ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 911 วิถีแห่งฟ้า
บทที่ 911 วิถีแห่งฟ้า
……….
ท่านโหราจารย์รึ!
ฮวงกับเทพกู่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสะท้อนร่างโหราจารย์ที่กำลังลงมาจากประตูสวรรค์ ดวงตาทั้งสีทองอำพันและสีดำทมิฬสองคู่ฉายแววตกตะลึง
ประตูสวรรค์เปิด โหราจารย์เดิมทีต้องหวนสู่วิถีแห่งฟ้ากำลังกลับมาเยือนโลกมนุษย์…ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกินความคาดหมายของระดับสุดยอดทั้งสอง
ชั่วพริบตา ทั้งเทพกู่และฮวงเกิดสติแตก พวกเขารีบวิ่งเข้าหาลำแสงสว่างด้วยความบ้าคลั่ง พายุหมุนหกแฉกเหนือหัวฮวงกำลังตื่นตัว ควบรวมกันกลายเป็นหลุมดำ
ไอควันสีแดงเลือดนกพวยพุ่งออกมาจากหลังเทพกู่ ก่อตัวเป็นเมฆสีแดงหนาทึบบนท้องฟ้า
หลุมดำพุ่งเข้าหาลำแสงอย่างอุกอาจ พยายามดูดกลืนสวี่ชีอันที่สิ้นใจและโหราจารย์ที่ลงมายังโลกอีกครั้ง
แต่ทว่าลมพายุที่โหมกระหน่ำ กลับไม่สามารถสั่นคลอนลำแสงที่ส่องลงมาจากประตูสวรรค์ได้
แม้นมันจะดูดกลืนและบดขยี้ทุกสิ่งจนราบคาบ
เทพกู่บรรพกาลไร้เทียมทานผู้นี้ ผู้มีพรสวรรค์ที่ทำให้ศัตรูในระดับเดียวกันหวาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าลำแสงนี้กลับไร้ความหมาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เทพกู่จึงเลิกโจมตีเสาลำแสง เพราะเขารู้ว่า ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจเอาชนะฮวงได้
หากทำลายลำแสงได้ เช่นนั้นต้องรีบข้ามผ่านประตูสวรรค์แทน
ด้วยเหตุนี้เทพกู่จึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ยิ่งบินสูงความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้น ชั้นเนื้อค่อยๆ สว่างด้วยสีสันเจ็ดสี พวกมันเติมเต็มกันและกันได้อย่างกลมกลืน จนกลายเป็นสีเดียวกันในท้ายที่สุด
เทพกู่เจาะทะลุประตูสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ใช่แล้ว เขาทะลวงผ่านประตูสวรรค์ได้แล้ว
ดูเหมือนว่าประตูสวรรค์จะอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่แสดงสิ่งใดนอกจากภาพลวงตา
บุปผาในมายา จันทราในวารี
“โฮก…”
เทพกู่ร้องคำรามด้วยความเดือดดาลไม่พอใจ
เขาข้ามผ่านประตูสวรรค์ไม่ได้ นี่ไม่ใช่สมัยบรรพกาล เทพมารไม่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์อีกต่อไป ประตูสวรรค์จึงไม่ยินยอมให้เทพมารผ่าน
หลังจากนานแสนนานจวบจนบัดนี้ คิดจะผ่านประตูสวรรค์ ต้องครองชะตาจิ่วโจว
“ตื่นได้แล้ว!”
ท่ามกลางท่อนลำแสง โหราจารย์ตบขมับเรียกสติสวี่ชีอัน
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวที่แต่เดิมสิ้นแรงจนวางวาย สะดุ้งตื่นลืมตาในทันใด ราวกับตกอยู่ในห้วงความฝันอันยาวนาน แต่จริงๆ แล้วเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
“ท่านโหราจารย์?!”
ใช้เวลาไม่นาน เขาก็เห็นชายชราผมขาว เคราขาว ในชุดขาวได้อย่างชัดเจน
ความสุขอันยิ่งใหญ่ระเบิดอยู่กลางใจสวี่ชีอัน “ท่านยังไม่ตาย ไม่สิ ท่านไม่ได้กลับนิกายสวรรค์แล้วหรือ?”
