ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 901 บรรเลงโหมโรง
บทที่ 901 บรรเลงโหมโรง
……….
ในห้องนอน สวี่ซินเหนียนสวมชุดชั้นด้านในสีขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม มองพี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
จากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “ดังนั้น นี่เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายของพี่ใหญ่งั้นรึ? แต่ก็ไม่เป็นไร หากท่านตาย จิ่วโจวก็ยากที่จะหลีกหนีภัยพิบัติได้ ท่านเพียงแค่ก้าวไปก่อนเท่านั้น คงพูดไม่ได้แล้วกระมังว่าครอบครัวของเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง”
สวี่ชีอันกล่าวว่า “อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปนัก บางทีข้าอาจจะต้านทานกระแสคลื่นโหมกระหน่ำได้ เจ้าเคยเห็นพี่ใหญ่พ่ายแพ้รึ? แต่ความมั่นใจของข้าก็มีไม่มากจริงๆ เผชิญหน้ากับระดับสุดยอดถึงสองท่าน ความพ่ายแพ้น่าจะมีมากถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ความตายน่าจะมีมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ข้าจึงต้องมาพบเอ้อร์หลางสักครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เจ้าเป็นน้องชายที่ดี ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง ช่างโชคดีที่ข้ามายังโลกนี้ และมีอารองเช่นนี้ มีอาสะใภ้เช่นนี้ ยังมีเจ้าและน้องสาวอย่างหลิงเยวี่ย หลิงอิน”
สวี่ซินเหนียนกล่าวว่า “สถานการณ์ช่างน่าสิ้นหวังจริงๆ แต่ท่านคือลูกชายคนโตของบ้านรองก็สมเหตุสมผลที่จะตระหนักรู้และแบกรับแรงกดดันที่เกิดขึ้น”
เขาเหลือบตามองดวงตาอันมืดมนของสวี่ซินเหนียนพลางกล่าวให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากข้าออกทะเล จงอย่าลืมช่วยเหลือฝ่าบาทและสำนักราชเลขาธิการในการโยกย้ายประชาชนไปยังเมืองหลวง นี่เป็นภารกิจอันหนักอึ้งแต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้ในตอนนี้ พี่ใหญ่เป็นเพียงจอมยุทธ์หยาบคายที่รู้แต่วิธีการต่อสู้ฆ่าฟันเท่านั้น เมื่อเคราะห์กรรมมาถึง สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ย่อมมีขีดจำกัด พวกเราจึงจำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกัน”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า
สวี่ชีอันตบไหล่เขาและกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไปล่ะ!”
“พี่ใหญ่…” สวี่ซินเหนียนลุกขึ้นยืนกะทันหัน มองแผ่นหลังของเขาพลางกล่าวเสียงสะอื้น “ท่านก็เป็นพี่ชายที่ดีเช่นกัน”
สวี่ชีอันโบกมือลาโดยไม่ได้หันกลับมา
…
วินาทีถัดมา เขาก็ปรากฏตัวในห้องของเย่จี เนื่องจากไม่ได้ปกปิดกลิ่นอาย ฝ่ายหลังจึงสัมผัสถึงเขาได้ทันทีและลืมตาขึ้น
“สวี่หลาง?”
เย่จีทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ
ต้องรู้ว่าหลังจากสวี่ชีอันแต่งงานแล้ว ปกติแล้วเขาก็จะพักอาศัยอยู่ในห้องของหลินอัน การสนุกสนานกับนางมักจะเกิดขึ้นหลังรุ่งสางหรือก่อนรุ่งสางของทุกวัน
“ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกับจิ้งจอกเก้าหาง”
สวี่ชีอันนั่งลงที่เตียงและลูบผมของเย่จีเบาๆ
ภายในห้องมืดมิดไร้แสงสว่าง เย่จีอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อดูสีหน้าอันเคร่งขรึมของคนที่นางรัก จิตใจของนางจมดิ่งในทันที แต่กลับไม่ได้ถามอะไรมาก “อืม!”
