ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 913 หลังภัยพิบัติ [ตอนพิเศษ 1]
บทที่ 913 หลังภัยพิบัติ [ตอนพิเศษ 1]
……….
เทพพ่อมด หนึ่งในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่ามนุษย์
กำเนิดในยุคโบราณของเทพปีศาจ ดำรงชีวิตอยู่กับมนุษย์ ในช่วงที่ปีศาจต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ เทพพ่อมดทำลายตัวเองจนไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่เลย
เมื่อเห็นร่างและจิตเดิมของเทพพ่อมดสลายตัวไปและกลับคืนสู่ความว่างเปล่า สวี่ชีอันก็ถอนหายใจเบาๆ ระดับสุดยอดท่านสุดท้ายได้ล่มสลายลง บัดนี้ภัยพับัติครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไปอย่างแท้จริงแล้ว
“เยี่ยมมาก กำจัดเทพพ่อมดและยุติภัยพิบัติครั้งใหญ่ จะไม่มีใครสามารถขัดขวางการฟังเพลงของพวกเราที่หอนางโลมได้อีกต่อไป”
ดาบไท่ผิงถ่ายทอดความคิดอันเปี่ยมสุขสู่เจ้าของ
ข้ามีอาวุธเจ้าชะตา อาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้อย่างไร…สวี่ชีอันโยนดาบไท่ผิงทิ้งไป แล้วหันไปมองทางเมืองจิ้งซานที่อยู่ไม่ไกล
เมืองสูงเด่นเป็นสง่าตั้งตระหง่านอยู่บนที่ราบอย่างโดดเดี่ยว แต่ในเมืองมิได้ว่างเปล่าเช่นนั้น มีกลิ่นอายของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน
เขาก้าวออกมาหนึ่งก้าว ทันใดนั้นก็มาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโบราณทันที
เสาหนามากกว่าสิบต้นรองรับหลังคาโดมอันงดงาม พระราชวังสูงตระหง่าน รูปแบบของมันถูกสร้างขึ้นตามยักษ์ที่มีความสูงกว่าสิบเมตร
หลังจากรู้ว่าเทพพ่อมดเป็นเผ่ามนุษย์ที่เกิดในสมัยโบราณ เมื่อเห็นพระราชวังที่ใหญ่โตโอ่อ่าหลังนี้จึงไม่รู้สึกแปลกใจนัก
เมื่อคิดย้อนกลับไปในช่วงสมัยโบราณ พระราชวังที่เหล่าเทพปีศาจอาศัยอยู่ก็มีขนาดนี้เช่นกัน
ที่ปลายพรมแดงมีบัลลังก์สูง ซ่าหลุนอากู่ที่สวมเสื้อคลุมพ่อมดยืนอยู่ที่บัลลังก์ ที่ด้านล่างบัลลังก์เป็นเหล่าพ่อมดหลายพันคนที่สวมเสื้อคลุมแบบเดียวกัน
พวกเขาก้มศีรษะนั่งขัดสมาธิและสวดคำอธิษฐาน
“เทพพ่อมดฆ่าตัวตายแล้ว”
ตอนที่สวี่ชีอันกล่าว เขายังอยู่ที่ทางเข้าตำหนักใหญ่ แต่หลังจากกล่าวประโยคนี้แล้ว ผู้ที่มีความกล้าหาญและยิ่งใหญ่นี้ก็นั่งอยู่บนบัลลังก์เทพพ่อมดเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พ่อมดหลายพันคนที่อยู่ด้านล่างก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน ไม่มีความโกลาหลแต่อย่างใด มีเพียงความเงียบงันราวกับยอมรับชะตากรรมแล้ว
ในฐานะพ่อมด พวกเขาย่อมสัมผัสได้ถึงการสูญสิ้นของเทพพ่อมด และรู้ว่าเทพพ่อมดถูกเทพพ่อมดคนใหม่นี้บีบคั้นจนตาย
มีพ่อมดจำนวนไม่น้อยที่เก็บงำความขุ่นเคืองและความเกลียดชังอยู่ในใจ นี่เป็นความรู้สึกที่เหมือนกันในตอนนี้ของพ่อมดส่วนใหญ่
เพียงแต่ไม่มีพ่อมดคนใดเกิดความคิดที่จะแก้แเค้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพยุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์
มดตัวเล็กจะแก้แค้นเทพเจ้าได้อย่างไร?
