ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 895 กำเนิด
บทที่ 895 กำเนิด
……….
ณ จวนสกุลสวี่
ในห้องศึกษา สวี่ชีอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ วางนิ้วลงบนหน้าโต๊ะเบาๆ และมองดาบสลักที่ลอยร่อนอยู่ในห้อง
“หนึ่งข้อกำหนด สองเงื่อนไข…”
เขากล่าววลีนี้ซ้ำ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกกระจ่างแจ้ง ก่อนหน้านี้นานมากๆ สวี่ชีอันเคยฉงนใจมาก่อนว่า ชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งสูญหายจึงส่งผลให้พลังแผ่นดินเสื่อมถอย เป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติในภายหลัง
ท่านโหราจารย์เป็นโหรขั้นหนึ่ง อายุเท่าบ้านเมือง เดิมต่อให้เอาโชคชะตาคืนมา ต้าฟ่งก็คงสงบสุขดังเดิม แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
ถึงตอนนี้จึงเข้าใจ สิ่งที่ท่านโหราจารย์วางแผนตั้งแต่แรกเริ่มไม่ใช่ราชสำนักเพียงกระจ้อยร่อย
สิ่งที่เขาต้องการคือเทพยุทธ์ สิ่งที่เขาต้องการค้ำจุนคือผู้เฝ้าประตู
หลังจากรู้คำตอบ แผนการที่ยากจะเข้าใจมากมายในอดีตของท่านโหราจารย์ก็แจ่มชัดขึ้นมาอย่างสมเหตุสมผล
หมากกระดานนี้เชื่อมโยงทั่วทุกด้าน…สวี่ชีอันเก็บคืนความคิดที่แผ่ออกไป และเพ่งสมาธิกลับไปที่ ‘หนึ่งข้อกำหนดและสองเงื่อนไข’ อีกครั้ง
“ผู้อาวุโส ในตัวข้ามีชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของต้าฟ่ง มีโชคชะตาที่พระพุทธเจ้าหลงเหลือไว้เมื่อชาติปางก่อน มีโชคชะตาของพุทธมหายาน ครบครันสำหรับข้อกำหนดนี้หรือไม่”
เขาขอคำชี้แนะอย่างถ่อมใจ
“ข้าเป็นเพียงดาบสลักเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง”
ดาบสลักเรียบง่ายโบราณที่ห่อหุ้มด้วยลำแสงใสเอ่ยอย่างขอไปทีว่า
“ผู้ที่ฟาดฟันนับพันครั้งก็ไม่อาจสางแค้นอย่างปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ คงจะไม่เอ่ยสิ่งเหล่านี้กับข้า”
เห็นชัดเลยว่าท่านขี้เกียจเข้าไปพัวพัน แม้ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เอ่ย แต่ท่านเป็นดาบสลักที่อยู่มาหนึ่งพันสองร้อยกว่าปีแล้ว ควรจะมีสิ่งที่ได้พบเห็นด้วยตนเองสิ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า
“ผู้อาวุโสเขียนหนังสือชีวประวัติตามปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ วิชาความรู้ต้องลึกซึ้งอย่างมากแน่นอน”
ดาบสลักพอได้ฟังก็เกิดความสนใจขึ้นมาในฉับพลัน แล้วห้อยลงตรงหน้าสวี่ชีอันพร้อมเอ่ยว่า
“นั่นมันแน่นอน วิชาความรู้ปู่ไม่ได้ด้อยไปกว่าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย แต่น่าเสียดายที่เขาเปลี่ยนไป เริ่มริษยาความสามารถด้านการประพันธ์ของข้า ทั้งยังผนึกข้าอีก”
“เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม”