นางเปิดผ้านวมบางๆ แล้วลุกออกจากเตียง สวมรองเท้าปัก ก่อนจะนั่งยองลงที่พื้นแล้วเปิดกล่องที่อยู่ใต้เตียง จากนั้นก็หยิบกระถางธูปสุนัขจิ้งจอกทองแดงออกมาพร้อมกับธูปสีดำสองดอก
นางใช้ปลายนิ้วสัมผัสปลายธูปจนเกิดไฟส่องสว่าง จากนั้นก็ปักลงในกระถางธูป หลับตา พึมพำคาถาด้วยจิตใจศรัทธา หลังจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้า สูดควันเขียวจากธูปสีดำเข้าไปในปากและจมูก
ดวงตาข้างซ้ายของเย่จีค่อยๆ สว่างขึ้น
นางหันไปมองสวี่ชีอันที่ข้างเตียงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดถึงข้ารึ?”
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนหวานราวกับเป็นโทนเสียงออดอ้อนระหว่างคู่รัก
นางบิดเอวนั่งลงบนเตียง เกาะเกี่ยวไหล่กว้างของสวี่ชีอัน พลางดึงดูดเขาด้วยสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกรักใคร่
สวี่ชีอันไม่มีอารมณ์เกี้ยวพาราสีกับนาง เขากล่าวเสียงทุ้มว่า “เทพกู่ออกมาจากจี๋เยวียนแล้ว ตอนนี้มีข่าวดีเรื่องหนึ่งและข่าวร้ายเรื่องหนึ่ง”
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวเสียงหวาน “ฟังข่าวร้ายก่อน”
สวี่ชีอันมองนางด้วยความสงสาร
“ข่าวร้ายก็คือ เทพกู่ออกทะเลมาตามหาข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องรีบให้เย่จีแจ้งให้เจ้าทราบ”
สีหน้าของ ‘เย่จี’ เปลี่ยนไปในทันที นางคลายแขนที่เกาะเกี่ยวลำคอของเขาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงคมชัดว่า
“อย่าล้อข้าเล่นนะ”
รวดเร็วอะไรเช่นนี้…สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าล้อเล่นกับข้าก่อน เก็บความน่าหลงใหลของเจ้าเถิด”
เมื่อจิ้งจอกเก้าหางนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขาก็บอกจิ้งจอกเก้าหางเกี่ยวกับเรื่องที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่มองเห็นอนาคต
จิ้งจอกเก้าหางมีเก้าชีวิต ไม่สิ แปดชีวิต และยังเป็นเผ่าปีศาจขั้นหนึ่งซึ่งเท่ากับขั้นหนึ่งถึงแปดท่าน
นี่เป็นพลังการต่อสู้ที่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของสงครามท้องถิ่นได้
มีนางอยู่ ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งถึงจะสามารถจัดการกับพระโพธิสัตว์ทั้งสามของสำนักพุทธได้และมุ่งความสนใจไปที่การช่วยเหลือเสินซูได้
หลังจากบอกให้จิ้งจอกเก้าหางรับรู้แล้ว เขาก็ปลอบประโลมเย่จีที่กำลังโศกเศร้า จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปยังห้องของมู่หนานจือ
หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งกำลังนอนหลับสนิทและกอดไป๋จีอยู่ในอ้อมแขน
หลังจากถูกสวี่ชีอันทำให้ตื่น นางก็กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “มีอะไรก็พูดมา อย่ารบกวนการนอนของข้า”
นางมองเพียงแวบหนึ่งก็รู้ว่าสวี่ชีอันไม่ได้มาหานางเพื่อร่วมหลับนอน นี่คือความเข้าใจโดยปริยายระหว่างทั้งสองคน
“เทพกู่หลุดพ้นจากการปิดผนึกแล้ว เขาจะฆ่าท่านโหราจารย์…” สวี่ชีอันเล่าสถานการณ์ให้นางฟัง “ข้าต้องออกทะเลอีกครั้ง”
มู่หนานจือเงียบครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับสั้นๆ “อืม”
“เจ้าพักผ่อนให้สบายเถอะ” สวี่ชีอันหมุนตัวกลับ ภายในใจนับสามสองหนึ่ง
นางเปิดผ้านวมออกกะทันหัน ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดสวี่ชีอันที่ด้านหลังแล้วกล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ข้าไม่ให้เจ้าไป”
สวี่ชีอันหันกลับไป ในความมืดนั้น ดวงตาของนางแดงก่ำพร้อมประกายของน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า
วินาทีนี้ สวี่ชีอันเกือบจะพยักหน้าเห็นด้วยกับนาง เขาเพียงแค่อยากถนอมความงามราวกับดอกไม้ของนางไว้และปกป้องนางอย่างอ่อนโยน
เขากลับหันหน้าหนีด้วยความเด็ดขาดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าน่าจะเข้าใจข้า”