ซ่าหลุนอากู่ซึ่งมีเคราสีขาวหนาปกคลุมใบหน้าเกือบครึ่งหนึ่ง หยิบสิ่งของสองชิ้นออกมาจากเสื้อคลุมยาว ก่อนจะก้มโค้งเพื่อส่งมอบมันพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “นี่เป็นของที่เทพพ่อมดทิ้งไว้ก่อนฆ่าตัวตาย บอกว่าด้วยของสิ่งนี้ จะทำให้ฆ้องเงินสวี่ไว้ชีวิตข้า”
สิ่งของทั้งสองชิ้นนั้นคือดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อ
หลังจากจ้าวโส่วสละชีพ ของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของเทพพ่อมด เทพพ่อมดไม่ได้ทำลายพวกมัน แต่กลับเก็บรักษาไว้เรื่อยมา
อย่างไรก็ตาม ของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้ก็เสื่อมโทรมไปมาก ไม่มีร่องรอยแห่งจิตวิญญาณอันซื่อตรงหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
โดยพื้นฐาน มันจวนจะใช้การไม่ได้แล้ว หากไม่ได้ทำนุบำรุงด้วยจิตวิญญาณอันซื่อตรงยิ่งใหญ่หลายร้อยปี ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง
สวี่ชีอันโบกมือ เก็บดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขากวาดสายตามองพ่อมดที่อยู่รอบๆ ภายใต้ความมืดมิดในห้องโถง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสง่างามและสงบว่า “ข้าอนุญาตให้ถ่ายทอดระบบพ่อมดต่อไปได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักเทพพ่อมดเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักพ่อมด อยู่ภายใต้เขตอำนาจของต้าฟ่ง ทุกสิ่งที่ผ่านมาในอดีตก็ให้แล้วกันไป”
เขาหันกลับไปมองซ่าหลุนอากู่ น่าหลันเทียนลู่เจ้าแห่งวัสสาน ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณ อูต๋าเป๋าถ่า และอีเอ๋อร์ปู้ พลางกล่าวว่า “เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ตามข้ากลับไปเมืองหลวงและจงใช้เวลาอยู่ในคุกใต้ดินของสำนักโหราจารย์ห้าร้อยปี หลังจากห้าร้อยปี พวกเจ้าทั้งหลายถึงจะเป็นอิสระ”
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ทั้งสี่อย่างเช่นซ่าหลุนอากู่ต่างก็โค้งคำนับเพื่อรับการลงโทษจากเทพยุทธ์
สวี่ชีอันหายตัวไปในตำหนักทันที
…
หมายเลขสาม ‘เทพพ่อมดฆ่าตัวตาย ภัยพิบัติผ่านไปแล้ว’
หลังจากออกจากตำหนักเทพพ่อมดแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาบไท่ผิงที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงและส่งสารไปพลาง
‘ชื่อของข้าจะถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ในอนาคตหรือไม่ ดาบไท่ผิงต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเพื่อสังหารเทพกู่บรรพกาลและพระพุทธเจ้า’…ดาบไท่ผิงที่อยู่ภายใต้บั้นท้ายถ่ายทอดความเห็น
“ใช่สิ ต่อไปเจ้าก็จะเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า” สวี่ชีอันตบด้ามดาบ
‘รีบกลับเมืองหลวงเถอะ กลับเมืองหลวงไปฟังเพลงที่หอคณิกา’…ดาบไท่ผิงกล่าวความเห็น
“เจ้าเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า ต้องมีจิตสำนึกของอาวุธเทพ กระทำเรื่องเสื่อมทรามเช่นนี้ให้น้อยลงหน่อย” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงจัง
‘เช่นนั้นข้าต้องการดาบผู้หญิงสักเล่ม ข้าอยากบำเพ็ญคู่กับนาง’…ดาบไท่ผิงแสดงความปรารถนาที่จะหลับนอนกับ ‘ผู้หญิง’
? สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “นี่เจ้านอกลู่นอกทางตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนทำให้เจ้าหลงผิด?”
