ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 902 กลืนกินท่านโหราจารย์
บทที่ 902 กลืนกินท่านโหราจารย์
……….
ร่างเงากับเหล่าสหายมาถึงนานแล้ว แต่เหตุผลที่พวกเขาไม่เข้าร่วมการต่อสู้และเลือกที่จะซ่อนตัว เป็นเพราะว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง พวกเขาเหล่าผู้อยู่ระดับขั้นสามที่ไม่ได้แข็งแกร่งนักก็ไม่ต่างอะไรจากไก่หรือสุนัขสักตัวที่ถลันมาขวางหน้า
หากตกเป็นเป้าหมายของพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้ครอบครองร่างธรรมธุดงค์ เขาก็ย่อมต้องเป็นภาระของเสินซู
ดังนั้น หลังจากแอบติดต่อกับเสินซูแล้ว หัวหน้าเผ่าอั้นกู่จึงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของเสินซูอย่างเงียบเชียบ เพื่อหาทางหลบหนีเมื่อจำเป็น
มันได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์
“หึ หึ มีหนูตัวน้อยแอบอยู่ด้วย”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าขาวบริสุทธิ์งดงามของนางไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ครู่ต่อมา นางก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือฟ้าสูงหลายร้อยจั้ง มองเห็นแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล เพียงมองแวบเดียว นางก็เห็นผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ที่อยู่ไกลออกไป
พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้สนามรบและพยายามควบคุมกลิ่นอายของตนให้อยู่นอกขอบเขตการรับรู้ของพระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์
ท่ามกลางสายลมคำราม ร่างของพระโพธิสัตว์หลิวหลีในชุดขาวราวหิมะเหมือนถูกสายลมฉีกเฉือนเป็นชิ้นๆ เมื่อนางปรากฏตัวอีกครั้งนางก็อยู่สูงขึ้นไปเหนือเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่แล้ว
เส้นผมสีดำเสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวปลิวไสวไปตามสายลมอย่างดุเดือด ดวงตาที่สวยงามราวสระน้ำเย็นเยียบทอดสายตามองลงมายังเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่
นางคิดจะกำจัดผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ก่อน ในขณะที่พระพุทธเจ้าและสหายอีกสององค์จะรั้งตัวเสินซูไว้ให้นาง
หลงถูชายผู้แข็งแกร่งสูงเก้าฉื่อเป็นคนแรกที่ตอบสนอง ท่อนขาอัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของเขาระเบิดพื้นแหลกกระจุยเป็นชิ้นๆ ขณะพุ่งตัวเข้ากระแทกพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่อยู่สูงเหนือหัว
ในขณะนั้น ผิวหนังของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มมีหมอกเลือดพวยพุ่งออกมาจากทุกรูขุมขน
อีกเพียงครึ่งฝ่าเท้าเขาจึงจะได้ชื่อว่าก้าวเข้าสู่ขั้นสอง แต่ด้วยเคล็ดวิชาสังเวยโลหิต จึงทำให้เขาระเบิดความเร็วและกลิ่นอายได้เทียบเท่าขั้นสอง
ป๋าจี้หัวหน้าเผ่าตู๋กู่ผู้มีแก้มโหนกนูนเกินขอบเขตมนุษย์ พ่นหมอกพิษสีม่วงเข้มไปทางพระโพธิสัตว์หลิวหลีดุจดังลูกธนู
หลวนอวี้ผู้มีเอวบาง ขายาวและทรวงอกอวบอิ่ม เปล่งแสงแปลกประหลาดในดวงตานางเพื่อกระตุ้นตัณหาราคะในร่างกายพระโพธิสัตว์หลิวหลี
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนแต่มีตัณหาราคะ
ฉุนเยียนผู้มีอุปนิสัยและสติปัญญางดงาม ได้เปิดฝ่ามือแล้วหันไปทางพระโพธิสัตว์หลิวหลี
ความเห็นอกเห็นใจ!
