ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 910-2 ถึงคราวโชคเข้าข้าง (2)
บทที่ 910 ถึงคราวโชคเข้าข้าง (2)
……….
สวี่ชีอันมองตามร่างโหราจารย์ลอยไปตามลมจนกระทั่งลับสายตา
สีสันสุดท้ายในสายตาเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ดูเหมือนจะหายไปพร้อมโหราจารย์ ใบหน้าเขาสะท้อนสีหน้าที่ยากจะอธิบาย จนกล้ามเนื้อแก้มกระตุกเบาๆ เขาก้มหน้าลง ไม่ยอมให้เทพกู่และฮวงเห็นสีหน้าตนเอง
“เมื่อครู่เจ้าหลอกข้าอีกแล้วสินะ”
ฮวงเหลือบมองเทพกู่อย่างอดไม่ได้ เอ่ยถามด้วยเสียงตำหนิ
เทพกู่ตอบเสียงเรียบ
“แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะโดนปั่นหัวง่ายเสียขนาดนั้น ต่อจากนี้ อยู่เหนือการควบคุมของข้าแล้ว”
“อีกนิดเดียว ถ้าเขาทำสำเร็จตั้งแต่ก่อนหน้านี้ บางทีตอนนี้อาจเป็นเราที่เผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง”
พูดถึงตรงนี้ สายตาสุกใสอันเฉียบคมของเขาเคลื่อนไปมองสวี่ชีอันที่ยืนก้มหน้า
“ต้องยอมรับว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามกว่าในบรรดามนุษย์ที่ข้าเคยเจอ แม้นเจ้าไม่ได้อยู่ในสามอันดับแรก แต่อันดับสี่ก็เพียงพอแล้ว หากเทียบกับพระพุทธองค์ในร่างจำแลงอื่นหรือเสินซู ต้องแกร่งอีกหน่อย”
สวี่ชีอันถือดาบมือซ้าย กระบี่มือขวา ยังคงก้มหน้านิ่ง
หลังจากฟังเทพกู่พูดอย่างเงียบๆ จนจบ เขาจึงเอ่ยถามเสียงเรียบไร้อารมณ์เจือปน
“ข้ามิอาจเทียบชั้นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วอีกสองคนนอกจากนั้นคือผู้ใด?”
เทพกู่ตอบกลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“พระพุทธองค์ร่างปรมาจารย์เต๋านิกายมนุษย์ เทพพ่อมดที่ยังคงดำรงอยู่มาช้านาน”
ระหว่างพูด เขาเริ่มตบตาสวี่ชีอัน เจดีย์พุทธะ ดาบสยบดินแดนตามลำดับ
ม้ายูนิคอร์นที่นอนบนพื้นกลับคืนสู่เหนือหัวฮวง ยูนิคอร์นทั้งหกรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่ง
พุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน
‘พึ่บ’…เกิดพายุหมุนม้วนเขาลากเข้าไปอยู่กลางหลุมดำ แก่นชีวิตทั้งหมดโดนดูดเข้าไปในหลุม
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวผู้นี้ไม่ได้ต่อต้าน ดูเหมือนเขาจะยอมแพ้และยอมรับชะตากรรม
“ที่เจ้าเปรียบพระองค์ท่านกับปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นการดูถูกปราชญ์ขงจื๊อ ที่เอาพวกเขาไว้ลำดับก่อนหน้าข้าก็เป็นการดูถูกตัวข้า”เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าสงบนิ่ง หากแต่ลึกเข้าไปในดวงตา ความโศกเศร้าและสูญเสียยังคงสะท้อนอยู่
ครู่ต่อมา ความเสียใจเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วยจิตอาฆาตอันบ้าคลั่ง
ปราณโลหิตหลั่งไหลราวกับน้ำท่วมทะลัก ปราณชีวิตที่ทรงพลังยิ่งกว่าฟื้นฟูในร่างกายเช่นกัน จิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกกายหยาบ เริ่มถ่ายโอนแก่นชีวิตซ่อมแซมอาการบาดเจ็บไม่หยุดหย่อน
ลมปราณของสวี่ชีอันไม่ใช่แค่ไม่ลดน้อยลง แต่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พวกสิ้นหวังถอยไม่ทันแล้ว!