สวี่ชีอันย่อมไม่สามารถยอมรับอาวุธติดตามเจ้าของประเภทนี้แน่นอน
ด่านอวี้หยาง ฮว๋ายชิ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองที่รกร้างว่างเปล่า จ้องมองข้อความที่ปรากฏอยู่บนกระจกหยกบานเล็กอย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน แพขนตางอนของนางสั่นไหวเล็กน้อย ร่างบางเซไปพิงกับกำแพงเชิงเทิน
บุคลิกมั่นคงหนักแน่นเฉกเช่นนาง ในเวลานี้ก็ยังมีความรู้สึกอ่อนล้าหลังจากผ่านภัยพิบัติอันยากลำบาก ราวกับท้องฟ้ากลับแจ่มใสหลังพายุโหมกระหน่ำ โลกหวนคืนสู่ความสดใสอีกครั้ง
ความอ่อนล้าเช่นนี้ก่อเกิดมาจากจิตวิญญาณ
เจี้ยนโจว ภายใต้การจัดการของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และฝ่ายขุนนางท้องถิ่น ทั้งคหบดีและประชาชนทั่วไปต่างก็เริ่มโยกย้ายไปทางตะวันออก บนถนนสายหลักของเมืองเจี้ยนโจวเต็มไปด้วยประชาชนที่แบกหามสัมภาระไปกันทั้งครอบครัว ฝูงชนค่อยๆ ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฝูงมดที่ออกหาอาหาร
ตระกูลขุนนางชั้นสูงและพ่อค้า บ้างก็โดยสารรถม้า บ้างก็ขี่ม้านำอยู่ที่ด้านหน้าฝูงชน หากกองทัพไม่ได้จำกัดความเร็วของพวกเขา พวกเขาก็คงจะเป็นเหมือนหมาป่าที่หนีพ้นจากการล่าแล้ววิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้นานแล้ว
ที่ข้างถนนสายหลักทั้งสองข้าง มีทหารม้าของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจว ชาวยุทธภพ และขุนนางฝ่ายราชการแห่งเจี้ยนโจว ยังมีทหารอารักขาของทั้งสามรัฐ อย่าง เซียงโจว จิงโจวและอวี้โจว ซึ่งถูกแบ่งสรรให้อยู่ทั้งสองฝั่งของถนนสายหลักเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของกลุ่มลี้ภัย
เฉาชิงหยางที่เข้าสู่ขอบเขตจอมยุทธ์ขั้นสามแล้วยืนเป็นสง่าอยู่บนก้อนเมฆ คอยมองลงมาเฝ้าดูสถานการณ์โดยรวมของเจี้ยนโจว
“ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษที่อยู่แดนประจิมเป็นอย่างไรบ้าง”
ที่ข้างถนนสายหลัก ฟู่จิงเหมินที่นั่งอยู่บนหลังม้าอดที่จะหันมาพูดกับหยางชุยเสวี่ยซึ่งขี่ม้าอยู่ข้างๆ ไม่ได้
ถึงกระนั้นก็ตาม แต่สีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
จอมยุทธ์ขั้นสอง แม้จะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งแล้วยังมีแรงโกรธก็ตาม
แต่ขั้นหนึ่งของทุกระบบหลักล้วนสามารถฆ่าจอมยุทธ์ขั้นสองได้อย่างง่ายดาย ยกเว้นจอมยุทธ์ขั้นสูงในระบบเดียวกันและจอมยุทธ์ภิกษุในขอบเขตใกล้ๆ กัน
แต่นี่เป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ สถานการณ์ปัจจุบันคือ ขั้นสามมีมากมายพอๆ กับสุนัข ขั้นหนึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เทพยุทธ์ครึ่งก้าวรบนำหน้า ระดับสุดยอดลงสนามจัดการด้วยตัวเอง
จ้าวโส่วปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสองที่เพิ่งเลื่อนขั้นก็สิ้นชีพแล้ว บรรพบุรุษก็เป็นจอมยุทธ์ที่ต้องบุกตะลุยโจมตีข้าศึก จะมีชีวิตรอดหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า
เวลานี้ เฉียวเวิงที่อยู่ด้านข้างมองไปที่ฝูงชนจำนวนมากพลางถอนหายใจ “ภัยพิบัติยังไม่สงบ พวกเขาจะหนีไปไหนได้? เถ้าแก่ทุ่มเททั้งกายและใจในการบริหารสมาคมการค้าเจี้ยนโจว หาเงินมาได้มากมายเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด?”