โหยวซือควบคุมหุ่นเชิดศพเดินได้สองตัวที่อยู่รอบข้าง ร่วมมือกับหลงถูกกวัดแกว่งดาบล้ำค่าสายกู่เข้ากลุ้มรุมสังหารหลิวหลี
ใบหน้างดงามของพระโพธิสัตว์หลิวหลีแดงระเรื่อ แต่ครู่ต่อมา ขอบเขตไร้สีของหลิวหลีก็เข้าปกคลุมเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่
หลงถูและศพเดินได้ทั้งสองตัวลอยขึ้นไปกลางอากาศและตกลงสู่พื้น จู่ๆ หมอกพิษก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับหมอกยามเช้า ไม่รุนแรงเหมือนดังก่อนหน้านี้
มีเพียงหลวนอวี้เท่านั้นที่สามารถกระตุ้นตัณหาราคะของหลิวหลีได้เป็นผลสำเร็จ วิธีการอื่นใดล้วนไร้ผลยามเมื่ออยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งองค์นี้
แต่ถึงแม้หลวนอวี้จะกระตุ้นตัณหาราคะในตัวหลิวหลีสำเร็จ ทำให้นางปรารถนาในตัวบุรุษอย่างระงับไม่อยู่ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นบังเกิดความฟุ้งซ่านคลั่งไคล้
หลิวหลีเป็นพระโพธิสัตว์สำนักพุทธที่ได้รับการปลูกฝังมาในระบบฉานซือ โดยสัญชาตญาณแล้ว นางย่อมสามารถควบคุมอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกประการได้อย่างเข้มแข็ง
มีดหยกเล่มเล็กโผล่พ้นชายเสื้อ นางถือมีดด้วยนิ้วงามดั่งหยกเขียวเคลือบแล้วกรีดเฉือนในแนวนอนและแนวตั้ง บังเกิดประกายไฟเป็นรูปกากบาทยามมีดหยกสีเขียวลากผ่าน
ศีรษะของหลงถูเหินลอยไป ป๋าจี้ถูกเชือดเอว ส่วนขาและอกของฉุนเยียนขาดจากกัน ซากศพของโหยวซือถูกตัดแยกเป็นสองซีก ฟากฟ้าของหลวนอวี้กลับหัวกลับหางมองเห็นร่างไร้หัวของตัวเองทรุดลงคุกเข่า…
โลหิตไหลนองย้อมพื้นแผ่นดินเป็นสีแดงทันที ท่ามกลางเศษซากแขนขาที่ฉีกขาดกระจัดกระจาย
อารมณ์กลัวและสิ้นหวังบังเกิดขึ้นในใจเหล่าปรมาจารย์กู่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย นอกจากหลงถูกับป๋าจี้ที่มีร่างกายพิเศษแล้ว ปรมาจารย์กู่เหนือมนุษย์อีกหลายคนล้วนปราศจากร่างกายที่เป็นอมตะแล้วชีวิตของพวกเขาก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เหตุผลที่เขายังไม่ตายทันทีนั่นเป็นเพราะเขามีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งในระดับเหนือมนุษย์และสามารถอยู่รอดต่อไปได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
แต่ความตายย่อมเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทันใดนั้น ลำแสงแจ่มชัดก็พุ่งกวาดลงมาจากฟากฟ้า ทะลุผ่านขอบเขตไร้สีของหลิวหลี คืนสีสันให้กับเหล่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่และทิวทัศน์โดยรอบ
หลังจากดาบสลักโบราณแทงทะลุผ่านขอบเขต มันก็ตอกลงกับพื้น
ลำแสงแจ่มชัดส่องขึ้นจากด้านข้างดาบสลัก จ้าวโส่วผู้สวมมงกุฎขงจื๊อและเสื้อคลุมชุดทางการสีแดงเข้มพลันปรากฏตัวโบกมือแล้วพูดว่า
“อย่าฆ่ากันที่นี่!”
ลำแสงแจ่มชัดเข้าล้อมรอบพระวรกายของพระโพธิสัตว์หลิวหลี ลำแสงแจ่มชัดนี้จะไม่ทำอันตรายนาง แต่เมื่อใดที่นางคิดสังหารคน ลำแสงแจ่มชัดนี้จะเข้าขัดขวางนาง
หลังจากควบคุมได้ครู่หนึ่ง จ้าวโส่วก็รู้ว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้ไม่สามารถยับยั้งพระโพธิสัตว์หลิวหลีได้ เขาจึงยังคงสวดมนต์ต่อไป
“อย่าได้ขยับ!”
ลำแสงแจ่มชัดอีกดวงหนึ่งที่ส่องลงมากลายเป็นเชือกเหล็กเข้าพัวพันพระโพธิสัตว์หลิวหลี
เขาไม่ต้องการชีวิตตัวเองแล้วหรือ? สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวใจของพระโพธิสัตว์หลิวหลีไม่ใช่ความตกใจหรือความโกรธ หากแต่คือความประหลาดใจ
เป็นแค่ลัทธิขงจื๊อขั้นสามกล้าดีอย่างไรถึงมาควบคุมนางเช่นนี้? ต่อให้มีมงกุฎขงจื๊อกับดาบสลักมารับผลแทนเขา แต่จ้าวโส่วก็คงสิ้นชีพไปแล้วก่อนพูดสองประโยคนี้จบ
‘เคร้ง!’