สวี่ชีอันถือโอกาสเอ่ย
“ขอกล่าวตามจริง ข้าวางแผนจะเขียนหนังสือชีวประวัติและเขียนหนังสือรวมกลอนเพื่อสืบทอดต่อไปหลังมหาเคราะห์”
“แต่การเขียนหนังสือเป็นการใหญ่ และหลานความรู้ตื้นเขิน…”
ดาบสลักเรียบง่ายโบราณแผ่แย้มแสงใสบาดตา เอ่ยอย่างไม่รีรอว่า
“ข้าจะสอนเจ้าเอง”
สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า อาวุธศักดิ์สิทธิ์มีอารมณ์ฮึกเหิม
สวี่ชีอันรีบลุกขึ้นน้อมคำนับอย่างตื่นตระหนกด้วยความดีใจ
“เช่นนั้นก็ขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
“เอ่อ แต่ขณะนี้มหาเคราะห์กำลังจะมาถึง หลานไร้กะจิตกะใจเขียนหนังสือ ค่อยว่ากันหลังรับมือมหาเคราะห์น่าจะดีกว่า ดังนั้นผู้อาวุโสท่านจึงต้องช่วย”
ดาบสลักไตร่ตรองเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักคิด มอบสิ่งตอบแทนที่พึงพอใจของข้าให้ ปู่ขอเอ่ยสองสามเรื่อง”
มันเอ่ยเข้าประเด็นหลักโดยไม่รอให้สวี่ชีอันเอ่ยขอบคุณ
“อย่างแรกข้อกำหนดควบรวมโชคชะตา ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ หลังผ่านยุคเทพมารและสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจ โชคชะตาฟ้าดินเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด การที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญรุ่งเรืองจึงเป็นไปตามแนวโน้ม”
“และที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นดินแดนต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ราชวงศ์ของที่ราบลุ่มภาคกลางก็ควบรวมโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มากที่สุด เช่นนั้นระดับเหนือมนุษย์จึงต้องตอดกลืนที่ราบลุ่มภาคกลางเพื่อแย่งชิงโชคชะตา”
เรื่องเหล่านี้ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านสาธยาย…สวี่ชีอันแขวะในใจ
“แม้เจ้าจะมีชะตาบ้านเมืองเหมือนราชวงศ์ที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่หากเทียบกับพระพุทธเจ้าและพ่อมดแล้วเป็นเช่นไร” ดาบสลักเอ่ยถาม
สวี่ชีอันใคร่ครวญครู่หนึ่งอย่างจริงจัง “หากเทียบกับพวกเขา โชคชะตาที่ข้าสะสมคงยังไม่เพียงพอ”
พระพุทธเจ้าควบรวมโชคชะตาของทั้งดินแดนประจิมทิศ เทพพ่อมดคงจะอ่อนแอ แต่ก็อย่าได้ดูแคลน เพราะว่าโชคชะตาของชายแดนตอนเหนือเป็นของเขาทั้งหมดแล้ว
นอกจากนี้ โชคชะตาเป็นสิ่งที่อาจมีการเก็บด้วยกลวิธีพิเศษ
ยากที่จะกล่าวว่าในมือของพวกเขาไม่มีโชคชะตาเพิ่มเติม
ดาบสลักเอ่ยถามอีกว่า
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องใช้โชคชะตาเท่าใดจึงสามารถสังหารเทพยุทธ์ระดับบรรลุธรรมได้”
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบ แต่วินิจฉัยในใจ โชคชะตาที่เขาควบรวมไว้ในตัวเหล่านี้อาจไม่มาก