ระหว่างพูด เขาก็กวาดตามองหลุมดำที่หมุนเคว้งอยู่ใกล้ๆ รวมถึงเทพกู่ที่กำลังคำรามอยู่บนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ตรงหน้า แต่กลับเหมือนอยู่กันคนละโลก
ท่านโหราจารย์ระบายยิ้ม
“เทพสวรรค์เปลี่ยนวิถีแล้ว!”
เทพสวรรค์เปลี่ยนวิถี…สวี่ชีอันสลัดความปีติยินดีที่เอ่อล้นบนใบหน้าและดื่มด่ำกับประโยคนั้น
ท่านโหราจารย์ไม่รอช้า กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“วีถีแห่งฟ้านั้นไร้ความปรานี เป็นกฎเกณฑ์ของสวรรค์เท่านั้น เดิมทีเป็นสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย แต่หลายปีมานี้ มนุษย์มหัศจรรย์ผู้หนึ่งนำ ‘ความเป็นมนุษย์’ มาสู่วิถีแห่งฟ้า”
เมื่อความจริงกระจ่าง ความสับสนและสงสัยทั้งหมดได้รับการไขกระจ่าง สวี่ชีอันจึงเอ่ย
“เจ้าคือปรมาจารย์เต๋าที่ผสานวิถีแห่งฟ้าเข้าด้วยกัน จนตระหนักรู้ เช่นนั้นเจ้าเป็นเทพสวรรค์หรือปรมาจารย์เต๋ากันแน่?”
โหราจารย์ไม่ได้ตอบตามตรง แต่กล่าวต่อว่า
“การลบล้างความเป็นมนุษย์นั้นเบาบางมาก ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาสู่การตระหนักรู้ เทพสวรรค์หลายต่อหลายรุ่นได้ผสมผสานวิถีแห่งฟ้า ขัดเกลาเป็นมนุษย์ให้แข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย ในที่สุด เขาจะตรัสรู้เมื่อถึงจุดหนึ่ง
“เจตจำนงของวิถีแห่งฟ้า นั่นคือข้า!”
สวี่ชีอันเข้าใจในทันที
“เช่นนั้น หลังจากองค์เทพเปลี่ยนวิถี ไยจึงปลุกเจ้าขึ้นมาอีก?
“อนิจจา แม้แต่องค์เทพก็ยังปรับเข้าหาวิถีสวรรค์”
ท่านโหราจารย์พยักหน้าเล็กน้อย
“ทางเลือกขององค์เทพ คือการตัดอารมณ์ความรู้สึกอย่างแท้จริง!”
เขาพูดต่อ “ช่วงที่ข้าได้ตระหนักรู้จนนับว่าเป็น ‘มนุษย์’ ผู้หนึ่ง มันเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งพันหกร้อยกว่าปีที่แล้ว ในเวลานั้นราชวงศ์ต้าโจวเพิ่งได้ขึ้นสถาปนาได้ไม่นาน ทุกสิ่งทุกอย่างรอคอยการฟื้นฟู
“ในเวลานั้น ปรมาจารย์เต๋าได้คิดค้นหาวิธีเลื่อนขั้นสู่ลัทธิสวรรค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
รวบรวมโชคชะตา…สวี่ชีอันลอบตอบคำถามในใจ เขาชายตามองฮวงและเทพกู่ที่ไร้ความสามารถและกำลังโกรธแค้น แล้วเอ่ยถาม
“ก่อนที่ท่านจะตระหนักรู้ พระพุทธเจ้ากับเทพกู่คงอยู่มาก่อนแล้ว เหตุใดไม่ให้พวกเขาทั้งสองแทนที่เจ้า?”