‘หยกสลาย’ เป็นวิถีของสวี่ชีอัน เป็นมรรควิถีของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว
มีเพียงห้วงมรรตัยเท่านั้น เขาถึงจะเข้าถึงมรรควิถีของตน เพื่อใช้พลังหยกสลายได้อย่างแท้จริง
สิ่งนี้ไม่สามารถกระตุ้นได้ด้วยการสะกดจิตตัวเองและไม่สามารถกระตุ้นได้ในช่วงวิกฤตสั้นๆ ต้องเป็นสภาวะสิ้นหวังจริงๆ เท่านั้น เขาถึงจะควบคุมหยกสลายได้อย่างเต็มกำลัง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การต่อสู้กันครั้งก่อน สวี่ชีอันไม่ได้แสดงด้านที่ทรงพลังของตน ไม่แม้แต่ระเบิดพลังออกมาในอย่างจอมยุทธ์ที่ภาคภูมิใจ
ครั้นเห็นโหราจารย์หวนสู่วิถีสวรรค์ ทุกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อความหวังสุดท้ายพังทลาย ไร้ซึ่งหนทางหนี
มันกลับผลักดันให้เขาก้าวสู่จุดสูงสุด
สวี่ชีอันที่ถูกขังอยู่ในหลุมดำปล่อยให้ปราณโลหิตไหลทะลักโดยไม่ตื่นตระหนกและเดือดพล่าน ดีดนิ้วหนึ่งที
‘เป๊าะ!’
หลุมดำพลันหยุดนิ่ง จากนั้นเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากด้านใน
แก่นโลหิตที่ถูกกลืนหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันทีที่เสียงดีดนิ้วดัง
หน้าผากสวี่ชีอันมีรอยเส้นเลือดปูดโปน ลวดลายที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งปรากฏขึ้น เขาปักดาบลงบนพื้นแล้วกำหมัดแน่น
‘ปึง!’
เวลานี้ เงาดำแผ่ขยายจนมืดฟ้ามัวดินปกคลุมร่างสวี่ชีอัน เทพกู่ร่วงลงจากฟ้า ร่างมหึมาล้มลงกองเหมือนภูเขาไท่
ควันสีแดงเข้มพ่นออกมาตามรูขุมขน ร่างยักษ์ใหญ่ยุบยวบลงเป็นชิ้นเดียว อากาศโดยรอบเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
ครั้งนี้ สวี่ชีอันไม่ได้ตาบอด เพราะก่อนเทพกู่จะล้มลง เขาคายร่างโฉมสะคราญงามล่มเมืองออกมา ทั้งรูปร่างสะโอดสะองไร้เส้นขน ทรวงอกเต็งตึง บั้นท้ายเป็นทรงชัด เอวคดคอดอรชรเย้ายวนใจ กระตุ้นกามารมณ์ได้อย่างดี
เทพกู่จุดประกายตัณหาของสวี่ชีอันอีกครั้ง
นอกจากนี้ โฉมงามเหล่านี้ยังมีพิษสงร้ายแรงพอที่จะฆ่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ทั้งยังสามารถควบคุมซือกู่ของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้อย่างแนบเนียน ในขณะเดียวกัน เทพกู่ยังสามารถควบคุมจิตใจสวี่ชีอันได้ด้วย
แต่ในดวงตาสวี่ชีอันมีเพียงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้สูงลิ่ว ยอมตายโดยไม่ยี่หระสิ่งใดทั้งสิ้น
ไม่ใช่ว่าไร้ตัณหา แต่ความสิ้นหวังเอาชนะอารมณ์ทั้งปวง ปณิธานแห่งการต่อสู้จึงไม่สั่นคลอน
หดเอว กำหมัดแน่น แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
โฉมสะคราญสะท้านแผ่นดินหลอมละลายเป็นพลังหมัด พลังหมัดพุ่งขึ้นพร้อมกับเสียง ‘ตู้ม’ ดังสนั่น พลังหมัดทะลวงผ่านเงามืด ร่างเทพกู่เกิดรอยแยก ผิวหนังและชั้นเนื้อฉีกขาด เลือดสดสีแดงเข้มสาดกระเซ็นดั่งเม็ดฝน
แต่เขายังคงอาศัยร่างกายอันทรงพลังและพละกำลังเหนือกว่าเทพยุทธ์ครึ่งก้าว เอาชนะสวี่ชีอัน
‘ตึง!’