ทันใดนั้นก็มีเสียงรุนแรงแหลมคมดังขึ้นกลางอากาศ เสียดสีจนแก้วหูแทบแตกแล้วแสงกระบี่อันเจิดจ้าก็พุ่งออกมา พุ่งเข้าชนพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่ถูกมัดตรึงอยู่กับที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าเจ้าผู้ครองกระบี่บิน พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็รู้ว่าเป็นลั่วอวี้เหิงกำลังมา หากไม่ใช่นาง หากไม่ใช่เซียนครองพิภพขั้นหนึ่งลัทธิเต๋าผู้นี้แล้ว ในโลกนี้ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมปราณกระบี่น่าสะพรึงกลัวและงดงามเช่นนี้ได้
นางจำต้องปลดพันธนาการของจ้าวโส่วและหลบกระบี่บินให้เร็วยิ่งกว่า
ในเวลานี้ มีนักบวชเต๋าผมหงอกขาวผู้หนึ่งเหยียบกระบี่บินมาจากระยะไกล เขาเปิดฝ่ามือหันไปทางพระโพธิสัตว์หลิวหลีแล้วตวัดมือคว้าอะไรบางอย่างไว้ราวกับว่าเขากำลังหยิบข้าวของบางอย่างออกมา
ในเวลาเดียวกัน ฉุนเยียนซึ่งนอนอยู่บนเตียงแห่งความตายได้รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายของนางแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อพระโพธิสัตว์หลิวหลี
ครั้งนี้นางทำสำเร็จ
พระโพธิสัตว์หลิวหลีไม่ได้รับพรส่วนใหญ่จากนักบวชเต๋าจินเหลียนและกลายเป็นบุคคลผู้โชคร้าย
ภายใต้ความเห็นอกเห็นใจ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของนางหายไปทันที เช่นเดียวกับฉุนเยียน ในขณะนี้ นางมีแต่ความรู้สึกสิ้นหวังทำอะไรไม่ถูก ได้แต่รอคอยความตายอยู่อย่างอดทน
ภายใต้การควบคุมของคนแล้วคนเล่า โอกาสของพระโพธิสัตว์หลิวหลีพลันสูญสิ้นไปแล้วก็มีแสงสีทองเจิดจ้าส่องทะลุอกนาง
พระวรกายของพระโพธิสัตว์ผู้ทรงฤทธานุภาพองค์นี้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ โลหิตสีแดงไหลทะลัก ดวงวิญญาณพลันสิ้นสูญอย่างรวดเร็ว
กระบี่เฉือนร่าง ใจเฉือนวิญญาณ!
กระบี่ใจลัทธิเต๋าถูกออกแบบมาเพื่อมีชัยเหนือจิตเดิม แม้แต่ผู้บำเพ็ญลัทธิเต๋ายังไม่กล้ารับกระบี่ใจลัทธิเต๋าจังๆ นับประสาอะไรกับพระโพธิสัตว์สำนักพุทธ
ในเวลานั้น แสงพุทธะอันหาประมาณมิได้พลันเบ่งบานไปแต่ไกล กลายเป็นร่างสีทองอร่ามสูงร้อยจั้ง ร่างสีทองนี้ถือขวดหยกอยู่ในมือ ดวงตาเปี่ยมเมตตา แสงสีทองสุกใสที่พุ่งออกมาจากปากขวดนั้นไหลเชี่ยวราวแม่น้ำสายใหญ่ กวาดเอาพระโพธิสัตว์หลิวหลีและคนอื่นๆ จมอยู่ใต้น้ำ
แสงสีทองไหลอาบไปทั่ว พระวรกายของพระโพธิสัตว์หลิวหลีที่กระจัดกระจายอยู่หายวับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังทำให้ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ทั้งสามคนที่จวนเจียนจะสิ้นชีพพลันฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
มีเพียงจ้าวโส่วเท่านั้นที่อดทนต่อผลกระทบของกฎได้อย่างคงมั่น นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถไม่อาจรักษาให้หายได้
จ้าวโส่วมิได้แปลกใจกับการพลิกผันครั้งนี้ ตรงกันข้าม ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนการของเขา
ในที่สุดเมื่อเขามาถึงสนามรบและรู้เห็นสถานการณ์อย่างแจ่มชัด เขาก็รู้ว่าผู้นำเผ่าพันธุ์กู่จะต้องตายและไม่มีใครใกล้ตัวสามารถช่วยเขาได้ ด้วยมันสมองเยี่ยงปัญญาชน เขาจึงวางแผนให้พระพุทธเจ้าแสดงร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถขึ้นมาทันที