เจ้าลัทธิและหัวหน้าหลายคนที่อยู่รอบๆ เงียบไป
ก่อนที่โค่วหยางโจวจะไป เขาได้แจ้งให้พวกเขาทราบถึงความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติดังกล่าว
หากเป็นคนอื่นพูดว่า จิ่วโจวกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ระดับสุดยอดเป็นตัวแทนสวรรค์ ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าจะถูกกวาดล้าง
เช่นนั้นเหล่าหัวหน้าและเจ้าลัทธิแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะต้องมอบเงินเป็นรางวัลให้อย่างแน่นอน ชื่นชมว่าพูดได้ดี ครั้งต่อไปให้มาอีก
แต่คำพูดนี้เป็นคำพูดของบรรพบุรุษ ความหมายจึงแตกต่างออกไป
เมื่อรวมกับการกระทำของเทพยุทธ์ครึ่งก้าวสองท่านที่ขับไล่พระพุทธเจ้าที่ชายแดนเหลยโจวเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจึงยากที่จะเชื่อ
ตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป ถึงแม้พวกเขาจะมีฐานะเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ แต่ก็ไม่มีความตื่นตระหนกหรือสิ้นหวังปรากฏให้เห็นภายนอกแม้แต่น้อย แต่กลับแสดงความสามารถในการดำเนินการที่แข็งแกร่งและทัศนคติที่สงบ
แต่ส่วนลึกในใจ ทั้งความสิ้นหวังเกี่ยวกับอนาคต ทั้งความหวาดกลัวภัยพิบัติ ความจริงมีไม่น้อยเลยสักนิด
“สิ่งของเงินทองที่ไม่ได้นำมาตอนเกิดและไม่สามารถเอาไปได้ยามตาย มีอะไรให้น่าเสียดายกัน” ฟู่จิงเหมินตำหนิสุ่มสี่สุ่มห้า
“ภรรยาของข้าน้อยกำลังตั้งครรภ์”
เขาถ่มน้ำลายด้วยสีหน้าดุร้าย ทันใดนั้นก็กล่าวกระซิบอย่างหมดสภาพ
“ช่างเถอะ ไอ้หมาลูกแหง่ใต้หล้า ไม่มาก็ช่างเถอะ”
ทันใดนั้นเอง เซียวเยว่หนูถอนสายตากลับและมองทุกคนที่อยู่รอบๆ “พี่ฉู่เคยบอกว่า หากฆ้องเงินสวี่กลับมาจากโพ้นทะเล ทุกอย่างก็จะคลี่คลายลง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ ก็มองไปยังฉู่หยวนเจิ่นที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่บินกลางอากาศ
‘ทุกอย่างจะคลี่คลายลง’…ฉู่หยวนเจิ่นทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น นับเป็นโชคดีอย่างที่สุดสำหรับสวี่หนิงเยี่ยนที่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีของระดับสุดยอดทั้งสองท่านได้
‘อยากช่วยท่านโหราจารย์ จะง่ายอย่างที่คิดรึ?’
เขากำลังดิ้นรนอยู่ที่โพ้นทะเล เหล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์กำลังดิ้นรนอยู่ที่แดนประจิม ฮว๋ายชิ่งจับตามองเทพพ่อมดอยู่ที่ด่านอวี้หยาง ไม่ใช่การดิ้นรนอย่างหนึ่งหรอกรึ
หลังจากผ่านการต่อสู้ดิ้นรน จิ่วโจวจะพบกับบทสรุปเช่นไร?
เขาไม่อยากคิดอีกต่อไปแล้ว
เวลานี้เขาก็รู้สึกถึงอาการใจสั่นที่คุ้นเคย หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาและจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ
เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ทันที จากนั้นชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็หล่นลงพื้นดัง ‘ตุบ’
เมื่อฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ สังเกตเห็นหนังสือปฐพีที่หล่นลงมา หัวใจก็สั่นไหวทันที เขาบุกทะลวงสายลมไปยังข้างกายฉู่หยวนเจิ่นแล้วกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า
“มีข่าวอะไรรึ?”
หลังจากสิ้นคำพูด พวกเขาก็ต้องตกตะลึงตัวแข็งทื่อ ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นแดงก่ำ ฝ่ามือทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้นที่มากเกินไป
การแสดงออกทางสีหน้าของเขาซับซ้อนอย่างมาก ทำให้ผู้อื่นสังเกตความรู้สึกของเขาได้ยาก
หยางชุยเสวี่ยกล่าวหยั่งเชิงว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากถามแล้ว นักกระบี่เฒ่าท่านนี้ก็พึมพำอยู่ในใจ ‘ขออย่าให้เป็นข่าวร้ายเลย!’
แม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นข่าวร้ายมากที่สุดก็ตาม
ราวกับความฝัน
เหล่าเจ้าลัทธิและหัวหน้าแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างก็หันมามองหน้ากัน ฟู่จิงเหมินหายใจกระชั้นถี่พลางรีบถามว่า “จริงหรือเท็จ?”