แผ่นดินสั่นสะเทือน เกิดกลุ่มควันลอยฟุ้งขึ้นมา หลังจากระลอกคลื่นลมปราณแผ่กระจายทั่วสารทิศ พวกมันรวมตัวกันเป็นพายุทรายที่น่าสะพรึงกลัว
หลุมขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนเกาะเทพมาร ในก้นหลุมคือภูเขาเนื้อ
หลังจากกำราบสวี่ชีอัน เทพกู่ใช้วิธีเดียวกันกับเมื่อเหตุการณ์ไม่นานมานี้ สั่งให้ตู๋กู่กัดกร่อนเขา ซือกู่สมสู่เขา ฉิงกู่มอมเมาเขา ตั้งใจจะทำลายเทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่อ้างตนว่าเป็นอมตะทีละนิด
ฮวงรออยู่ในระยะไกลๆ รอโอกาสเคลื่อนไหว กลับไม่ขยับเข้ามาแย่งต่อสู้
ประการแรก เทพยุทธ์ครึ่งก้าวไม่อาจฆ่าได้ง่ายๆ ประการต่อมา เขาได้ ‘กลิ่นอาย’ ที่คุ้นเคย
แน่นอนว่า ร่างกายมหึมาของเทพกู่เริ่มกระตุก ภูเขาเนื้อลูกนี้บางทีก็ตึงเครียด บางทีก็ผ่อนคลาย เหมือนกำลังทะเลาะกับใครบางคนอยู่
เขาถูกยกขึ้นช้าๆ ร่างเงาที่โอนเอนอยู่ด้านล่าง คือสวี่ชีอันที่กำลังแบก ‘ภูเขา’
ผิวหนังของเขาโดนกัดกร่อนจนดวงตาทั้งสองข้างกลวงโบ๋ กระดูกทั้งหมดแตกหัก จื่อกู่จำนวนนับไม่ถ้วนฝังอยู่ในร่างกาย แข่งกันครอบครองร่างกายของเขา
แต่ทันทีที่เขาแบกภูเขาเนื้อ อาการบาดเจ็บทั้งหมดก็ฟื้นคืนมา จื่อกู่ตัวอวบยาวเจาะออกมาตามรูขุมขน ร่วงลงแห้งตายทีละตัว
พละกำลังของเขายิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ฮวงไม่แปลกใจเท่าไรนัก เขานึกถึงยุทธการหนีเคราะห์กรรมที่โค่นราชวงศ์เดิมของที่ราบภาคกลาง
ช่วงเวลานั้น สวี่ชีอันเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสอง อาศัยจิตวิญญาณจากต้นไม้อมตะและ ‘มรรควิถี’ ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในสงครามแต่ละครั้ง เพื่อซื้อเวลาให้ลั่วอวี้เหิงเลี่ยงมหาเคราะห์กรรม
จึงทำให้สถานการณ์กลับตาลปัตร
‘แก่นวิญญาณต้นไม้อมตะกับหยกสลายของเขาเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ…’ ฮวงค่อนแคะในใจ ปล่อยให้เขาทั้งหกเหนือศีรษะสร้างพายุหมุน พัฒนากลายเป็นหลุมดำ พุ่งเข้าหาเทพกู่และสวี่ชีอัน
“อย่าปล่อยให้เขามีโอกาสซ่อมแซมร่างกาย เขาจะยิ่งแกร่งขึ้น!”