การจะบังคับให้พระพุทธเจ้าแสดงร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถนั้น จำต้องจุ่มพระโพธิสัตว์หลิวหลีลงไปในกระแสน้ำ
ด้วยระยะทางยาวไกลมีเสินซูและเหนือมนุษย์ต้าฟ่งมากมายระหว่างทาง จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าจะช่วยหลิวหลีเพียงลำพัง เว้นแต่ว่าความคุ้มครองจะไปไม่ทั่วถึง
และนี่คือสิ่งที่จ้าวโส่วต้องการ
ดังนั้น ทันทีที่ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ เขาก็มุ่งมั่นจับตัวพระโพธิสัตว์หลิวหลีทันทีโดยไม่คำนึงถึงว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใด โดยหวังจะใช้วิธีการที่รุนแรงนี้ถ่ายทอดความคิดของเขาไปยังเหล่าสหาย โชคดีที่ลั่วอวี้เหิงกับนักบวชเต๋าจินเหลียนชาญฉลาดยิ่งนัก พวกเขาจึงตระหนักถึงแผนการของจ้าวโส่วได้ทันที
ในบรรดาเผ่าพันธุ์กู่ มีเพียงปรมาจารย์ซินกู่ชุนเยียนเท่านั้นที่เล็งเห็นความตั้งใจของจ้าวโส่วและให้ความร่วมมือ
แน่นอนว่า หากพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะใช้ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ ก็ย่อมต้องเป็นการแลกชีวิตระหว่างเหนือมนุษย์เผ่าพันธุ์กู่หลายคนด้วยชีวิตพระโพธิสัตว์สำนักพุทธ
พริบตาเดียวพระโพธิสัตว์หลิวหลีก็กลับมาอยู่เคียงข้างเจียหลัวซู่กับกว่างเสียนและกลับมาอยู่เคียงข้างพระพุทธเจ้าอีกครั้ง ปรากฏร่องรอยความรำคาญใจบนใบหน้างดงามทว่าขาวโพลนของนาง
นักบวชเต๋าจินเหลียนดีดตัวจากกระบี่บินลงไปอยู่ข้างๆ ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ เขาลูบเคราพลางพูดจายิ้มละไม
“พวกเจ้าควรไปฝึกปรือก่อน แล้วที่นี่ก็ให้เรารับช่วงต่อแทน”
สิ้นเสียง ก็มีแสงหลายลำสาดส่องเข้ามาทีละสาย ตู้เอ้อร์กับเหิงหย่วนผู้ขี่แสงพุทธะสีทอง หลี่เมี่ยวเจินผู้เหยียบกระบี่บิน หยางกงผู้เหยียบคนลักพาตัวและซุนเสวียนจีผู้ใช้ค่ายกลส่งตัว
และปรมาจารย์โค่ว โค่วหยางโจวผู้ใช้วิธีที่ง่ายที่สุดในการควบคุมลมจากเจี้ยนโจวเพื่อรีบเร่งลงสู่สนามรบ
นอกจากอาซูหลัวที่ยังคงปลีกวิเวก โดยรวมแล้วเหล่าเหนือมนุษย์ทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าร่วมการต่อสู้ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว
…
โพ้นทะเล กลับสู่ซากที่อยู่อาศัยรกร้าง
ใจกลางเกาะซึ่งเปรียบได้กับพิภพผืนเล็กๆ ในช่วงสามวันที่ผ่านมาหลุมดำที่คอยกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ ลดแรงดูดลงและเริ่มหดตัว จนถึงวันนี้ ก็อันตรธานหายไปหมดแล้ว
สิ่งที่หลุมดำทิ้งไว้เบื้องหลังคือเหวลึกไร้ก้นบึ้งซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยลี้ พื้นดินบริเวณขอบเหวนั้นมีรอยแตกที่ทอดยาวไปทุกทิศทางราวกับใยแมงมุม
เป็นไปได้ว่าหากทุกสิ่งยังดำเนินต่อไปเช่นเดิม แผ่นดินเล็กๆ แห่งนี้ย่อมต้องแตกสลายเนื่องจาก ‘หลุมดำ’
‘ตูม ตูม ตูม…’
เสียงอึกทึกดังมาจากหุบเหว ทำให้รอยแตกที่ขอบด้านนอกขยายออก ก่อให้เกิดปรากฏการณ์คล้ายแผ่นดินไหว
ไม่นานหลังจากนั้น สัตว์ประหลาดที่มีลำตัวเป็นแพะและมีใบหน้าเป็นมนุษย์ก็คลานออกมาจากหุบเหวนรก ตัวของเขาเป็นสีดำ ไม่มีขน ไม่มีเกล็ด มีดวงตาสีเหลืองอำพัน ดวงตาที่เย็นชาและโหดเหี้ยมทั้งยังมีเขายาวโค้งงอเล็กน้อยหกเขาอยู่บนหัว