ท่านโหราจารย์ส่ายหน้า
“เพราะโชคชะตามีไม่มากพอ กว่าต้าโจวจะเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูก็หลังจากที่ข้ารู้แจ้งแล้วสี่ร้อยปี ดังนั้นโชคชะตาของจิ่วโจวจึงถือเป็นจุดสูงสุดของการสร้างโลก
“เพื่อป้องกันการปรากฏตัวผู้เฝ้าประตู เทพพ่อมดและพระพุทธเจ้าจึงต้องไล่ล่าจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ทำลายต้นกำเนิดเทพยุทธ์อยู่ตลอด”
แล้วเหตุใดจึงไม่มีสงครามชิงวิถีแห่งฟ้าตั้งแต่ตอนนั้น…วินาทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวสวี่ชีอัน เขาก็คิดคำตอบได้ทันที
ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดแล้ว
สี่ร้อยปีหลังจากท่านโหราจารย์จุติ ถือเป็นเวลากว่าหนึ่งพันสองร้อยกว่าปี นั่นคือยุคที่ปราชญ์ขงจื๊อถือกำเนิดและดำรงชีวิตอยู่
ดูเหมือนท่านโหราจารย์จะอ่านใจสวี่ชีอันออก กล่าวว่า
“ไม่ผิด ปราชญ์ขงจื๊อคือคนแห่งโชคชะตามาเกิด เป็นคนที่ข้าเลือกสรร เขาสร้างลัทธิขงจื๊อของตน ภายในหนึ่งร้อยปีได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาไร้พ่าย เอาชนะจอมยุทธ์ระดับสุดยอดมากมาย ถ่วงเวลามหาเคราะห์มาจวบจนทุกวันนี้ แต่เมื่อไฟลนน้ำมันจนเดือด ความรุ่งเรืองถึงคราวเสื่อมโทรม อายุสั้นคือราคาที่ต้องจ่าย
“กฎของฟ้าดินเป็นเช่นนี้ ข้าไม่มีทางเลือก แม้จะเป็นวิถีแห่งฟ้า ข้าก็ไม่อาจล้ำเส้นตนเองได้
“ปราชญ์ขงจื๊อปิดผนึกระดับสุดยอดทั้งหมด และจากไปด้วยโรคชรา ต่อสู้เพื่อข้ามากว่าหนึ่งพันสองร้อยปี ตั้งแต่นั้นมาข้าก็วางแผนว่าจะฝึกคนเฝ้าประตูอย่างไรดี
“แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงความคิด ถึงข้าจะรู้แจ้ง แต่ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทีละขั้นตอน การแทรกแซงในโลกมนุษย์ยังมีข้อจำกัด ข้าต้องหาทางลงมายังโลก เพื่อเตรียมการด้วยตนเอง แต่จากสวรรค์จะลงมาโลกมนุษย์ได้อย่างไร? กฎเกณฑ์มีอยู่ทุกที่ แต่ไม่มีอยู่จริง”
ประโยคนี้ค่อนข้างไม่รื่นหู สวี่ชีอันคิดอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจ ความหมายก็คือ ความผันเปลี่ยนของฤดูกาลคือกฎของฟ้าดิน ผู้ใดจะมาเปลี่ยนแปลงมิได้ แต่ ‘วสันต์ คิมหันต์ สารท เหมันต์’ ไม่สามารถกำหนดได้ว่าตามต้องการว่าผู้ใดจะมาก่อน ผู้ใดจะมาหลัง
ดังนั้นหากพูดตามความรู้สึก กฎเกณฑ์ไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่ท่านโหราจารย์ต้องการคือ พลังที่มีอิสระในระดับหนึ่ง แทนที่จะทำตามทีละขั้นตอน เพราะไม่มีวิธีใดแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ได้
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจสวี่ชีอันก็สั่นไหว
“ด้วยเหตุนี้ ระบบโหรจึงถือกำเนิด?”