สิ้นเสียง สวี่ชีอันยกขาเตะภูเขาทั้งลูกขึ้นกลางอากาศ ก่อนหายตัวไป
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่บนท้องฟ้าแล้ว
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม สวี่ชีอันกางแขนขายืดออก ความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นผ่านแขนขาทั้งสี่ ผิวหนังกลายเป็นสีแดงเลือดแปลกๆ เม็ดเลือดไหลซึมจากรูขุมขน สิ่งนี้เกิดจากการขยายตัวของกล้ามเนื้อทำให้เส้นเลือดฝอยแตกตัว
พลังของเขาเหนือกว่าเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ขึ้นสู่ระดับที่ประเมินไม่ได้
เพราะบนโลกไม่เคยมีเทพยุทธ์และจอมยุทธ์ที่มีพลังอย่างเขาในตอนนี้
สวี่ชีอันยื่นมือออกมากลางอากาศคว้าดาบไท่ผิง รวบรวมสมาธิ หลอมรวมพลังปราณทั้งหมด จุดตันเถียนกลายเป็น ‘หลุมดำ’ ดูดซับพลานุภาพทั้งหมดทั้งมวล
ต่อจากนั้น เขารีบใช้จังหวะที่เทพกู่กำลังสร้างมายา ง้างดาบไท่ผิงฟันออกไป
หยกสลาย!
สิ่งนี้ไม่ใช่แค่วิธีสังหารที่ทรงพลังที่สุดเท่านั้น แต่เป็นวิธีป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาด้วย
เพราะพลังที่เกิดจากการโจมตีใดๆ จะถูกหลุมดำดูดกลืน
ระหว่างฟ้าดิน แสงดาบสีทองเข้มกะพริบหายในพริบตา
ครู่ต่อมา หลุมดำยุบลง ฮวงในร่างมนุษย์แพะแปรสภาพเป็นร่างเดิม บาดแผลที่เกือบตัดเอวเขาขาดครึ่งท่อนปรากฏขึ้น กลิ่นเลือดพลันฟุ้งกระจายในอากาศ
เขาร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด
สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้า เอวของสวี่ชีอันแยกออก ฉีกกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังจากกัน ทันทีที่ได้รับการบำรุงจากแก่นจิตวิญญาณต้นไม้อมตะและการซ่อมแซมจากปราณโลหิตของเทพยุทธ์ครึ่งก้าว จึงฟื้นตัวในทันใด
สวี่ชีอันที่อยู่กลางอากาศหายตัวอีกครั้ง แล้วปรากฏตัวอยู่ด้านหลังฮวง
‘ฉึบ!’