ดาบสลักที่เรียบง่ายและโบราณระยับด้วยแสงใสอย่างคงที่ ถ่ายทอดความคิดออกมาว่า
“ปู่เองก็ไม่แน่ใจว่าเทพยุทธ์ต้องการโชคชะตาเท่าใด เพียงคาดการณ์ได้ประมาณหนึ่ง ทางที่ดีเจ้ายึดเอาโชคชะตาจากต้าฟ่งต่อไป มากย่อมดีกว่าน้อยเสมอ”
เหตุผลก็คือเหตุผลนี้นี่เอง แต่ตอนนี้ท่านโหราจารย์ไม่อยู่ ข้าจะดูดซับชะตาของต้าฟ่งเช่นไร จริงสิ จ้าวโส่วเลื่อนขึ้นขั้นสองแล้ว…สวี่ชีอันเอ่ยถามว่า
“ลัทธิขงจื๊อสามารถช่วยข้ารับโชคชะตาได้หรือไม่”
ลัทธิขงจื๊อเป็นระบบที่พบได้น้อยในระบบหลักต่างๆ และสามารถควบคุมโชคชะตาได้
“ฝันไปเถอะ อย่าได้คิดเลย” ดาบสลักตอบปฏิเสธเสียงแข็ง
“ลัทธิขงจื๊อจำเป็นต้องพึ่งพาโชคชะตาบำเพ็ญพรต แต่วรยุทธ์หลักก็คือการแก้ไขกฎเกณฑ์ และไม่ใช่ควบคุมโชคชะตา”
“ผลกระทบง่ายๆ อาจทำได้ แต่การรับโชคชะตาของต้าฟ่งและนำมันใส่เข้าไปในร่างกายของเจ้า มันเป็นเรื่องที่มีเพียงโหนขั้นสองที่ทำได้”
หากเป็นเช่นนี้ ก็มีเพียงรอให้ศิษย์พี่ซุนเลื่อนขึ้นขั้นสอง แต่การเลื่อนจากขั้นสามขึ้นขั้นสองนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก ข้าทำได้เพียงหลับนอนกับฮว๋ายชิ่งเพื่ออาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า…สวี่ชีอันพลางทอดถอนใจอย่าง ‘จนปัญญา’ พลางเอ่ยว่า
“เช่นนั้นหากได้รับการยอมรับจากใต้หล้าจะเป็นเช่นไร”
แสงใสกระจ่างของดาบสลักกระเพื่อม ถ่ายทอดความคิดที่แฝงด้วยความขบขันว่า
“นับตั้งแต่เจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือ ทุกสิ่งที่เจ้าทำ ล้วนถูกท่านโหราจารย์ดูอยู่ที่นี่ ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเขาเลือกเจ้า และไม่ใช่มูลเหตุของการดึงโชคชะตาออกมาบ่มเพาะผู้อื่น”
ชาวโลกล้วนรับรู้คุณูปการอันเกริกก้องของสวี่ชีอัน ล้วนรับรู้ว่าฆ้องเงินสวี่ให้ค่าคำมั่นสัญญาเท่าทองพันชั่ง
รู้ว่าเขาทำเพื่อประชาชนเป็นหลัก กล้าสังหารจักรพรรดิเพื่อราษฎร
ตั้งแต่เขาเดินเส้นทางนี้มา คุณงามความดีต่างๆ ที่ทำ ได้รับหนึ่งในคุณสมบัติของการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์อย่างไม่รู้ตัวมานานแล้ว
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกเกินความคาดหมาย และเอ่ยถามคำถามที่สอง
“เช่นนั้นวิธีการได้รับการยอมรับจากฟ้าดินล่ะ”
ดาบสลักเงียบไปนานมาก ก่อนเอ่ยว่า
“ปู่ไม่รู้ คำอธิบายการได้รับการยอมรับจากฟ้าดินคลุมเครือเกินไป เกรงว่ากระทั่งปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เองก็คงไม่ชัดแจ้งนัก”
“แต่ข้าคาดเดาได้อย่างหนึ่ง ระดับเหนือมนุษย์อยากแทนที่กฎแห่งสวรรค์ บางที หลังจากเจ้าตัดสินใจเป็นศัตรูกับระดับบรรลุธรรม และประมือกับพวกเขาอย่างซึ่งๆ หน้า เจ้าอาจได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน”
