ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 889 วิธีการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์
บทที่ 889 วิธีการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์
……….
ยอดเขาอรัญตา
ท้องฟ้าสีครามสดใส เมฆขาวลอยเอื่อยเฉื่อย
เสียงระฆังอันไพเราะดังก้องกังวาน ท่ามกลางเจดีย์และศาลากุฏิหลายหลังบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ภิกษุสำนักพุทธบ้างก็นั่งขัดสมาธิฟังพระสูตร บ้างก็เดินเอ้อระเหยอยู่บริเวณอาราม สุขสงบอย่างเช่นแต่ก่อน
เพียงแต่พื้นที่ราบอันห่างไกล ไม่มีผู้คนจากแดนประจิมคอยมองภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
นอกจากผู้บำเพ็ญพรตวิชาพุทธะแล้ว แดนประจิมถึงคราวมนุษย์สูญพันธุ์อย่างแท้จริง
หากสูญเสียการสักการะจากผู้ศรัทธา ถือเป็นปัญหาร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ไม่ใช่นักบำเพ็ญพรตทุกคนจะอดอาหารได้
การใช้ชีวิตประจำวันถือเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่อย่างยิ่ง
แต่พระพุทธองค์ทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขา พระองค์ได้แก้ไขกฎแห่งฟ้าดิน เพื่อให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาสำนักพุทธแข็งแรงมีกำลังวังชา
ตราบใดที่อยู่ในแดนประจิม ผู้บำเพ็ญพรตสำนักพุทธจะมีชีวิตยืนยาว แค่ดื่มน้ำค้างก็สามารถประทังชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหาร
เมื่อพระพุทธเจ้าเข้ามาแทนที่วิถีแห่งฟ้าโดยสมบูรณ์จนกลายเป็นศูนย์รวมใจแห่งดินแดนจิ่วโจว จนได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่ พระองค์ก็จะสามารถประทานชีวิตอมตะให้แก่ผู้บำเพ็ญพรตของระบบสำนักพุทธ
ลานกว้างด้านนอกศาลาอุโบสถ ภิกษุหนุ่มห่มจีวรแดงปักลายตารางสีเหลือง เหลือบมองพระโพธิสัตว์หญิงที่จู่ๆ ก็ปรากฏอยู่ข้างกาย
“ซ่าหลุนอากู่ซ่อนพ่อมดทั้งหมดไว้ในร่างเทพพ่อมด ไม่ช้าทั้งเหยียนจิ้งและคังสามแคว้นนี้ต้องตกเป็นของต้าฟ่ง”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนหายใจ
“เรื่องนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ระดับเหนือมนุษย์ไม่เหลือแล้ว ต่อไปใครจะต้านทานเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้? โชคชะตาทั้งสามแคว้นอยู่ในกำมือเทพพ่อมด หากไม่มีโชค ชะตากรรมของทั้งสามแคว้นก็หมดสิ้น การที่ต้าฟ่งจะผนวกรวมคงขึ้นอยู่กับเวลา”
หากไร้แรงสนับสนุนจากสำนักพ่อมด สำนักพุทธไม่มีทางกำราบต้าฟ่งได้แน่ จอมยุทธระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองคนก็สกัดกั้นพระพุทธเจ้าได้สบาย ถึงแม้พระโพธิสัตว์อย่างพวกเขาทั้งสามคนอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ยอดฝีมือขั้นหนึ่งแห่งต้าฟ่งมีสองคน
ไหนจะขั้นสองระดับสุดยอดอย่างอาซูหลัว จินเหลียน และปลาซิวปลาสร้อยขั้นสามอีกนับไม่ถ้วน
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์อยู่รวมตัวกันแบบนี้เป็นพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะมันมากพอที่จะขัดขวางและอาจจะฆ่าพระโพธิสัตว์ทั้งสามคนอย่างพวกเขา
สำหรับแผนตอนนี้ มีแต่ต้องรอเทพพ่อมดและเทพกู่ที่เป็นระดับสุดยอดหลุดพ้นจากเคราะห์กรรม แล้วร่วมมือกับพวกเขาช่วยกันแบ่งที่ราบลุ่มภาคกลาง
คิ้วเรียวสวยของพระโพธิสัตว์หลิวหลีขมวดเล็กน้อย
“ประชาชนทั้งสามแคว้นมีมากมาย การเพิ่มโชคชะตาของต้าฟ่งน่าเป็นห่วงจริงๆ”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพลันเอ่ยถาม
“เจ้ารู้วิธีเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์หรือไม่?
