ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 894 หนึ่งข้อกำหนด สองเงื่อนไข
บทที่ 894 หนึ่งข้อกำหนด สองเงื่อนไข
……….
ด้านหน้าพระวิหารย่าเซิ่ง จ้าวโส่วจัดเสื้อผ้า ท่ามกลางการจับจ้องของหยางกง จางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ เฉินไท่และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม เขาเปิดประตูพระวิหารสีแดงฉลุลายและเข้าไปในพระวิหาร
‘ปึง!’
ประตูพระวิหารปิดลง บดบังสายตา
แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่างตาราง ฝุ่นละอองลอยอยู่ในแสง เหนือแท่นมีรูปปั้นที่สวมมงกุฎขงจื๊อและชุดขงจื๊อ มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างวางอยู่ตรงส่วนท้องตั้งอยู่
ข้างๆ เท้าของรูปปั้นมีกวางตัวหนึ่งยืนอยู่
นั่นคือภรรยาของรองปราชญ์เอก
จ้าวโส่วจ้องมองรูปปั้นไม่พูดไม่จา ดวงตาสะท้อนแสงแดด เขายังคงอยู่ในท่าเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน
จ้าวโส่วเกิดในรัชศกเจินเต๋อที่สิบเก้า มาจากครอบครัวยากจน พออายุสิบขวบเขาก็เข้าเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่และได้รับการชี้แนะจากฆราวาสหานลู่
ปราชญ์เฒ่าที่ดูปอนๆ ผู้นั้นอาศัยอยู่ในกระท่อมมุงจากตลอดทั้งปี ช่วงปีแรกๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ขาข้างหนึ่งของเขาพิการ ระทมทุกข์กับความผิดหวัง แถมชอบดื่มเหล้า พอเมาก็เขียนบทกวีเสียดสีราชสำนักและบทกวีดูถูกจักรพรรดิ
หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากสำนักอวิ๋นลู่ บทกวีที่เขาเขียนเหล่านั้นคงทำให้เขาถูกตัดหัวได้สักร้อยครั้ง
ตามปกติเขาเข้มงวดกับจ้าวโส่วมากและสอนอย่างขยันขันแข็ง แต่ถ้าเมา เขาจะคลั่งและตะโกนว่า ‘อ่านหนังสือขาดๆ ไป ชีวิตก็ไร้อนาคตอยู่ดี สู้เข้าหอนางโลมซื้อเหล้านอนกับคณิกายังจะดีกว่า’
จ้าวโส่วในวัยหนุ่มก็ลูบคอพลางพูดว่า ‘นอนกับคณิกาหนึ่งครั้งต้องจ่ายสามสิบตำลึง ถ้าไม่อ่านหนังสือ จะหาเงินจากไหนไปนอน’
ฆราวาสหานลู่ได้ยินก็โกรธจัด คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้ราคา
จึงโบยด้วยไม้กระดาน!
จ้าวโส่วเอ่ยอย่างไม่พอใจ ‘ท่านอาจารย์ไม่รู้ราคาหรอกหรือ’
โบยด้วยไม้กระดานอีก!
ต่อมาในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นวันหนึ่ง ปราชญ์เฒ่าเมาตกลงไปในสระน้ำ จบชีวิตอันยากจนด้วยการจมน้ำตาย
ในพิธีฝังศพ จ้าวโส่วได้รู้อดีตของอาจารย์จากเพื่อนสนิทของเจ้าตัว
ตอนยังหนุ่มฆราวาสหานลู่เป็นอัจฉริยะที่มีหน้ามีตามาก แต่เพราะมาจากสำนักอวิ๋นลู่ จึงถูกจักรพรรดิเจินเต๋อรังเกียจ และถูกปัดตกตอนการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง
เขาไปสอบและถูกปัดตกอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปหกปี
จากอัจฉริยะหนุ่มคนหนึ่งก็กลายเป็นปราชญ์เฒ่าที่มีจอนผมสีขาวยวง ไม่เคยได้รับตำแหน่งกึ่งทางการเลย
เขาทนไม่ไหว จึงบุกไปที่พระราชวัง ประณามจักรพรรดิเจินเต๋ออย่างโกรธเคือง ขาข้างนั้นถูกตัดก็ตอนนั้น หากเจ้าสำนักศึกษาคนก่อนไม่ออกหน้าปกป้อง เขาคงถูกตัดหัวไปนานแล้ว
นี่คือสถานการณ์ของสำนักอวิ๋นลู่ตลอดมา
บางครั้งคนส่วนน้อยก็ได้รับตำแหน่งกึ่งทางการ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ และถูกส่งไปยังซอกมุม
ทว่าคนจำนวนมากแม้จะร่ำเรียนมาครึ่งชีวิตก็ยังไม่ได้รับตำแหน่งกึ่งทางการ และยังคงเป็นคนธรรมดา
เวลานั้นจ้าวโส่วในวัยหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่หลายปีต่อมา เจ้าสำนักศึกษาคนใหม่ก็ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้เขาก้าวสู่ระดับก่อชะตา เจ้าตัวต้องการให้ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่หวนคืนสู่ราชสำนักและนำมันกลับสู่ความรุ่งโรจน์พันปี