ท่านโหราจารย์พยักหน้าช้าๆ “รุ่นแรกคือรุ่นที่ข้าสนับสนุนเพียงลำพัง เขาเหมือนกับปราชญ์ขงจื๊อ เป็นผู้มีดวงอันยิ่งใหญ่ ข้าแอบมอบโชคและการผจญภัยให้แก่เขาตลอดเวลา นำทางทีละขั้น ช่วยเขาสร้างระบบโหร
“ระบบโหรเป็นระบบที่ข้าสร้างเพื่อตัวเอง มันจะทำให้ความสามารถของข้าไปถึงขีดสุด ช่วยให้ข้าใช้ร่างมนุษย์สอดแนมความลับของสวรรค์ หลอมอาวุธวิเศษ ขัดเกลาโชคชะตา ควบคุมชะตากรรมของราชวงศ์
“การควบคุมราชวงศ์ที่ราบลุ่มภาคกลางนั้น เท่ากับการควบคุมทรัพยากรเพื่อบ่มเพาะเทพยุทธ์”
“ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้นตอนที่ท่านยังเป็นขั้นสอง ได้ให้คำมั่นสัญญาต่อโค่วหยางโจวว่า จะช่วยให้เขาเลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่งในอนาคต เพราะท่านคือร่างอวตารของวิถีแห่งฟ้า การสอนแนมความลับสวรรค์จึงไม่มีผลกับท่าน” สวี่ชีอันพึมพำ
“จากนั้นท่านก็เลยฆ่าลา สังหารศิษย์รุ่นแรกอย่างไร้ความปรานี”
ท่านโหราจารย์มองเขาอย่างไร้ความรู้สึก
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อใดว่าข้ามีร่างมนุษย์เป็นภาพลวง”
วิถีแห่งฟ้าไร้ปรานี ความรู้สึกที่ใหญ่ที่สุด…สวี่ชีอันสูดลมหายใจลึก “ข้าจะเลื่อนขั้นสู่เทพยุทธ์ได้อย่างไร”
เขาไม่ต้องการเทียบตนกับท่านโหราจารย์มั่วซั่ว แม้ว่าตาเฒ่าเหรียญปากผีผู้นี้จะพูดคุยเป็นกันเองกับเขาในขณะนี้ แต่สถานการณ์ในจิ่วโจวก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมอยู่แน่นอน
แม้จิ่วโจวไม่อันตราย แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมจะไม่เป็นอันตราย
ท่านโหราจารย์ไม่มีจิตผูกพัน หากแต่สวี่ชีอันนั้นผูกพันมากเกินไป เขาไม่อยากเห็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของจากลา
“ดาบไท่ผิงคือใบเบิกทางของเจ้าผู้เฝ้าประตู มันจะเปิดประตูสวรรค์ให้แก่เจ้า แต่เจ้าต้องกลืนแก่นวิญญาณของข้าเท่านั้น เพื่อให้ลัทธิสวรรค์ยอมรับ จากนั้นก็จะกลายเป็นเทพยุทธ์ผู้ที่ไม่มีใครทัดเทียมได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกาล”
ผู้เฝ้าประตูที่สุดยอดที่สุดด้วย…สวี่ชีอันกล่าวเสริมในใจ พลางเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“แล้วท่านล่ะ?”
ท่านโหราจารย์หัวเราะ
“ความเป็นมนุษย์นี้จะหายไปตลอดกาล”
ในดวงตาเขาไม่มีแม้แต่ความคะนึงหาและความไม่ยินยอม กล่าวเสียงเรียบ
“วิถีสวรรค์ไม่ควรเกิดมาคู่กับเจตจำนง”
จากนี้จะไม่มีท่านโหราจารย์แล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจ
“เริ่มเลย!”
สิ้นเสียง ร่างท่านโหราจารย์ก็แตกสลายกลายเป็นแสงสว่าง ไหลแทรกซึมสู่ร่างสวี่ชีอัน
เสียงสุดท้ายของท่านโหราจารย์ดังก้องข้างหู
“ช่วยคุ้มครองโลกใบนี้แทนข้าที ข้าเลือกเจ้าตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นผู้มาเยือนจากอีกโลกหนึ่ง และไม่ใช่เพราะเจ้าต้องแบกรับชะตาบ้านเมืองไว้ครึ่งหนึ่ง”
เพียงแต่ชายหนุ่มผู้นั้นบันทึกไว้บนแท่นศิลา
ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพ…นิจนิรันดร!
………………………………………………….
……….