พระโพธิสัตว์หลิวหลีเหลือบมองเขา
“แม้แต่พระพุทธองค์ก็ไม่รู้ว่าจะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้อย่างไร มิเช่นนั้นเสินซูคงเป็นเทพยุทธ์ไปนานแล้ว”
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนพึมพำ
“จริงสินะ แม้แต่พระพุทธองค์ยังไม่รู้แล้วใครจะรู้ได้เล่า?”
ขณะเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมองทางพระโพธิสัตว์หญิงงามล่มเมือง
“หลิวหลี เจ้าน่าไปดูซินเจียงตอนใต้สักหน่อย”
…
สำนักโหราจารย์
โหรชุดขาวคิดแล้วคิดอีก พลางเอ่ย
“เจ้าไปหาท่านโหราจารย์ในครัวเถอะ ข้าเป็นแค่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยตัวเล็กๆ เรื่องใหญ่แบบนี้คุยกับข้าก็ไร้ประโยชน์ เดี๋ยวต้องไปดูฮวงจุ้ยหลุมศพแทนคนอื่นอีก เวลาเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง”
ความหมายชัดๆ ของมันคงหมายถึง ‘เวลาของข้ามีค่า อย่ามายุ่งกับข้า’ หาใช่จิตสำนึกของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยตัวน้อยๆ…ฉุนเยียนมองสำรวจโหรชุดขาวตรงหน้า สงสัยว่าเขาอยู่ตำแหน่งใดในสำนักโหราจารย์
ทั้งท่าทางและน้ำเสียงไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยขั้นเจ็ดพึงมี
“ท่านโหราจารย์ถูกผนึกอยู่ไม่ใช่หรือ…”
นางไม่รอช้า ทำตามคำชี้แนะของโหรชุดขาว รีบเดินลงบันได ระหว่างทางก็เที่ยวถามโหรชุดขาวหลายคนถึงตำแหน่งห้องครัว
ระหว่างนี้ นางจึงตระหนักได้ว่าโหรชุดขาวตอนแรกนั้นแท้จริงเป็นเพียงปรมาจารย์ฮวงจุ้ยขั้นเจ็ด เพราะแม้กระทั่งหมอยาขั้นเก้าก็ไม่มีทีท่าสนใจพลังเหนือมนุษย์ของนางเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแสนธรรมดา แต่แสร้งทำเป็นมั่นใจเสียขนาดนี้
เมื่อเดินมาจนถึงห้องครัว จึงกวาดตามองรอบๆ เห็นเพียงหญิงสาวชุดเหลืองนั่งด้วยท่าทีองอาจ ด้านซ้ายคือไก่ย่าง ขวาคือขาหมู ทั้งโต๊ะอบอวลด้วยกลิ่นหอม
ทั้งสองด้านของโต๊ะสี่เหลี่ยมคือลี่น่า ลูกสาวของหลงถู เจ้าของผมหยักศก ดวงตาสีฟ้าอ่อนและผิวขาวละเอียด
และสวี่หลิงอิน เด็กหญิงตัวเล็กที่มีใบหน้ากลมไร้เดียงสา
“ส้มบ้านข้าใกล้สุกแล้ว ข้าจะชวนพี่ไฉ่เว่ยไปกินส้มล่ะ” สวี่หลิงอินเอ่ย
น้ำเสียงของนางเหมือนกับเด็กที่ตกปากรับคำ หลังเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นแล้ว
“ส้มบ้านเจ้าอร่อยงั้นหรือ” ฉู่ไฉ่เวยดูสนใจมาก
“อร่อยสิ!”เสี่ยวโต้วติงพยักหน้าหงึกหงัก ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยกินมาก่อน
ยกเว้นแต่ส้มเขียวหวาน นางรู้สึกว่าอาหารทั้งหมดบนโลกใบนี้อร่อยมาก
ฉู่ไฉ่เวยถือโอกาสพูดเงื่อนไข