แม้จะรู้ว่าฉู่หยวนเจิ่นคงไม่ล้อเล่นสำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ แต่ข่าวที่เขาพูดเมื่อครู่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาล้อเล่นอีกครั้ง
ฉู่หยวนเจิ่นไม่สนใจพวกเขา เพียงแค่หลับตาลง เงยหน้าขึ้น หายใจเอาอากาศที่ขุ่นเคืองในอกออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ฟู่จิงเหมินก็ระเบิดหัวเราะขึ้นมาอย่างดุเดือดพร้อมชูแขนขึ้น “ฆ้องเงินสวี่ฆ่าระดับสุดยอดหมดแล้ว ภัยพิบัติคลี่คลายแล้ว อย่างไม่เคยมีมาก่อน ท่านผู้นำ พวกเราไม่ต้องหนีอีกต่อไปแล้ว”
เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปไกล ทำให้ประชาชนที่หลบหนีอย่างเงียบๆ บนถนนสายหลักถึงกับต้องหยุดฝีเท้าและฟังเสียงนั้นด้วยความประหลาดใจ
ทันทีหลังจากนั้น เสียงทะเลาะวิวาทและเสียงพูดคุยก็ดังเซ็งแซ่ขึ้นมา ใบหน้าของเหล่าประชาชนปรากฏรอยยิ้มและท่าทางที่ผ่อนคลาย พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือระดับสุดยอด แต่พวกเขาได้ยินสิ่งที่คนยุทธภพนั่นพูด
ฆ้องเงินสวี่ระงับภัยพิบัติ ไม่จำเป็นต้องหนีอีกต่อไปแล้ว!
อาศัยความไว้วางใจและความเคารพต่อฆ้องเงินสวี่ เกือบจะไม่มีใครตั้งคำถาม จนกระทั่งคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก ฆ้องเงินสวี่ปราบปรามกบฏ ระงับภัยพิบัติ นั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรเกิดหรอกรึ
…
ชายแดนเหลยโจว
หลี่เมี่ยวเจิน อาซูหลัว และไต้ซือเหิงหย่วนหยิบหนังสือปฐพีออกมาเพื่อตรวจสอบ
“มันจบแล้ว…” หลี่เมี่ยวเจินวางชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลง ทั้งความสุขและความเศร้าถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ
“อมิตตาพุทธ!” เหิงหย่วนและพระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือขึ้นมาพร้อมกัน
อาซูหลัวเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างเงียบๆ ยกสองมือขึ้นมาปิดใบหน้าโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาไม่เคลื่อนไหวและส่งเสียงใดๆ อยู่นาน
ความเกลียดชังของเขาสิ้นสุดลงแล้ว
ความหมายของชีวิตเขาดูเหมือนจะสุญหายไปชั่วขณะนี้
โค่วหยางโจวหันไปมองเมืองหลวงทางด้านทิศตะวันออก
โจรซุน แผ่นดินของเจ้า ข้าปกป้องแทนเจ้าแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ที่แปรสภาพเป็นดินเหลืองมานานแล้ว หรือประชาชนที่หัวแข็งดื้อรั้น การนำกองทัพก่อกบฎในตอนนั้นล้วนเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตรอดต่อไป
…
หอเฮ่าชี่
เว่ยเยวียนยืนอยู่ที่หอสังเกตการณ์ เสียงฝีเท้าวิ่งขึ้นบันไดดังก้องอยู่ที่ข้างหู
“พ่อบุญธรรม!”
หนานกงเชี่ยนโหรววิ่งไปยังห้องชาชั้นเจ็ดด้วยสีหน้าปลื้มปิติยินดี มองเงาด้านหลังของหอสังเกตการณ์พลางตะโกนว่า
“มีข่าวมาจากในพระราชวัง สวี่ชีอันสังหารระดับสุดยอดหมดแล้ว ภัยพิบัติสงบลงแล้ว”
เว่ยเยวียนที่ยืนหันหลังให้เขาถอนหายใจเอาความอัดอั้นภายในใจออกมาอย่างช้าๆ โดยไม่ได้หันหลังกลับไป
เหมือนยกภูเขาออกจากอก
…
หอสมุดหลวง
“ข่าวดี ข่าวดี…”
ขันทีกุมตราลัญจกรควบม้าเร็วมายังสำนักราชเลขาธิการ เวลานี้ หวางเจินเหวินกำลังหารือเรื่องต่างๆ กับปราชญ์มหาสำนักหลายคน บรรยากาศอันเคร่งขรึมในห้องโถงก็ถูกขันทีกุมตราลัญจกรกำจัดออกไปโดยสิ้นเชิง
หวางเจินเหวินยืนขึ้นโดยพลันและเริ่มต้อนรับขันทีกุมตราลัญจกร หลังจากสูดหายใจแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า
“ข่าวดีรึ? ข่าวดีจากไหนกัน?”