ดาบไท่ผิงเสียบเข้ากลางหลัง จากนั้นก็หายไปทันที ครู่ต่อมา ร่างของฮวงก็แยกจากกัน กระดูกซี่โครงค่อยๆ หักทีละอัน
ฮวงกรีดร้องด้วยความเคียดแค้นและเจ็บปวด ตั้งแต่สิ้นสุดยุคเทพมาร ร่างกายที่แท้จริงของเขาก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน
ภาพตรงหน้ามืดลง สวี่ชีอันสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าการรับรู้ทั้งหก
เทพกู่โผทะยานจากพื้น พุ่งชนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวราวกับดาวหาง
สวี่ชีอันที่กำลังหลับตา กำมือแน่นง้างกำปั้นไปทางด้านหลัง อาศัยสัญชาตญาณในการหันกลับมาเหวี่ยงหมัด
กลางอากาศเกิดริ้วรอยที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า กำปั้นของสวี่ชีอันห่อหุ้มด้วยสายฟ้าสีดำ ซึ่งเป็นผลมาจากการแยกตัวของชั้นบรรยากาศ
ร่างเทพกู่ฉีกแยกจากกัน ชิ้นส่วนเลือดเนื้อหลุดลุ่ยกระจัดพลัดพราย พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…ชิ้นเนื้อร่วงตกลงบนพื้นเกาะเทพมาร ย้อมแผ่นดินเป็นสีเลือด
แล้วสวี่ชีอันก็โผบินออกไปด้วยแรงขับเคลื่อนอันน่าสะพรึง มันเกินขีดจำกัดมากพอจะทำให้จอมยุทธแหลกสลาย เศษกระดูกแตกกระจาย
เขาสูญเสียแขนขวา
ชิ้นเนื้อที่กระจุยกระจายบนพื้นงอกเส้นใยสีขาวคล้ายใยแมงมุม เกาะเกี่ยวแต่ละชิ้นจากชิ้นไกลๆ ดึงเข้าหากันก่อเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว
เทพกู่บรรพกาลมีร่างกายที่ทรงพลัง พลังชีวิตแข็งแกร่งแต่กำเนิด ถึงแม้จะไม่อยู่ยงคงกระพันอย่างเทพกู่และจอมยุทธ์ อาการบาดเจ็บเจียนตายก็ฆ่าเขาไม่ได้
ระดับสุดยอดทั้งสองร่วมมือกัน ยังยับยั้งเทพยุทธ์ครึ่งก้าวไม่ได้ มิหนำซ้ำยังต้องชดใช้มหาศาล
“สมแล้ว สมควรตาย…”
ฮวงตะโกนสาปส่ง
ครั้นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในใจเขามีเพียงความกังวลและขัดแค้น รวมถึงความกลัวที่ไม่อาจยอมรับ
ระดับสุดยอดทั้งสองที่โดนเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสกัดจนถึงตอนนี้ ไม่เพียงฆ่าอีกฝ่ายไม่สำเร็จ แต่พวกเขายังได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสอีกด้วย
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ พระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดในเวลานี้กำลังกลืนกินที่ราบลุ่มภาคกลางและครองอาณาบริเวณ
ช่วงท้องของเทพกู่ที่อยู่ระยะไกลๆ กระตุกเป็นจังหวะ รูกลางหลังพ่นกระแสลมคล้ายลมกระโชก แต่ละวินาทีต้องสูญเสียออกซิเจนปริมาณมหาศาล เฉกเช่นคนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก
การสึกกร่อนของเขาก็มหาศาลเช่นกัน เพราะกลิ่นอายลดฮวบลงอย่างรุนแรง
สิ่งนี้ทำให้เทพกู่แสนชาญฉลาดรู้สึกวิตกกังวล เขาไม่คาดคิดว่าเทพยุทธ์ครึ่งก้าวอย่างสวี่ชีอันจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
อีกด้านหนึ่ง กล้ามเนื้อที่เคยอวบอั๋นของสวี่ชีอันลีบลง ภายในทรวงอกโปร่งพองขึ้นมา ในที่สุดหัวใจก็ทนไม่ไหวและระเบิดกลายเป็นฝอยเลือด ตามด้วยรูม่านตาเริ่มมืดมัว
ขาทั้งสองข้างสั่นเทา ดูเหมือนยากจะยืน
ไม่ว่าจะเป็นแก่นวิญญาณของเทพดอกไม้ หรือศักยภาพของตน ล้วนถึงขีดจำกัด
ทันใดนั้น จากสภาวะสูงสุดก็ดำดิ่งสู่จุดต่ำสุด
ฮวงและเทพกู่ที่เห็นดังนั้น ก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
นัยน์ตาสีเหลืองอำพันของฮวงทอแววมาดร้าย ส่งเสียงตะโกนดั่งฟ้าคำราม
“นอกเหนือจากปรมาจารย์เต๋า เจ้าเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ รอเจ้าตายเสียก่อน ข้าจะกลืนเจ้าด้วยตัวข้าเอง”
เทพกู่กล่าวช้าๆ
“สมบูรณ์แบบ!”