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะชวนพวกเจ้าไปกินข้าว แล้วค่อยให้ข้าคืนคนละลูก”
ในห้องมีส้มอยู่สองลูก ลูกหนึ่งเป็นของลี่น่า อีกลูกเป็นของสวี่หลิงอิน พวกนางจึงจัดสรรกันแต่เนิ่นๆ
ลี่น่าฟังจบก็เอ่ยเสียงขรึม
“หลิงอินเอ๋ย เนื้อตากแห้งของปีนี้เจ้ายังไม่ให้เลยนะ ส้มของอาจารย์เจ้าต้องรับผิดชอบแล้วล่ะ”
พอได้ยินเช่นนี้ สวี่หลิงอินก็ขมวดคิ้ว ร้อนใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเห็น ลี่น่าจึงโยนเนื้อหัวหมูใส่ชามสวี่หลิงอิน
“เอาเนื้อข้าไป แลกกับส้มของเจ้า”
สวี่หลิงอินพอคิดได้ว่าตนสมควรได้รับ ก็เอ่ยอย่างมีความสุข
“ตกลง!”
โกหกเด็กแบบนี้จะเป็นอะไรหรือไม่…ฉุนเยียนกระแอมไอ
“ลี่น่า”
ลี่น่าหันกลับมา ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ผู้นำฉุนเยียน เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่สำนักโหราจารย์”
ฉุนเยียนไม่มีเวลาอธิบาย เอ่ยถาม
“ท่านโหราจารย์อยู่ที่ใด?”
ฉู่ไฉ่เวยหันมา เด็กสาวตัวน้อยมีใบหน้าน่ารักรูปไข่ ดวงตากลมโต ดูมีชีวิตชีวา
“ข้าเอง!” เด็กสาวเอ่ยบอก
…ฉุนเยียนอ้าปากค้าง มองนางด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
…
“อสูรกู่ปรากฏตัวรึ?”
ภายในห้องหนังสือจวนสวี่ สวี่ชีอันมองผู้นำเผ่าซินกู่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ ขมวดคิ้วแน่น
จี๋เยวียนนั้นกว้างใหญ่ ภูมิประเทศซับซ้อนและนอกจากนี้ยังไสยศาสตร์กู่ก็ทั้งแปลกและคาดเดาไม่ได้ พวกอสูรกู่มีพลังแกร่งกล้าล้วนเชี่ยวชาญวิชาอำพรางกายอย่างแน่นอน แม้พวกผู้นำเผ่ากู่จะลงไปกำจัดอสูรกู่ที่แข็งแกร่งเป็นครั้งคราว แต่ก็รับรองไม่ได้อยู่ดีว่าปลาตัวใดจะหลุดอวนบ้าง
“เหตุการณ์เป็นอย่างไร”เขาถาม
“อสูรกู่สองตนที่เกิดใหม่คือเทียนกู่และลี่กู่ ตนแรกฉลาดอย่างมาก หลังจากต่อสู้กับพวกข้าจนได้รับบาดเจ็บ มันก็เข้าไปหลบในจี๋เยวียนกับลี่กู่ตนนั้น” ฉุนเยียนอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ
“พลังของเทพกู่ที่อยู่ในหุบเหวจี๋เยวียนนั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเหนือมนุษย์ลงไปอยู่นานๆ ก็อาจถูกกัดกร่อนเช่นกัน มิหนำซ้ำอาจทำให้กู่เจ้าชะตากลายพันธุ์ด้วย
“ยิ่งไปกว่านั้นเทียนกู่ตนนั้นมีพลังวิชาดวงดาราผันเปลี่ยน หากรวมกับพลังอันแข็งแกร่งของลี่กู่แล้วล่ะก็ หากต้องปะทะกันในจี๋เยวียน นอกจากป๋าจี้ หลงถู โหยวซือ คนอื่นๆ มีหวังเอาชีวิตไม่รอดแน่”
เทพกู่ใกล้ถูกปลดผนึกเข้าไปทุกที…สวี่ชีอันคิดในใจ พลางเอ่ยว่า
“ความเฉลียวฉลาดของลี่กู่น่าจะไม่สูงนัก มันจะร่วมมือกับอสูรเทียนกู่หรือ?”