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ และเอ่ยในทันทีว่า
“ข้าเองก็มีความคิดอย่างหนึ่ง”
เขาบอกเรื่องดาบไท่ผิง
“ท่านโหราจารย์เคยกล่าวว่า นั่นเป็นอาวุธของผู้เฝ้าประตู เป็นคุณสมบัติที่ข้ากลายเป็นผู้เฝ้าประตู”
ดาบสลักครุ่นคิด ก่อนเอ่ยตอบว่า
“เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงรอให้มันตื่นแล้ว”
เมื่อคุยเรื่องสำคัญจบ ดาบสลักก็บินออกไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้างโดยไม่ได้อยู่ต่อนานอีก
สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา เขาไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนบอกเงื่อนไขสองข้อในการเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ให้สมาชิกพรรคฟ้าดินรู้
แต่ปกปิด ‘หนึ่งข้อกำหนด’ ไว้
หมายเลขหนึ่ง ‘ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน เอ่อ ที่ดาบสลักกล่าวมีเหตุผล การคาดเดาของเจ้าเองก็มีเหตุผล รอให้ดาบไท่ผิงตื่น ก็คงรู้ผล’
หมายเลขสี่ ‘ง่ายกว่าที่ข้าจินตนาการ แต่ก็ถูก ผู้เฝ้าประตู สิ่งที่เฝ้าคือประตูสวรรค์ ต้องได้รับการยอมรับจากฟ้าดินก่อนเป็นธรรมดา’
หมายเลขเจ็ด ‘สิ่งที่ดาบสลักกล่าวไม่ถูกต้อง กฎแห่งสวรรค์ไร้ความรู้สึก คงไม่ยอมรับผู้ใด หากการเป็นศัตรูกับระดับเหนือมนุษย์สามารถได้รับการยอมรับจากกฎแห่งสวรรค์ ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็คงเป็นผู้เฝ้าประตูไปนานแล้ว ข้าคิดว่ากุญแจสำคัญอยู่ที่ดาบไท่ผิง’
เทพบุตรออกความเห็นอย่างกระตือรือร้น เขามีอำนาจมากพอในด้านการถกประเด็นเรื่องกฎแห่งสวรรค์
หมายเลขเก้า ‘ไม่ว่าเป็นเช่นไร ในท้ายที่สุดก็ได้แก้ปัญหายากที่หนักใจข้าแล้ว ต่อไปเพียงเผชิญหน้ามหาเคราะห์เป็นพอ เทพเจ้ากู่คงจะทำลายผนึกเร็วกว่าเทพพ่อมดไปก้าวหนึ่ง พวกข้าต้องให้ความสำคัญกับดินแดนประจิมทิศและซินเจียงตอนใต้’
หากเทพเจ้ากู่ขึ้นเหนือไปโจมตีจู่โจมที่ราบลุ่มภาคกลาง พระพุทธเจ้าจะต้องร่วมมือกับเทพเจ้ากู่แน่นอน
หากสามารถแบ่งกินที่ราบลุ่มภาคกลางก่อนเทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึก เช่นนั้นแผนการคว้าชัยของพระพุทธเจ้าก็คงเป็นไปได้มากที่สุดในบรรดาระดับเหนือมนุษย์
หมายเลขสาม ‘ข้าเข้าใจ’
หลังจากสิ้นสุดการสนทนากลุ่ม สวี่ชีอันก็ส่งข้อความส่วนตัวไปหาฮว๋ายชิ่งอีกครั้ง
หมายเลขสาม ‘ฝ่าบาท ที่จริงแล้วหากเลื่อนขึ้นขั้นหนึ่ง ยังมีข้อกำหนดอีกข้อ’
หมายเลขหนึ่ง ‘ข้อกำหนดอะไร’
ฮว๋ายชิ่งตอบในทันที
หมายเลขสาม ‘รวบรวมโชคชะตา’
หลังจากส่งข้อความนี้ ฟากนั้นก็เงียบลงอย่างถึงที่สุด
ฮว๋ายชิ่งราวกับเข้าใจความหมายของคำพูดในวิเดียวโดยไม่ต้องให้สวี่ชีอันอธิบาย
…
“เอ๋ กลิ่นอายของเทพเจ้ากู่…”
ดาบสลักหยุดลงอย่างฉับพลันขณะวาบผ่านลานบ้าน มันตอบสนองต่อกลิ่นอายของเทพเจ้ากู่