เขาประเมินเทพยุทธ์ครึ่งก้าวครั้งสุดท้าย
บนโลกนี้ไม่มีพลังใดเกิดโดยเสกสรรปั้นเท็จ การปะทุใดๆ ย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย
หลังจากเอาชนะระดับสุดยอดทั้งสองท่านได้โดยพลังเทพยุทธ์ครึ่งก้าว สวี่ชีอันก็เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดาบสยบดินแดนบินมาตั้งตรงหน้าสวี่ชีอัน เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใช้ดาบประคองตัวยืนขึ้น
สวี่ชีอันค่อยๆ หันมองไประยะไกล ซึ่งเป็นทิศทางของแผ่นดินจิ่วโจว ในดวงตาอันมืดสลัว สะท้อนแสงสว่างที่ส่องกลับมา
เขาอ้าปากพะงาบๆ ราวกับต้องการพูดบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีถ้อยคำใด
จากตำแหน่งฆ้องเล็กๆ เดินมาถึงจุดนี้ทีละก้าว ซึ่งจุดที่ยืนอยู่นี้คือแรงขับเคลื่อนของโชคชะตาและทางที่ตนเลือก
และเพราะเป็นเลือกด้วยตนเอง จึงพูดอะไรไม่ได้
“อ่อก!”
เขาถอนสายตา กระอักเลือดใส่ฮวงและเทพกู่
ขณะนี้ ดูเหมือนเขาจะใช้พลังจนหมดสิ้นแล้ว
สวี่ชีอันค่อยๆ หลับตาลง สิ้นแรงล้มลงถึงแก่ความตาย
…
ยอดเขาเซียนซาน นิกายสวรรค์
ภายในวิหารเทพสวรรค์อันงดงามตระการตา เหล่าผู้อาวุโสยืนเรียงรายประกบสองด้าน เสียงเบาๆ ดังสะท้อนขึ้นมาจากตีนเขา
“เทพสวรรค์ ไอ้กร๊วกเอ๊ย ข้าจะจับแม่เจ้าทำเมีย…”
“ปล่อยวางอะไรไร้สาระ ไอ้แม่ย้อย…”
“คนดีๆ เขาไม่ทำกันหร๊อก ฝึกปล่อยวางอารมณ์กับผีแม่เจ้าสิ…”
“บัดนี้ข้าหลี่หลิงซู่ทรยศต่อนิกายสวรรค์ เหอะ เทพสวรรค์อย่างเจ้าจะทำอันใดข้าได้…”
“เจ้าโดนผนึกอยู่ไม่ใช่หรือไง หาเรื่องออกมาฆ่าข้าทิ้งซะสิ แม่งเอ๊ย…”
เสียงก่นด่ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งวันไม่มีพัก
ไม่ว่าบรรดาผู้อาวุโสจะอดทนอดกลั้นสักเพียงใด เส้นเลือดบนขมับก็เต้นกระตุก เพียงแค่องค์เทพรับสั่ง ก็พร้อมรีบรุดไปฟาดฟันจอมขบถผู้นั้นด้วยมีดพันเล่ม นิกายจะได้สะอาด
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงลังเลอยู่นาน ก่อนก้าวออกมาจากแถวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยอย่างน้นอบน้อม
“องค์เทพ ให้ศิษย์ลงไปขับไล่มารสำนักผู้นั้นเถิด”
ถึงแม้ว่าเทพสวรรค์จะละวางทางความรู้สึกแล้ว แต่ก็มิใช่พระอิฐพระปูน ถึงจะไม่โกรธ ก็ไม่ได้หมายความว่าฆ่าไม่ลง
ในทางกลับกัน หากตัดสินใจฆ่าขึ้นมาต้องเด็ดขาด ไม่มีทางใช้อารมณ์ความรู้สึกนำทาง
ในเวลานี้ เทพสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิราวกับงีบหลับ ในที่สุดก็ปริปากพูด