“เมื่อสองร้อยปีก่อน ช่วงเกิดความขัดแย้งในประเทศขึ้น สำนักได้กลายเป็นศัตรูกับราชวงศ์ เฉิงซื่อฉวยโอกาสนั้นออกจากสำนักและก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง กีดกันนักเรียนของสำนักออกจากราชสำนัก สองร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้ ศิษย์จ้าวโส่ว ขอต้อนรับรองปราชญ์เอกกลับสู่ราชสำนัก”
เขาไม่ได้ก้มหัว
รูปปั้นของรองปราชญ์เอกยิงลำแสงขึ้นไปยังหมู่เมฆ เขาชิงอวิ๋นทั้งลูกสั่นสะเทือนในเวลานี้ ราวกับภูเขาถล่ม
แต่นักเรียนกับอาจารย์ในสำนักไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย กลับสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นและร้องไห้ด้วยความปีติยินดี
หลังจากผ่านไปสองร้อยปี ในที่สุดสำนักอวิ๋นลู่ก็มีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสองหนึ่งคนแล้ว
และไม่ใช่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แบบที่คนทั้งโลกยกย่อง แต่เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสองในระบบขงจื๊อ!
ลำแสงพุ่งขึ้นสู่หมู่เมฆ พลุ่งพล่านไปทีละชั้น ก่อให้เกิดกระแสปราณใสขนาดใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งห่างจากเขาชิงอวิ๋นออกไปหลายสิบลี้ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ราวกับกำลังประกาศให้คนทั้งโลกได้รับรู้
จากนั้น ปราณใสเหล่านั้นก็ค่อยๆ ตกลงสู่พระวิหารย่าเซิ่งและเข้าไปในร่างของจ้าวโส่ว
ปราณใสบาดตาพุ่งออกมาจากดวงตาของจ้าวโส่ว กายเนื้อของเขาก็อาบอยู่ในปราณใส นี่คือร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมที่ชำระล้างแก่นแท้ของเขา มันไม่เพียงเพิ่มพลังเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตของเขาเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความทนทานในการสะท้อนวรยุทธ์ด้วย
เขารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างถี่ถ้วนและตระหนักถึงพลังของระดับสอง
หลักๆ แบ่งเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือพลังเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตได้รับการพัฒนาอย่างมาก กฎที่แก้ไขจะคงอยู่เป็นเวลานานขึ้น
ตัวอย่างเช่น ห้ามใบหญ้าเติบโตขึ้นที่นี่
พืชผลในพื้นที่นี้ก็จะเหี่ยวเฉาและเป็นเช่นนั้นไปอีกหลายเดือนหรือนานกว่านั้น ไม่เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ที่ผลของเปลี่ยนวาจาเป็นประกาศิตอยู่ได้เพียงชั่วข้ามคืน
นอกจากนี้ ยังมีจุดที่สำคัญที่สุดอีกจุดหนึ่ง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสองสามารถดึงโชคชะตาออกมาได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะรวบรวมหรือทำลายก็ได้ แม้ว่าการกระทำนี้จะไม่เยี่ยมยอดเท่าโหร แต่จ้าวโส่วก็มีความสามารถที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของราชวงศ์แล้ว
แน่นอนว่า สิ่งนี้จำเป็นต้องจ่ายในราคามหาศาล เฉกเช่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนจงในช่วงสุดท้ายของต้าโจวที่เสียสละตัวเอง บดขยี้โชคชะตาสุดท้ายของต้าโจว
แสงสว่างวาบขึ้นภายในพระวิหารย่าเซิ่ง หยางกงและคนอีกสี่คนเข้ามาในพระวิหาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
“เจ้าสำนักศึกษา ท่านช่วยปลดผนึกให้ดาบสลักได้หรือไม่”
จางเซิ่นถาม
“มีทางเดียวที่จะรู้”
จ้าวโส่วคลายฝ่ามือ แสงใสพุ่งขึ้นมา ดาบสลักปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
จากนั้น มงกุฎแห่งปราชญ์เอกก็สวมอยู่บนศีรษะของเขา
จ้าวโส่วจ้องมองดาบสลัก ก่อนพึมพำ
“ทำลายผนึก!”
แล้วกำมือทันที
ทันใดนั้น แสงใสก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา ราวกับสิ่งที่กำอยู่ในมือไม่ใช่ดาบสลัก แต่เป็นหลอดไฟขนาดใหญ่
มงกุฎขงจื๊อบนศีรษะเปล่งแสงบาดตาออกมาเช่นกัน แสงใสเหล่านี้พุ่งไปตามแขนของเขาราวกับดาบสลัก
รูปปั้นรองปราชญ์เอกส่องสว่างขึ้นและส่องแสงไปยังดาบสลัก
‘หึ่งๆ’ ดาบสลักสั่นระริกและสั่นแรงขึ้นในฝ่ามือของจ้าวโส่ว ทำให้แขนกับตัวของเขาสั่นไปด้วย
‘ตูม!’
แสงบนดาบสลักระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทำให้เกิดลมกรรโชกขึ้นในพระวิหาร จนพัดเทียนดับและทำให้ประตูหน้าต่างสั่น
จ้าวโส่วกำดาบสลักไว้อย่างยากลำบากจนไม่อยากกำไว้ จึงคลายมือปล่อยมันลอยขึ้นไปบนฟ้า และบินวนไปรอบๆ ในพระวิหาร
“ในที่สุดข้าก็พูดได้เสียที ไอ้ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แกมันสมควรตายเป็นพันครั้ง ผนึกข้าไว้นับพันสองร้อยปี ยังไม่มีใครบอกอีกหรือว่าหนังสือที่เขาเขียนมันขยะ หากให้ข้าเป็นคนเขียนนะ ข้าเขียนได้ดีกว่าเขาแน่นอน ข้าอุตส่าห์เห็นแก่ที่ได้พบกัน จึงสอนเขาเขียนหนังสือ แต่กลับไม่เห็นคุณค่า หาว่าข้าวุ่นวายและผนึกข้า เหอะ!”
เสียงก่นด่าและไม่พอใจของดาบสลักดังขึ้นในหูของจ้าวโส่วและคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
นี่ทำให้จ้าวโส่วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะเห็นด้วยหรือปฏิเสธ จึงทำได้เพียงเลือกที่จะนิ่งเงียบและแสร้งว่าไม่ได้ยิน
“อะแฮ่ม!”
จ้าวโส่วกระแอมทีหนึ่ง ขัดเสียงก่นด่าอันเจื้อยแจ้วของดาบสลักและโค้งคำนับ
“คารวะท่านผู้อาวุโส”
หยางกงกับอีกสี่คนโค้งคำนับตาม
“คารวะท่านผู้อาวุโส!”
ดาบสลักบินมาด้านหน้าจ้าวโส่ว หยุดอยู่ระหว่างคิ้วไม่ขยับและส่งกระแสความคิด
“อืม ท่านโหราจารย์เคยบอกว่า ข้าจะถูกปลดผนึกในยุคนี้ เขาไม่ได้โกหกข้าจริงๆ ด้วย ศิษย์ขงจื๊อนับถือไอ้ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นราวกับมันเป็นเทพเจ้า ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในแต่ละยุคจึงไม่ยอมปลดผนึกให้ข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงปลดผนึกให้ข้าล่ะ”
จ้าวโส่วโค้งคำนับอีกครั้ง
“ศิษย์มีเรื่องอยากถาม”
หยางกงรวบแขนเสื้อทันที ไม่ให้ไม้บรรทัดบินออกมา
วิญญาณอาวุธภายในดาบสลักถามว่า
“มีเรื่องอันใด!”
จ้าวโส่วเอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์อยากถามแทนผู้คนในใต้หล้า ทำอย่างไรถึงจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์หรือขอรับ”
ดาบสลักไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่จมอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน
ท่ามกลางความเงียบ ใจของจ้าวโส่วก็ค่อยๆ จมสู่ก้นบึ้ง
“ผู้อาวุโสก็ไม่รู้เช่นกันหรือ”
“อย่าเสียงดัง!” ดาบสลักพ่นประโยคหนึ่งใส่เขา จากนั้นถึงพูดว่า
“ข้าจำได้ว่าตอนไอ้เจ้าปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบทหาร เคยพูดถึงเทพยุทธ์อยู่ อืม มันก็ผ่านมาหนึ่งพันสองร้อยปีแล้ว ข้าเลยนึกไม่ออก”
‘เช่นนั้นเจ้าก็รีบนึกให้ออกสิ’ หยางกงและคนอื่นๆ คิดอย่างร้อนใจ
แต่จ้าวโส่วสังเกตเห็นรายละเอียดหนึ่ง ดาบสลักจำเป็นต้องระลึกถึงจะจำได้ ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเร็วๆ นี้ไม่ได้คุยกับใครเรื่องการเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์เลย
หากดาบสลักไม่ได้เปิดเผย แล้วท่านโหราจารย์รู้วิธีเลื่อนขั้นเป็นเทพยุทธ์ได้อย่างไร
สิบกว่าวินาทีผ่านไป ดาบสลักก็เอ่ยขึ้นทันใด
“นึกออกแล้ว อืม หนึ่งข้อกำหนด สองเงื่อนไข! ข้อกำหนดคือ รวบรวมโชคชะตา เงื่อนไขคือ ได้รับการยอมรับจากใต้หล้า ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน!”
…………………………………………