ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 914 รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว [ตอนพิเศษ 2]
บทที่ 914 รวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว [ตอนพิเศษ 2]
……….
คำถามของหลี่หลิงซู่ก็เป็นข้อสงสัยของสมาชิกพรรคฟ้าดินเช่นเดียวกัน ที่ไม่ถามในเมื่อครู่เพราะฝูงชนยังจมอยู่ในความโศกเศร้าต่อการแตกดับของท่านโหราจารย์
พากันทอดถอนใจถึงนักบุญอุปถัมภ์ต้าฟ่งในอดีต
หลังจากเห็นข้อความของเทพบุตรแล้ว ฝูงชนเก็บอารมณ์ทางสีหน้า และหันกลับไปให้ความสนใจกับข้อสงสัยและความข้องใจต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามา
สวี่ชีอันอยู่โพ้นทะเล รู้ข่าวการแตกดับได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังนำการแตกดับของท่านโหราจารย์กับเทพสวรรค์มารวมเข้าด้วยกัน นี่หมายความว่าการกลืนกลายของเทพสวรรค์กับวิถีแห่งฟ้าจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อาจจะเกี่ยวข้องกับมหาเคราะห์
หมายเลขสาม ‘เทพสวรรค์แตกดับเพราะท่านโหราจารย์’
ข้อความของสวี่ชีอันปรากฏต่อสายตาฝูงชน
เทพสวรรค์แตกดับเพราะท่านโหราจารย์หรือ!
‘เทพสวรรค์ก็ออกไปทะเลไปร่วมสงครามด้วยหรือ หรือว่าถูกข้าด่าจนรู้สึกละอายใจ ถึงได้ออกทะเลไปช่วยสวี่ชีอัน ท่ามกลางการสู้รบอย่างดุเดือด เทพสวรรค์แตกดับเพราะช่วยท่านโหราจารย์…’ เทพบุตรทั้งเศร้าโศก ประทับใจ และฉงน
‘เทพสวรรค์ก็ร่วมรบหรือนี่ ดูท่าเทพบุตรจะสร้างผลงานแล้ว น่าเสียดายที่ท่านโหราจารย์ยากจะที่หลบหนีเคราะห์ร้ายได้…’ คนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้
แต่ประเดี๋ยวเดียวสวี่ชีอันก็ส่งข้อความมา ทำให้สมาชิกพรรคฟ้าดินตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
หมายเลขสาม ‘หลังจากเจ้าสำนักศึกษาจ้าวพลีชีพเพื่อบ้านเมืองแล้ว โชคชะตาต้าฟ่งก็หายไปอย่างสมบูรณ์ และท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้เป็นอมตะอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงแตกดับ แต่หลังจากเทพสวรรค์ผสานกับวิถีแห่งฟ้าแล้วก็ปลุกท่านโหราจารย์ฟื้นขึ้นมา’
เดิมทีท่านโหราจารย์แตกดับไปแล้ว เป็นเพราะเทพสวรรค์ผสานกับวิถีแห่งฟ้าช่วยเขากลับมา…’ สมาชิกพรรคฟ้าดินมองดูข้อความที่ส่งมาด้วยใจที่สั่นระรัว พวกเขารับรู้โดยสัญชาตญาณว่าประโยคนี้แฝงไปด้วยข้อมูลที่เกินจริงไปมาก แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้
ตอบกลับ