“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจ…” มู่หนานจือซบใบหน้าลงที่หน้าอกของเขาและส่ายศีรษะอย่างรุนแรง
ทั่วทั้งห้องมีเพียงความเงียบชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของนางที่ดังก้อง
หลังจากผ่านไปนาน นางก็เช็ดน้ำตา ผลักหน้าอกของสวี่ชีอันออกไป หันหลังกลับและกล่าวด้วยความเย็นชาว่า
“ไปให้พ้นเถอะ!”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปจากห้อง
น่าเสียดายที่ลั่วอวี้เหิงไปเหลยโจวแล้ว จึงไม่สามารถพบกันได้อีก
…
นี่…ในฐานะที่ฉู่ไฉ่เวยเป็นเด็กรั้งท้ายในสำนักโหราจารย์ คำถามนี้ทำให้นางนิ่งงันอย่างไม่ต้องสงสัย
จำได้รางๆ ว่าตนเองเคยถามคำถามนี้มาก่อน แต่ก็คิดคำตอบไม่ออก
โชคดีที่มีซ่งชิงอยู่ข้างๆ นางจึงรีบดึงซ่งชิงที่กำลังง่วงนอนแล้วกล่าวด้วยความโกรธว่า “ศิษย์พี่ซ่งชิง ฝ่าบาทถามคำถามท่านอยู่นะ”
ซ่งชิงถึงเริ่มตาสว่างขึ้นมาพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องอันใดรึ?”
“ฝ่าบาททรงต้องการรวบรวมโชคชะตา ท่านมีวิธีหรือไม่?” ฉู่ไฉ่เวยแสดงไหวพริบที่หาได้ยากยิ่ง
ถึงแม้นิสัยของซ่งชิงจะมีข้อบกพร่อง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นบัณฑิตที่ยอดเยี่ยม ในบรรดาลูกศิษย์สายตรงทั้งหกของท่านโหราจารย์ นอกจากฉู่ไฉ่เวยแล้ว ทุกคนล้วนเป็นโหรระดับสูง
เขาใช้เวลาคิดไม่นานก็ตอบคำถามว่า “คนธรรมดาที่ต้องการรวบรวมโชคชะตาจะต้องเป็นผู้ฝึกปราณ หากกษัตริย์ต้องการรวบรวมโชคชะตา นอกจากวิธีที่ข้าเพิ่งกล่าวไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นคือ ฝ่าบาทสามารถใช้มังกรหลิงหลงในการรวบรวมโชคชะตาได้”
“มังกรหลิงหลง?” ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิด
ซ่งชิงกล่าวว่า “มังกรหลิงหลงกำเนิดจากการบริโภคปราณม่วง และไม่อาจแยกจากกษัตริย์ได้ แต่ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่า ทำไมทุกๆ สมัยของราชวงศ์ล้วนเลี้ยงมังกรหลิงหลงไว้?”
คำตอบตามปกติก็คือ มังกรหลิงหลงเป็นสัญลักษณ์ของเจิ้งถ่ง…ฮว๋ายชิ่งกล่าวว่า “เชิญเจ้าพูด”
“เพราะมังกรหลิงหลงสามารถสร้างสมดุลให้กับชะตาบ้านเมืองได้ ป้องกันไม่ให้พลังงานของราชวงศ์เปลี่ยนจากความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ความเสื่อมโทรม มันสามารถทำให้ชะตาบ้านเมืองคงอยู่ได้นานขึ้น ต้องรู้ว่าความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมเป็นกฎของฟ้าดิน ทุกสรรพสิ่งไม่อาจหนีพ้นกฎข้อนี้ไปได้” ซ่งชิงกล่าวอย่างฉะฉาน
วิธีที่มังกรหลิงหลงสร้างความสมดุลให้กับชะตาบ้านเมืองคือการกลืนกินและดูดซับโชคชะตาส่วนเกิน และจะคายออกมาเมื่อโชคชะตาของราชวงศ์อ่อนแอ นี่คือพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
ข้าเคยได้ยินท่านโหราจารย์กล่าวว่า หยวนจิ่ง ไม่สิ เจินเต๋อก็เคยใช้มังกรหลิงหลงในการดึงโชคชะตาในร่างของเขาออกไป เพื่อให้โชคชะตาของกษัตริย์ลดเหลือน้อยที่สุด
ใช้มังกรหลิงหลงในการรวบรวมโชคชะตาเป็นเรื่องที่กษัตริย์เท่านั้นที่สามารถทำได้
ซ่งชิงกล่าวต่อไปว่า “แต่ถึงอย่างไรมังกรหลิงหลงก็ไม่ใช่โหรหลอมปราณ โชคชะตาที่พึ่งพามันในการรวบรวมมาย่อมมีขีดจำกัด ไม่มีทางที่จะรวบรวมโชคชะตาของบ้านเมืองครึ่งหนึ่งเข้าไปในร่างเฉกเช่นฆ้องเงินสวี่ได้ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่มังกรหลิงหลงมักจะไม่ยินยอม…”
ฮว๋ายชิ่งกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากส่งฉู่ไฉ่เวยและซ่งชิงไปแล้ว นางก็รีบหยิบหนังสือปฐพีออกมาทันที แจ้งสมาชิกพรรคฟ้าดินเกี่ยวกับคำทำนายของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ตามคำสั่งของสวี่ชีอัน
ผู้ที่ว่างที่สุดในเวลานี้คือหลี่หลิงซู่ เมื่อเทพบุตรเห็นข้อความแล้ว จิตใจก็จมดิ่งทันที
หมายเลขเจ็ด ‘จบแล้ว!’