และเปลี่ยนทิศทางหัวดาบไปทางโถงในทันที และบินตรงไปดัง ‘ปิ้ว’
มันแปลงเป็นลำแสงเข้าไปยังโถงใน พุ่งเป้าไปยังเด็กสาวที่กำลังนั่งยองๆ จ้องต้นส้มอย่างใจจดใจจ่ออยู่ริมประตูโถง
แก้มของนางอิ่มกลม ท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไร
สวี่หลิงอินดำดิ่งอยู่ในโลกของตนเอง ไม่ได้สังเกตเห็นดาบสลักที่ปรากฏอย่างฉับพลัน แต่อาสะใภ้มู่หนานจือและสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงล้วนกูก ‘แขกที่ไม่ได้รับเชิญ’ ทำเสียขวัญ
“นี่มันดาบสลักของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์”
ลี่น่าเอ่ย
นางเคยเห็นดาบสลักเล่มนี้หลายครั้ง
พอได้ยินว่าเป็นดาบสลักของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาอันสวยงามก็ส่องสว่างดัง ‘พรึบ’ ในขณะที่อาสะใภ้วางใจ
“เหตุใดที่ตัวนางจึงมีกลิ่นอายของเทพเจ้ากู่” ความคิดของดาบสลักส่งไปยังใบหูของผู้คน
“เทพเจ้ากู่อยากรับนางเป็นลูกศิษย์ แต่ถูกสวี่หนิงเยี่ยนปฏิเสธ รากฐานของเจ็ดยอดกู่จึงอยู่ในตัวนาง” ลี่น่าเอ่ยอธิบาย
“นี่คือภัยแฝง หากเทพเจ้ากู่เข้าใกล้ที่ราบลุ่มภาคกลาง นางจะกลายเป็นกู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าใครก็ช่วยไม่ได้” ดาบสลักเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“กระทั่งเทพเจ้ากู่ก็ยืมร่างกายนางก่อเกิดเจตจำนง”
อาสะใภ้เอ่ยด้วยใบหน้าถอดสีเมื่อได้ยินว่า
“มีวิธีสลายหรือไม่”
“ยากมาก” ดาบสลักส่ายหัวดาบเอ่ยว่า “แต่ในตระกูลมีเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอยู่ คงไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก”
อาสะใภ้ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างพอมีความหวังว่า
“ท่านคือดาบสลักของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เนื่องด้วยสาเหตุที่มีดาบไท่ผิงอยู่ อาสะใภ้จึงไม่เพียงสามารถยอมรับว่าอาวุธพูดได้ ยังสามารถสื่อสารกับอาวุธโดยไม่มีอะไรติดขัดแม้แต่นิด
แม้อาสะใภ้จะเป็นสตรีภาพทั่วไป แต่โดยปกติผู้ที่คบค้าสมาคมด้วยล้วนเป็นบุคคลระดับสูง
จึงค่อยๆ ขยายโลกทัศน์
“ไม่จำเป็นต้องเติมชื่อ ‘ปราชญ์ขงจื๊อศักดิสิทธิ์’” ดาบสลักเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“อืมๆ” อาสะใภ้ไหลตามน้ำ แหงนใบหน้าอันงดงาม พร้อมเอ่ยขณะจับจ้องดาบสลักว่า
“ท่านสอนลูกสาวข้าเรียนหนังสือได้หรือไม่”
“นี่มันอยากเสียที่ใดกัน” ดาบสลักถ่ายทอดความคิดออกมาอย่างจองหอง คิดว่าสิ่งที่อาสะใภ้เสนอเหมือนเป็นการเอาปราชญ์ไปสอนพยัญชนะ ให้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สง่าผ่าเผยอย่างเขาสอนเด็กอ่อนเล่าเรียน ช่างเป็นการด้อยค่าเหลือเกิน