ขนาดของเขาเทียบได้ดั่งภูเขา ดวงตาของเขาเหมือนทะเลสาบสีเหลืองอำพันเล็กๆ และเขาบนหัวก็สูงดั่งกำแพงเมือง
นับตั้งแต่โลกถือกำเนิด มีเพียงเทพมารโบราณที่ฟ้าดินให้กำเนิดมาเท่านั้นที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่เกินจริงเช่นนี้
ฮวงเงยหน้าขึ้น มองดูฟากฟ้าสีครามและหรี่ดวงตาใหญ่โตราวกับทะเลสาบเล็กๆ ลง
“หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดข้าก็กลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง”
เสียงของเขาดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
ท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆหนาทึบคล้ายหมึกม้วนตัวเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าและดวงตะวัน บังเกิดฟ้าร้องและฟ้าผ่า
ลมสันทรายพัดผ่านทะเลและเกาะต่างๆ
การที่เทพมารโบราณกลับมา ทำให้ฟ้าดินเกิดนิมิตเหลือเชื่อเกินจริง
หลังจากเพลิดเพลินกับอากาศบริสุทธิ์ชั่วขณะหนึ่งแล้ว ฮวงก็ลืมตาขึ้นและพูดช้าๆ
“ฟ้าดินยังไม่เปลี่ยนแปลง ข้าตื่นขึ้นมาทันเวลา”
จากนั้น ม่านตาสีเหลืองก็หดตัวลง เผยให้เห็นสายตาที่ทั้งดุร้ายและโหดร้าย
เขาเพ่งความสนใจไปที่เขายาวอันหนึ่ง พลางพูดจาโอหังภาษามนุษย์
“ท่านโหราจารย์ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครหรือมีภูมิหลังเช่นไร ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย”
ขณะที่พูด เขายาวที่ผนึกท่านโหราจารย์ไว้ก็ขยายตัวเป็นพายุหมุน ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนเข้ากลืนกินทุกสรรพสิ่ง
นอกจากเทพมารโบราณแล้ว ในหมู่ผู้บำเพ็ญระบบหลักต่างๆ ทุกวันนี้ พวกที่อยู่ในระดับเหนือมนุษย์ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎ มีเพียงผู้อยู่ในระดับสุดยอดเท่านั้นที่สามารถควบคุมและเข้าครอบงำกฎได้
ไม่มีระดับสุดยอดในระบบโหร สิ่งที่เรียกว่า ‘ต้าฟ่งเป็นอมตะ ท่านโหราจารย์ก็ย่อมเป็นอมตะ’ นั้น ในมุมมองของฮวง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบังคับใช้กฎ
ตอนนี้ได้มีการฟื้นฟูแก่นแท้จิตวิญญาณของเขาแล้ว พลังเหนือธรรมชาติซึ่งเป็นพรสวรรค์แต่กำเนิดของเขานั้นย่อมอยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจเพียงพอว่าจะสามารถกลืนกินท่านโหราจารย์ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงลักษณะของระบบโหร
ในสมัยโบราณเขาสามารถกลืนกินแก่นแท้จิตวิญญาณของเทพมารตนอื่นๆ ได้
แก่นแท้จิตวิญญาณย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกฎฟ้าดิน
กฎยังสามารถกลืนกินได้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
ในพายุหมุนที่เกลือกกลิ้งไปมา ลำแสงแจ่มชัดส่องประกายจางๆ เหมือนเทียนท่ามกลางพายุ แกว่งไกวและล่องลอย ราวกับว่ามันจะดับลงหรือถูกดูดเข้าไปพัวพันกับพายุหมุนเมื่อใดก็ได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลำแสงแจ่มชัดยังคงยืนหยัดมั่นคงและไม่ถูกพายุหมุนกลืนกิน
สังเกตเห็นชัดเจนว่าอารมณ์ที่แวบเข้ามาในม่านตาสีเหลืองอำพันของฮวงเปลี่ยนแปลงไป
“หึ หึ…”
เสียงหัวเราะแหบต่ำของท่านโหราจารย์พลันดังขึ้นจากเขายาวอันนั้น
……………………………………….