สุรเสียงดังก้องกังวานในวิหาร
“จากนี้ จงลบตัวตนของเทพบุตรหลี่หลิงซู่”
ผู้อาวุโสในวิหารโค้งคำนับ
“จากนี้ไป เราจะยกเลิกการตัดอารมณ์ความรู้สึก ลูกศิษย์สำนักเรา สามารถปฏิบัติตามหลักเต๋าดั้งเดิม”
ผู้อาวุโสในวิหารค่อยๆ เงยหน้า ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยตามปกติเดิม เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงและเทพธิดาปิงอี๋ทั้งสองที่บรรลุการตัดอารมณ์ความรู้สึกมานานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
คำบัญชาองค์เทพครั้งนี้ได้สั่นสะเทือนรากฐานนิกายสวรรค์
“นับจากนี้ เทพธิดาปิงอี๋จะเป็นเทพสวรรค์”
เกิดเสียงฮือฮา บรรดาผู้อาวุโสต่างตกตะลึง ใบหน้างดงามของเทพธิดาปิงอี๋ ยังแสดงความประหลาดใจ
นางมองสบตากับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิง ราวกับรู้ว่าองค์เทพกำลังทำสิ่งใด
วินาทีต่อมา เทพสวรรค์ตอบกลับพวกเขาด้วยการแสดงให้เห็นจริง
เทพสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว เกิดเปลวไฟจุดติดใต้ร่าง เปลวเพลิงค่อยๆ ลุกโชนโหมกระหน่ำ โดยใช้ร่างกายองค์เทพเป็นเชื้อเพลิง
เปลวเพลิงลุกลามแผดเผาร่างกายครึ่งท่อนของเทพสวรรค์อย่างรวดเร็ว จนช่วงอกลงไปว่างเปล่า
และยังคงลุกลามต่อเนื่อง จากหน้าท้องขึ้นสู่หน้าอก จนกระทั่งกลืนกินผู้แข็งแกร่งอันดับสูงสุดของนิกายสวรรค์จนหมดสิ้น
เหนือแท่นดอกบัว กลับมาว่างเปล่า
เทพสวรรค์เปลี่ยนวิถีแล้ว!
องค์เทพหลอมรวมกับวิถีสวรรค์ตอนนี้จริงหรือ!
เขาเพิ่งผ่านศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ จะเปลี่ยนวิถีได้อย่างไร!
…
นอกโพ้นทะเล
เหนือสวรรค์ทั้งเก้า ประตูแสงสว่างค่อยๆ ควบรวมกัน มันเหมือนเป็นของจริง แต่ก็ดูเหมือนภาพลวงหลอกตาเท่านั้น
ประตูสวรรค์ปิดแล้ว!
ทันใดนั้นดาบไท่ผิงที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นก็สั่นระริกส่งเสียงดัง “หวึ่งๆ” มันตื่นขึ้นแล้ว
‘ฟิ้ว!’
มันโผทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
ดาบไท่ผิงพุ่งพรวดพราด ชนประตูสวรรค์แล้วหายเข้าไปในประตูสวรรค์ที่กำลังเปลี่ยนรูป
ครู่ต่อมา ประตูสวรรค์พลันเปิดออก ดาบไท่ผิงกำลังเคาะประตูสวรรค์
ลำแสงสุกใสส่องลงมาจากประตู ไอปราณของมันทั้งอ่อนโยน ทั้งทรงพลัง ทั้งครอบคลุมและขจัดทุกสิ่ง ท่อนลำแสงห้อมล้อมสวี่ชีอันที่ยืนอยู่บนดาบ
ท่ามกลางลำแสง ร่างของท่านโหราจารย์ค่อยๆ ปรากฏ
………………………………………………………….