‘แม้เจ้าสำนักศึกษาจ้าวจะโจมตีเทพพ่อมดจนร่นถอยไป และช่วยประชาชนนับพันนับหมื่นไว้ได้ แต่ความตายของเขากลับทำให้โชคชะตาของต้าฟ่งหายไปหมดสิ้น…’ ฉู่หยวนเจิ่นเห็นการแตกดับของจ้างโส่วด้วยตาของเขาเอง เพียงแต่ไม่คิดว่าในขณะที่จ้าวโส่วช่วยประชาชนเอาไว้นับไม่ถ้วนนั้น ทำให้ท่านโหราจารย์ตายไปด้วย
เรื่องราวบนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรจะเกินไปกว่านี้แล้ว
แต่การที่เทพสวรรค์ผสานกับวิถีแห่งฟ้าเกี่ยวข้องอะไรกับการปลุกท่านโหราจารย์ให้ฟื้นขึ้นมา
เหตุใดเทพสวรรค์ผสานกับวิถีแห่งฟ้าแล้วจะสามารถปลุกท่านโหราจารย์ฟื้นได้
หมายเลขเจ็ด ‘เทพสวรรค์ผสานกับวิถีแห่งฟ้าปลุกท่านโหราจารย์ให้ฟื้นขึ้นมาหรือ หนิงเยี่ยน นี่หมายความว่าอย่างไร’
หลี่หลิงซู่ช่วยสมาชิกพรรคฟ้าดินสอบถามข้อสงสัยในใจอีกครั้ง
หมายเลขสาม ‘เพราะท่านโหราจารย์คือร่างจำแลงของวิถีแห่งฟ้า’
หลังจากสวี่ชีอันส่งข้อความนี้แล้ว ก็ขยับนิ้วอย่างรวดเร็วราวกับบินได้ เพื่อส่งรายละเอียดต่างๆ เข้าไปกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีในรูปแบบของข้อความ
หลังจากเขาส่งเสร็จ กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีก็เงียบ ไม่มีใครส่งเสียง และก็ไม่มีใครทอดถอนใจ
เงียบไม่ได้หมายความว่าจะสงบ ในทางตรงกันข้าม ในใจสมาชิกพรรคฟ้าดินในขณะนี้บังเกิดคลื่นที่พอจะเรียกได้ว่า ‘ทำลายฟ้าทลายดินได้’
ซึ่งรวมถึงฮว๋ายชิ่งที่อยู่ข้างกายสวี่ชีอันด้วย
ท่านโหราจารย์คือร่างจำแลงวิถีสวรรค์ และจิตตานุภาพที่เขาให้กำเนิดนั้น ก่อตัวขึ้นจากเทพสวรรค์แต่ละรุ่นที่ผสานเข้ากับวิถีแห่งฟ้า รวมไปถึงร่างอวตารเทพสวรรค์ของปรมาจารย์เต๋าด้วย
หรือท่านโหราจารย์ต้องการสนับสนุนให้สวี่ชีอันกลายเป็นเทพยุทธ์ มิน่าล่ะเขาถึงต้องการบ่มเพาะผู้พิทักษ์ประตู
ผ่านไปนาน ฉู่หยวนเจิ่นที่สงบลงในตอนแรกส่งข้อความทอดถอนใจออกมา
หมายเลขสี่ ‘มิน่าล่ะ ข้ารู้สึกว่าการกำเนิดของระบบโหรกะทันหันไปหน่อย ท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็เป็นหมากของเขา ระบบโหรถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้การโน้มนำของเขา’
หมายเลขสอง ‘ดังนั้นที่เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรือง ได้รับความเมตตาจากฟ้าดิน เป็นเพราะคุณูปการของปรมาจารย์เต๋าและเทพสวรรค์แต่ละรุ่นหรือ’
เป็นการยากที่หลี่เมี่ยวเจินจะถามคำถามที่ลึกซึ้งออกมา
ความหมายของนางก็คือ หลังช่วงสืบต่อเทพมาร เผ่ามนุษย์สามารถเอาชนะเผ่าปีศาจและทายาทเทพมารจนกลายเป็นเจ้าแห่งจิ่วโจวได้นั้น เป็นเพราะบรรดาปรมาจารย์เต๋าและเทพสวรรค์มีอิทธิพลต่อวิถีแห่งฟ้า ทำให้โน้มเอียงไปทางเผ่าพันธุ์มนุษย์
