๆ แล้ว
หลังจากหยอดคำหวาน ก็ได้เวลารับผลตอบแทนแล้ว
หากสวี่ชีอันเรียกนางด้วยชื่อของนาง วันนี้คงไม่ได้แตะต้องนางด้วยซ้ำ
“คิดออกหรือยังว่าจะก้าวเข้าสู่เทพยุทธ์อย่างไร” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยถาม
“พูดมันง่าย” สวี่ชีอันถอนหายใจตอบ
“เมื่อมหาเคราะห์มาถึง แต่เจ้ายังก้าวไม่ถึงขั้นเทพยุทธ์ ข้าก็ไม่อาจสละชีพปกป้องชาติเคียงข้างเจ้าได้ ท้องฟ้าพสุธากว้างใหญ่ จะไปที่ใดย่อมได้” ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างเฉยเมย
คำพูดของนางฟังเหมือนจะเป็นการบอกย้ำซ้ำๆ ว่า ‘ข้าไม่ชอบการบำเพ็ญคู่’
“สุดแล้วแต่ท่าน ข้าน้อยไม่อาจแตะต้องความคิดของราชครูได้” สวี่ชีอันนอบน้อม
ลั่วอวี้เหิงส่งเสียง ‘อืม’ อย่างพึงใจ ครุ่นคิดแล้วเอ่ยด้วยถ้อยคำราบเรียบ
“ภายในสามเดือน ข้าจะก้าวสู่ขั้นหนึ่งระดับกลาง”
ใบหน้าของนางขาวนวลเยือกเย็น แตะชาดตรงหว่างคิ้ว เรือนผมคลายหลวมๆ สวมเสื้อคลุมขนนก ดูแล้วงดงามดั่งนางสวรรค์ ชวนให้คนหลงใหลอย่างยิ่ง
สวี่ชีอันเข้าใจคำใบ้ของนาง จึงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
“ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยท่านราชครูฝ่ากรรมขอรับ”
ผู้ศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย ข้าเข้าใจความขมขื่นของเจ้าแล้ว เวลามีเท่าไรก็ไม่พอจริงๆ…สวี่ชีอันช้อนตัวนางขึ้น เดินไปที่เตียง
ในที่สุดเขาก็เข้าใจความยากลำบากของผู้ศักดิ์สิทธิ์แล้ว
…
เหลยโจว อำเภอผานซาน!
หลังจากรอนแรมมาอย่างยาวนานและยากลำบาก ชาวพุทธนิกายมหายานกลุ่มแรกก็มาถึงที่หมายในที่สุด
จู๋ไล่เป็นกลุ่มผู้นับถือพุทธมหายานกลุ่มแรกที่มาถึง
ผู้นำขบวนคือภิกษุหนุ่มจิ้งซือ
ราชสำนักภาคกลางจะจัดสถานที่ให้เราอย่างไรบ้าง
นี่เป็นปัญหาที่ชาวพุทธมหายานทุกคนหนักใจที่สุดตลอดการเดินทาง
…………………………………………………………