สวี่หนิงเยี่ยนจบแล้ว ที่ราบกลางก็ต้องจบแล้วเช่นกัน
หมายเลขสี่ ‘คิดไม่ถึงว่าเทพกู่จะออกทะเลเพื่อฆ่าท่านโหราจารย์?’
ในการสนทนาครั้งก่อน พวกเขามุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์สถานการณ์โพ้นทะเล หลังจากที่ประตูแสงถูกสวี่ชีอันพาไป โพ้นทะเลมีเพียงฮวงและท่านโหราจารย์ ด้วยมันสมองของสมาชิกพรรคฟ้าดิน แน่นอนว่าพวกเขาก็เคยคิดมาก่อนว่าเทพกู่จะออกทะเลเพื่อตามหาทั้งสองคนนี้หรือไม่
แต่จุดประสงค์เล่า?
ทั้งสองคนนี้ไม่น่าเป็นสาเหตุที่เทพกู่จะใช้ความพยายามอย่างมากในการออกทะเล
เทพกู่วางแผนอะไรกับทั้งสองคนนี้?
กระทั่งจนถึงตอนนี้ ฉู่หยวนเจิ่นก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเทพกู่ถงต้องการฆ่าท่านโหราจารย์ ถึงแม้ท่านโหราจารย์จะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงปรมาจารย์ลิขิตฟ้าท่านหนึ่ง จนถึงตอนนี้ ขั้นหนึ่งก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อสถานการณ์โดยรวมได้
หมายเลขเก้า ‘หนิงเยี่ยนตกอยู่ในอันตรายแล้ว’
ข้อความของนักบวชเต๋าจินเหลียนสั้นกระชับได้ใจความ
เขาไปโพ้นทะเล ต้องเผชิญหน้ากับระดับสุดยอดสองท่าน แรงกดดันเป็นอย่างไรย่อมสามารถจินตนาการได้
ทุกคนเคยเห็นการต่อสู้ของเสินซูและพระพุทธเจ้ามาก่อน เทพยุทธ์ครึ่งก้าวสามารถต่อต้านระดับสุดยอดได้ บางทีการต่อต้านอาจจะไม่ได้หมายความว่าต่อสู้จนตัวตาย ความพ่ายแพ่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นระดับสุดยอดถึงสองท่าน
สถานการณ์โดยรวมของที่ราบภาคกลางก็ไม่ดีเช่นกัน มิได้ปลอดภัยมากไปกว่าสวี่ชีอันนัก
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์อย่างพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับขั้นหนึ่งของสำนักพุทธถึงสามท่านและระดับสุดยอดอย่างพระพุทธเจ้า ทุกคนต่างก็มีความเป็นไปได้ที่จะพังพินาศ
และครั้งนี้ ก็ไม่มีสวี่ชีอันที่ตกลงมาจากท้องฟ้าอีกแล้ว
…
เมืองหลวง
ในช่วงกลางดึก หลี่หลิงซู่วางชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลง แยกตัวออกมาจากลำแขนของหญิงงามข้างกาย ก่อนจะสวมเสื้อผ้าและรองเท้าอย่างเงียบๆ
“หลี่หลาง?”