ถ้าจำไม่ผิด อสูรกู่ล้วนบ้าระห่ำ ไร้สติปัญญา
ฉุนเยียนเอ่ยอย่างจำใจ
“ฆ้องเงินสวี่ควรรู้ไว้ว่า ในเผ่ากู่ทั้งเจ็ดเผ่า มีเทียนกู่เป็นหัวหน้านำอีกหกเผ่า ทั้งนี้เจ็ดยอดกู่ในตัวเจ้าก็ขึ้นอยู่กับเทียนกู่เช่นเดียวกัน
“รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
สวี่ชีอันประสานสิบนิ้วเข้าด้วยกัน วางไว้บนอกพลางเอนหลังพิงเก้าอี้ตัวใหญ่
“เชิญพูด”
ที่เขาสุภาพอ่อนน้อมกับผู้นำเผ่าซินกู่ผู้นี้ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายสวยและฉลาด แต่เพราะตอนยืมกองกำลังครั้งนั้น เผ่าซินกู่ได้ส่งกองทัพอสูรเหินเวหาในเผ่าเข้าร่วม
เข้าร่วมด้วยความเต็มใจ
สวี่ชีอันจำความรู้สึกนี้ได้ดี
ฉุนเยียนเอ่ย
“หากเปรียบลี่กู่เป็นร่างกายและปราณโลหิตของเทพกู่ เปรียบเคล็ดวิชากู่อื่นๆ เป็นวรยุทธ์ เทียนกู่ก็คือจิตเดิมของเทพกู่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงเข้าใจ
“เทียนกู่สามารถทำให้หกเผ่าที่เหลือยอมจำนนโดยไม่มีข้อกังขา”เขาพยักหน้า แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อกลับมาเป็นปกติ
“อสูรกู่ทั้งสองตนในจี๋เยวียนปล่อยให้ข้าจัดการแล้วกัน หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ข้าหวังว่าเผ่ากู่จะสามารถย้ายมาอยู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง”
เมื่อได้ยินคำขอเช่นนี้ ฉุนเยียนไม่ลังเลเลย แต่กลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ขอบใจฆ้องเงินสวี่ผู้เจิดจรัส”
สิ้นเสียง นางเห็นสวี่ชีอันยกข้อมือขึ้น ดวงตาขนาดใหญ่สองบนข้อมือเปล่งแสงสว่าง จากนั้น เขาก็หายไปจากห้องหนังสือ
ด้วยการผสมผสานระหว่างเคลื่อนตัวผ่านมวลอากาศและบินด้วยความเร็วสูง สวี่ชีอันจึงถึงซินเจียงตอนใต้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าใกล้ที่ตั้งถิ่นฐานเผ่ากู่ สวี่ชีอันรู้สึกเจ็บเจ็ดยอดกู่เล็กน้อย ตามด้วยความคิดอัน ‘หิวกระหาย’ ถูกส่งออกมา
มันต้องการกิน!