เฉียนชิงซูที่อยู่ด้านหลังกล่าวขัดจังหวะว่า “เหลยโจวหรือว่าด่านอวี้หยาง?”
ในความเข้าใจของเขา สิ่งที่อาจเป็นข่าวดีก็น่าจะมาจากสนามรบทั้งสองนี้
ขันทีกุมตราลัญจกรโบกมือปฏิเสธ
“เมื่อครู่…เมื่อครู่ฝ่าบาทและฆ้องเงินสวี่เข้ามาด้วยกันแล้ว”
ทันทีที่กล่าวประโยคนี้ ทั่วทั้งห้องโถงก็เกิดความเงียบขึ้นทันที จากนั้นปราชญ์มหาสำนักหลายท่านก็เริ่มหายใจกระชั้นถี่ขึ้น
หวางเจินเหวินได้รับคำตอบที่เขาต้องการมากที่สุดแล้ว เขาพุ่งตัวขึ้นไปคว้าแขนของขันทีกุมตราลัญจกรแล้วกล่าวด้วยความร้อนอกร้อนใจว่า “ข่าวดีคือ…”
สีหน้าของขันทีกุมตราลัญจกรเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทตรัสว่า โลกนี้ไม่มีระดับสุดยอดอีกต่อไป ภัยพิบัติผ่านไปแล้ว”
ณ ที่แห่งนี้ ปราชญ์มหาสำนักอย่างเฉียนชิงซู จ้าวถิงฟาง บ้างก็ทรุดตัวลงบนโต๊ะ บ้างก็น้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้ม บ้างก็ตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น
…
หมายเลขสาม ‘สภาพความสูญเสียเป็นอย่างไร?’
สวี่ชีอันถามในหนังสือปฐพี
หมายเลขสอง ‘นักบวชเต๋าจินเหลียนและเจ้าสำนักจ้าวสิ้นชีพแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ไม่เป็นอะไร’
หลี่เมี่ยวเจินตอบคำถามของเขา
นักบวชเต๋าจินเหลียนและเจ้าสำนักตายแล้ว…สีหน้าของสวี่ชีอันจมมืดลง
เขาอดที่จะนึกถึงตอนที่พบกันครั้งแรกไม่ได้ นักบวชเฒ่าที่ตั้งแผงลอยอยู่ข้างถนนและปราชญ์เฒ่าที่แต่งตัวซอมซ่ออยู่ในสำนักศึกษา
สามปีผ่านไปภายในพริบตาเดียว ผู้อาวุโสทั้งสองที่เคยได้รับความเชื่อใจและช่วยเหลือเขามากมายได้จากโลกนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ความโศกเศร้าและความผิดหวังยังคงเกาะกุมหัวใจของเขาอีกนานแสนนาน
หมายเลขสาม ‘ท่านโหราจารย์และเทพสวรรค์ก็แตกดับแล้วเช่นกัน’
สวี่ชีอันส่งสารไป
‘ท่านโหราจารย์ก็แตกดับแล้วเช่นกัน’…สมาชิกพรรคฟ้าดินมองข้อความของเขาและเงียบขึ้นเรื่อยๆ
โหรขั้นหนึ่งซึ่งเป็นนักวางแผนยอดเยี่ยม อดีตเทพผู้อุปถัมภ์ต้าฟ่ง สุดท้ายก็ไม่อาจหลีกหนีเคราะห์ไปได้
หมายเลขเจ็ด ‘ช้าก่อน เทพปกครองสวรรค์สิ้นชีพได้อย่างไร? แล้วเจ้ารู้ว่าเทพปกครองสวรรค์สิ้นชีพได้อย่างไร?’
เวลานี้เอง หลี่หลิงซู่ก็ส่งสารเข้ามา
เทพบุตรตกใจมาก การที่เขาสาปแช่งอยู่ที่ตีนเขา ส่งผลให้เทพปกครองสวรรค์สิ้นชีพอย่างเงียบๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ยงั้นรึ?
…………………………………………………