หญิงงามที่อยู่บนเตียงตกใจตื่น มือข้างหนึ่งกุมที่หน้าอก อีกข้างรั้งเขาไว้พลางกล่าวด้วยความโกรธว่า “คืนนี้เจ้าเป็นของข้า ข้าไม่อนุญาตให้ไป”
หลี่หลิงซู่ผละตัวออกจากมือของนาง
“ข้าต้องกลับไปที่นิกายสวรรค์สักครั้ง”
“นิกายสวรรค์ปิดภูเขาแล้วไม่ใช่รึ?” นางขมวดคิ้ว
หลี่หลิงซู่กัดฟันกรอด “ข้าจะใช้ศีรษะชนเขาให้กระเด็นออกไปเอง”
เขากล่าวแล้วก็ผลักประตูออกไป กระบี่ราชวงศ์บินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เป็นเรื่องยากที่ผู้ที่บำเพ็ญไม่สูงจะเข้าร่วมสงครามระดับเหนือมนุษย์ นี่เป็นเรื่องที่เทพเซียนก็ยังทำอะไรไม่ได้ แต่เขาไม่สามารถหลับนอนกับผู้หญิงอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ ในขณะที่สหายกำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่แนวหน้า
…
เหลยโจว
เสินซูยิงลูกธนูออกไปอย่างต่อเนื่อง ผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตาที่มาจากเลือดเนื้อระเบิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เนื้อที่ถูกระเบิดปลิวไปทั่วทุกที่ หลุมลึกที่เกิดจากระเบิดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่สิ่งนี้สามารถชะลอระดับการรุกรานแผ่นดินเหลยโจวของพระพุทธเจ้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จะหยุดมันได้อย่างไร?
เสินซูไม่กล้าเข้าใกล้เพราะตอนนี้เขาหัวเดียวกระเทียมลีบ หากได้รับผลกระทบจากร่างธรรมทั้งเก้าของพระพุทธเจ้า อีกทั้งแรงสนับสนุนจากขั้นหนึ่งถึงสามท่าน เขาย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
หากเป็นเมื่อก่อน เสินซูกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเป็นอมตะ ระดับสุดยอดก็ไม่สามารถฆ่าตายได้
แต่ตอนนี้ พระพุทธเจ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง หากอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาและถูกพาไปยังแดนประจิมอีกครั้ง เทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็ต้องตาย
นอกจากนี้ พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งทั้งสามท่านก็ไม่สามารถประมาทได้ ร่างธรรมของพวกเขาไม่ทรงพลังเท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ยังคงสามารถส่งผลกระทบต่อเสินซูได้
สิ่งที่น่าปวดหัวคือ เมื่อไม่นานมานี้ เขาใช้คัมภีร์วรยุทธ์ขงจื๊อปกปิดเจตนาฆ่าของเขา ธนูดอกหนึ่งยิงเข้าไปที่ร่างของกว่างเสียน เดิมทีน่าจะทำให้เขาสูญเสียพลังในการรบชั่วคราว
แต่วงแสงของร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถของพระพุทธเจ้ากลับสว่างขึ้น อาการบาดเจ็บของกว่างเสียนก็ได้รับการรักษาจนเป็นปกติ
เวลานี้เอง จู่ๆ หลิวหลีและเจียหลัวซู่ก็หายตัวไปจากสายตา และปรากฏตัวห่างจากเสินซูหลายสิบจั้ง ฝ่ายหลังยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาปิดผนึกอย่างรวดเร็วเพื่อควบแน่นช่องว่างมิติในพื้นที่แห่งนี้
หลิวหลีคว้าโอกาสอันสั้นที่ขณะเสินซูกำลังทะลวงผ่านกำแพงช่องว่างมิติในการยกเท้าขึ้นไปเหยียบ ทำให้ทิวทัศน์โดยรอบจางหายไป เป็นผลให้แพร่กระจายไปยังเสินซูอย่างรวดเร็ว
ในอีกด้านหนึ่ง สารเลือดและเนื้อก็พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ฉวยโอกาสนี้เข้าใกล้เสินซู
พระโพธิสัตว์ทั้งสองท่านแห่งสำนักพุทธร่วมมือกับพระพุทธเจ้าอย่างรู้กัน
ทันใดนั้น เงาของร่างหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากใต้เท้าของเสินซูและปกคลุมเขาไว้ ผู้นำฝ่ายอั้นกู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของเสินซูมาเป็นเวลานานกระโดดจากไปพร้อมกับเขา
……………………………….…………………………
……….