“ข้าเพียงแตะเบาๆ ก็ช่วยนางเล่าเรียนได้แล้ว”
ขณะที่อาสะใภ้กล่าวขอบคุณอย่างเบิกเบินหัวใจ หัวดาบของดาบสลักก็แตะไปที่หว่างคิ้วของสวี่หลิงอินเบาๆ
โต้วเสี่ยวติงกะพริบตา รูปหน้าท่าตาซื่อๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากผ่านไปหลายวินาที ดาบสลักออกห่างจากหว่างคิ้วของนาง แล้วลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่กระดิก
อาสะใภ้เอ่ยถามอย่างสำราญใจว่า
“ลูกสาวข้าได้รับการศึกษาแล้วหรือ”
ดาบสลักเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า
“พวกเรายังคุยกันอยู่ว่าจะจัดการเจ็ดยอดกู่เช่นไรนะ”
อาสะใภ้งงงวย
…
ซินเจียงตอนใต้
ในเหวลึกจี๋เยวียน รูปปั้นปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยรอยแตกทั้งตัว เกิดเสียง “กรุกกรัก” เบาๆ หลังจากนั้น รูปปั้นก็แตกสลายดังโครมคราม
พลังของเทพเจ้ากู่แปลงเป็นหมอกหนาทึบกำบังท้องฟ้าบดบังตะวัน ลอยหมุนล้อมที่ราบลุ่ม ภูเขาและแม่น้ำในระยะหมื่นลี้ของซินเจียงตอนใต้ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์อันน่ากลัว
ต้นไม้งอกตา ดอกไม้งอกเขี้ยวยาว สัตว์กลายเป็นอสูรกู่ กุ้งและปลาในแม่น้ำงอกปอด มือและเท้า ปีนขึ้นฝั่งมาตะลุมบอนกับสิ่งมีชีวิตบนบก
เกิดการกลายพันธุ์ต่างๆ ตามมลพิษที่ได้รับแตกต่างกันไป
เผ่าพันธุ์เดียวกัน บ้างก็กลายเป็นอั้นกู่ บ้างก็กลายเป็นลี่กู่ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาล้วนขาดสติปัญญา
ชอบกลืนกินและเข่นฆ่าซึ่งกันและกันระหว่างกู่ที่แตกต่างกัน
ซินเจียงตอนใต้กลายเป็นโลกของกู่ไปอย่างสิ้นเชิง
ชายแดนของซินเจียงตอนใต้และอวี่โจว หลงถูและบรรดาผู้นำกำลังจัดการอสูรกู่ที่ชายแดน
แม้อสูรกู่ไม่มีสติปัญญา โจมตีเมืองและทำลายหมู่บ้านเองไม่ได้ และชอบอยู่ในที่ที่พลังของเทพเจ้ากู่เข้มข้น แต่มักจะมีอสูรกู่บางตัววิ่งเพ่นพ่านอย่างไร้จุดหมายมายังชายแดน
อสูรกู่เหล่านี้เป็นมหันตภัยที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุดสำหรับคนธรรมดา
ชายแดนอวี่โจวมีหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งที่ถูกรุกรานจากอสูรกู่ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่มายังชายแดนบ่อยๆ เพื่อสังหารอสูรกู่
ทันใดนั้นเอง หลงถูและคนอื่นๆ เกิดความหวาดผวาภายในจิตใจ เกิดอาการสั่นที่ส่งมาจากจิตวิญญาณ ความหวาดกลัวอย่างหนักหนาปะทุภายในหัวใจ
ช่วงสั้นๆ นี้เอง อสูรกู่ทั้งซินเจียงตอนใต้ต่างคลานลงบนพื้น ทำท่าสวามิภักดิ์ ตัวสั่นงึกงัก
ลูกกระเดือกของหลงถูขยับเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า
“เทพเจ้ากู่ กำเนิดแล้ว…”
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปว่า
“รีบ รีบแจ้งฆ้องเงินสวี่”
……….……….……….……….……….
……….