‘พลังของเทพกู่ในอากาศรุนแรงเกินไป บริเวณใกล้ๆ จี๋เยวียนไม่ควรเป็นที่อยู่อาศัย’
หลังจากร่างเขาวูบหายเป็นระยะๆ ก็มาถึงป่าดึกดำบรรพ์นอกหุบเหวจี๋เยวียน เห็นผู้นำทั้งหกถูกขวางอยู่ด้านนอก ตามด้วยต้นไม้ที่มีกิ่งก้านหักงอและบิดเบี้ยวผิดรูปขึ้นเรื่อยๆ
“ฆ้องเงินสวี่”
เมื่อเห็นการมาถึงของเขา หลงถูดีใจอย่างมาก ส่วนผู้นำคนอื่นๆ ก็เข้ามาทักทาย
“ฉุนเยียนเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว” หลังจากทักทาย บทสนทนาร่ายยาวจึงเอ่ยออกมาอย่างรวบรัด
“ทุกท่านช่วยปิดผนึกทุกด้านของจี๋เยวียนที ข้าจะเข้าไปลากพวกมันออกมา”
ผู้นำเผ่าตู๋กู่เอ่ยเสียงทุ้มลึก
“วิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่ซับซ้อนมาก คิดจะตามหาพวกมัน ต้องใช้วรยุทธ์มหาศาล”
เหนือหุบเหวจี๋เยวียนปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ หมอกนี้เกิดจากการผสมสีเจ็ดสีตามพลังทั้งเจ็ดของเทพกู่
พลังของเทพกู่ที่เข้มข้นเกินไป ไม่เพียงแต่กัดกร่อนกู่เจ้าชะตาภายในร่างปรมาจารย์กู่ มิหนำซ้ำยังสามารถแทรกแซงการตัดสินใจของปรมาจารย์กู่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
พวกเขาไม่กล้าเข้าไปในจี๋เยวียน และอสูรกู่ในจี๋เยวียนก็ไม่กล้าออกมา จึงเข้าสู่ภาวะชะงักงัน
เพราะสาเหตุนี้จึงต้องขอความช่วยเหลือจากสวี่ชีอัน
ในมุมมองป๋าจี้และผู้นำคนอื่นๆ สวี่ชีอันไม่เกรงกลัวต่อพลังเทพกู่และอสูรกู่ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ก็เปลืองพลังไม่น้อยเช่นกันในการค้นหาพวกมัน
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น!”
สวี่ชีอันมองข้ามหุบเหวอันกว้างใหญ่ “อีกครึ่งเค่อ ข้าจะให้พวกมันออกมาเชื่องๆ เลย พวกท่านถอยไปก่อน!”
เหล่าผู้นำหลายคนไม่เข้าใจแผนการเขานัก แต่ก็ยอมถอยไปขอบเหว
สวี่ชีอันกำหมัดแน่น ปล่อยให้มัดกล้ามเนื้อทั้งร่างกายขยายตัวจนเห็นเส้นเลือด ในขณะที่เขากำลังรวบรวมพลัง พลังของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็ทะยานพุ่งสูงอย่างเกรี้ยวกราด ก่อให้เกิดลมกระโชกแรงโหมกระหน่ำซัดต้นไม้ดึกดำบรรพ์ล้มระเนระนาด
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยอสนีบาตฟาดคำรามกึกก้อง เมฆดำทมิฬปกคลุมน่านฟ้า
ลมพายุที่เกิดจากพลังปราณโอบล้อมหุบเหวจี๋เยวียน เมื่อใดที่พัดผ่าน ต้นไม้ก็จะล้มพังทลาย อสูรกู่ก็ล้มตาย
ตั้งรอบนอกตลอดจนส่วนลึกของหุบเขา อสูรกู่พากันล้มตายกันเป็นกลุ่มๆ ไม่ว่าจะเพราะพลังปราณอันน่ากลัว หรือกลิ่นอายที่ปล่อยมาจากเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
ในระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ไม่ต้องใช้วรยุทธ์ใดๆ เพื่อปลดปล่อยการทำลายล้างในวงกว้าง
ไม่จำเป็นต้องลงไปในจี๋เยวียนด้วยตนเองเพื่อค้นหาอสูรกู่
ท้องฟ้าแจ่มใสพลันปกคลุมด้วยเมฆดำ ก่อนท้องฟ้าจะค่อยๆ มืดมิดราวกับตอนกลางคืน
พายุไต้ฝุ่นที่ทำลายทุกอย่าง กำลังโหมกระหน่ำซัดเอากิ่งไม้และใบไม้ปลิวว่อนจากก้อนหิน
ดูเหมือนภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้น
หลงถู ป๋าจี้และผู้นำอื่นๆ เป็นเหมือนคนทั่วไปที่ประสบภัยพิบัติ ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวถอยหลังไม่หยุด
พวกเขาไม่ได้กลัวสถานการณ์แบบนี้ แม้ว่า ‘ภัยพิบัติทางธรรมชาติ’ จะทำให้เกิดตามภาพมโนเกินจริง แต่แท้จริงแล้วเป็นผลพลอยจากพลังที่ปล่อยออกมาของระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวจริงๆ คือแรงกดด้านจากระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว หัวใจหวีดหวิวอย่างห้ามไม่ได้ ดูเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อใดก็ได้
ในฐานะปรมาจารย์กู่ระดับบรรลุธรรมอย่างพวกเขา เมื่อเผชิญกับเด็กหนุ่มตรงหน้าบนท้องฟ้า พวกเขากลับอ่อนแอราวกับมนุษย์
เวลาเดียวกันนี้ เขาก็เข้าใจแผนการของสวี่ชีอัน จอมยุทธ์ระดับสุดยอดผู้นี้ ตั้งใจจะฆ่าอสูรกู่ในจี๋เยวียนทั้งหมดรวดเดียว ส่วนพวกที่เหลือรอดและยังมีชีวิตอยู่นั่นคืออสูรกู่เหนือธรรมดา
อสูรกู่ที่อยู่ในระดับบรรลุธรรม ไม่อาจอยู่รอดได้ภายใต้แรงกดดันของเขา
ทั้งเรียบง่ายและหยาบกระด้างสมชื่อจอมยุทธ์จริงๆ
ไม่ถึงครึ่งเค่อ ร่างสีดำสองร่างก็พุ่งออกมา รูปร่างพวกมันสูงใหญ่ พวกมันเป็นวานรยักษ์ขนดำสูงสองฉื่อ ขนนั้นแข็งดั่งเหล็กกล้า บนไหล่กว้างมีสองหัว แต่ละหัวมีดวงตาสีแดงก่ำทอประกาย
กล้ามเนื้อที่ระเบิดทั่วร่างกายเป็นลักษณะเด่นของมันที่เห็นได้อย่างชัดเจน
อีกตนหนึ่งมีรูปร่างประหลาดกว่า ซ้ำยังสูงหลายฉื่อ ภายนอกดูเหมือนผีเสื้อกลางคืนหลากสีสันสดใส ดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยปัญญา
ผีเสื้อกลางคืนกระพือปีกพลิ้วไหวตามแรงลมพายุ แสดงการยอมจำนนต่อสวี่ชีอัน
วานรยักษ์ที่ดุร้ายแยกเขี้ยวเช่นเดียวกับสัตว์ร้ายที่หวาดกลัวจนขีดสุด จึงทำได้แค่สร้างความฮึกเหิมด้วยการแสร้งทำเป็นดุร้าย
จำนนแล้ว…สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเหยียดฝ่ามือเล็งไปที่อสูรกู่สองตน ก่อนใช้แรงบีบ
ตู้ม! ตู้ม!
อสูรกู่ทั้งสองตนระเบิดโดยไร้แรงต่อต้าน ชิ้นเนื้อและเลือดสดๆ กระจัดกระจายเหมือนเม็ดฝน จิตเดิมมลายหายไป
สวี่ชีอันระงับพลังปราณ พายุพลันสงบลงทันที
ภาพตรงหน้านี้ทำให้เหล่าผู้นำตกตะลึง อสูรกู่ทั้งสองตนต่างอยู่ในระดับบรรลุธรรม หากสู้กันตัวต่อตัว เกรงว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขานัก
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว มันเป็นเพียงแมลงที่ถูกบีบเท่านั้น
หลังจากกำจัดสัตว์ร้ายกู่ทั้งสองตนแล้ว สวี่ชีอันก็ไม่ได้กลับลงสู่พื้นดิน แต่กระโจนลงไปในเหวจี๋เยวียนแล้วหยุดอยู่หน้ารูปปั้นปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์
รูม่านตาเขาหดลงเล็กน้อย
หัวรูปปั้นปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นร่างกายก็เต็มไปด้วยรอยร้าว
“เทพกู่แข็งแกร่งกว่าเทพพ่อมด มันใช้เวลาไม่ถึงสามเดือนก็หลุดจากผนึกได้แล้ว”
สวี่ชีอันก้มหน้าลง จ้องรอยแตกลึกบนพื้นเบื้องล่าง เอ่ยเสียงขรึม
“เทพกู่!”
ในหุบเหวสงบนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว
หลังจากนั้นครู่เดียว เสียงอู้อี้ทรงพลังก็ดังกระทบโสตประสาทหูสวี่ชีอัน
“เทพยุทธ์ครึ่งก้าว”
สวี่ชีอันถาม
“เจ้ารู้วิธีเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์หรือไม่”
“รู้!”
เสียงดุดันอันทรงพลังดังขึ้น คำตอบของเทพกู่เกินความคาดหมายของสวี่ชีอัน
“ขอเทพกู่โปรดชี้แนะ” น้ำเสียงสวี่ชีอันรีบร้อนลนลานขึ้นตามลำดับ
“ตัดหัวแล้วเอาไปถวายแด่พระพุทธองค์ที่แดนประจิม” เทพกู่กล่าวเช่นนี้
…น้ำเสียงสวี่ชีอันแย่ลงทันที
“เจ้าล้อข้าเล่นรึ?”
เทพกู่ตอบกลับเสียงเรียบ
“เจ้าหลอกข้าก่อน”
สวี่ชีอันพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าถอนขนเทพกู่ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดต้องกลับสู่พื้นดิน เรียกเหล่าผู้นำมารวมกันแล้วออกคำสั่ง
“ทุกท่านเรียกคนในเผ่ามารวมกันที่ราบลุ่มภาคกันเดี๋ยวนี้ แล้วให้พำนักที่เมืองเฉพาะกิจชั่วคราว”
ฮว๋ายชิ่งสร้างเมืองนี้ที่เขตชายแดน ซึ่งได้ใช้ประโยชน์ตอนนี้พอดี
สองขาเรียวยาวของหญิงงามหลวนอวี้ก้าวเข้ามา เอ่ยเสียงยานคาง
“ฆ้องเงินสวี่ เจ้ามาแต่งงานกับข้าเถอะ”
ผู้นำคนอื่นเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
สวี่ชีอันวางมาดขรึม
“ท่านผู้นำหลวนอวี้ โปรดเคารพตนเองด้วย”
แล้วส่งกระแสจิตส่วนตัว
“เจ้าปีศาจน้อย คืนนี้ข้าจัดการเจ้าแน่”
ใบหน้าหลงถูเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น
“เผ่าลี่กู่ของเราอพยพวันนี้ได้เลย”
โชคดีที่เป็นฤดูเก็บเกี่ยว มีอาหารเพียงพอ ไม่อย่างนั้นไม่อยากจะคิดให้ปวดใจเลย…เมื่อเห็นการแสดงออกอย่างกระตือรือร้นของชายฉกรรจ์ที่สูงสองเมตร มุมปากสวี่ชีอันกระตุกขึ้น
จากนี้ไปโรงน้ำชาและร้านอาหารในต้าฟ่งจะต้องติดประกาศไว้ที่ประตู
ชาวเผ่าลี่กู่ห้ามเข้า!
คล้อยหลังทุกคนแยกย้ายแล้ว จี๋เยวียนก็สงบลง หลังจากนั้นอีกครึ่งเค่อ เงาสีขาวก็วาบขึ้นมาข้างรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ พระโพธิสัตว์หญิงรูปงามพร้อมด้วยผมยาวสีดำขลับปลิวไสว ยืนอยู่บนขอบหน้าผาข้างรูปปั้น
นางประสานมือค่อยๆ โค้งคำนับหุบเหวจี๋เยวียน เอ่ยเสียงใสกังวาน
“เจอกันอีกแล้วเทพกู่!
“ตามที่พระพุทธเจ้าชี้แนะ ข้ามาที่นี่เพื่อถามบางอย่าง”
นางหยุดเว้นวรรค พึมพำถามตนเอง โดยไม่รอให้เทพกู่ตอบกลับ
“จะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้อย่างไร”
…………………………………………………………..
……….