หมายเลขสาม ‘อาจเป็นเช่นนั้น’
สวี่ชีอันส่งข้อความตอบ เขาไม่อาจให้คำตอบได้
หมายเลขแปด ‘แม้ว่าวิถีแห่งฟ้าจะไร้ความปรานี แต่สุดท้ายแล้วก็ให้กำเนิดจิตตานุภาพ ขอให้มีจิตตานุภาพเท่านั้นแหละ ก็จะมีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ในเมื่อเป็นร่างรวมของปรมาจารย์เต๋ากับจิตตานุภาพของเทพสวรรค์แต่ละรุ่น จึงต้องใกล้ชิดกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ข้าสนใจยิ่งกว่าก็คือ พลังภายในของนิกายสวรรค์สามารถทำให้วิถีแห่งฟ้ามีจิตตานุภาพได้ ทุกท่านนี่จะเป็นภัยพิบัติแอบแฝงหรือไม่’
สมาชิกพรรคฟ้าดินจมดิ่งสู่ความเงียบสงบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ฝูงชนคิดใคร่ครวญปัญหานี้อยู่จึงไม่ได้ตอบ
จู่ๆ ก็เกิดปรัชญาขึ้นมา…สวี่ชีอันซุบซิบในใจ ขณะที่กำลังจะพูดว่า ตนเองมีสถานะเป็นผู้พิทักษ์ประตู สามารถคานสมดุลวิถีแห่งฟ้าได้ระดับหนึ่ง แต่จู่ๆ เขาก็เห็นข้อความที่หลี่หลิงซู่ส่งมา
‘จะไม่มีภัยพิบัติแอบแฝงอีกต่อไป เมื่อครู่ท่านอาจารย์ลงเขามาพบข้า บอกว่าก่อนที่เทพสวรรค์จะแตกดับนั้น ได้ทิ้งคำสั่งเอาไว้สามประการ หนึ่ง ให้เทพธิดาปิงอี๋รับตำแหน่งเทพสวรรค์โดยตรง สอง นิกายสวรรค์ทำการปรับปรุงวิชาเต๋าดั้งเดิมใหม่ จะไม่บำเพ็ญการตัดอารมณ์ความรู้สึกอีกต่อไป’
‘ท่านอาจารย์กลายเป็นเทพสวรรค์รุ่นใหม่แล้วหรือ’ หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกดีใจกับเทพธิดาปิงอี๋จากใจจริง และส่งข้อความอธิบายว่า
หมายเลขสอง ‘วิชาเต๋าดั้งเดิมคือวิธีการบำเพ็ญที่บรรดาคนรุ่นก่อนของเผ่าพันธุ์มนุษย์แสวงหาได้มาในช่วงสุดท้ายของยุคบรรพกาล ซึ่งพวกเจ้าก็รู้ดี ปรมาจารย์เต๋าคือผู้บรรลุสมบูรณ์ที่รวบรวมวิชาแต่ไม่ใช่ผู้ริเริ่ม ที่ปรมาจารย์เต๋าริเริ่มคือวิชาของนิกายสวรรค์ นิกายปฐพี และนิกายมนุษย์’
วิชาเต๋าดั้งเดิมสามารถบำเพ็ญได้ถึงระดับสุดยอด ซึ่งมีปรมาจารย์เต๋าเป็นตัวอย่าง
หากละทิ้งการบำเพ็ญการตัดอารมณ์ความรู้สึกล่ะก็ แน่นอนว่าจะไม่มีเทพสวรรค์ผสานเข้ากับวิถีแห่งฟ้าและปลุกท่านโหราจารย์ให้ฟื้นขึ้นได้อีกต่อไป
นี่ก็หมายความว่า ท่านโหราจารย์แตกดับไปแล้วจริงๆ และจะไม่มีวันเยื้องกรายมาโลกมนุษย์ได้อีก
ภายในตำหนักบรรทม สวี่ชีอันนั่งอยู่บนพระที่นั่ง มือถือหนังสือปฐพีและหันหน้ามองไปทางสำนักโหราจารย์
สายตาของเขาราวกับมองทะลุชายคาบ้านไปเห็นแท่นแปดทิศที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า แต่กลับมองไม่เห็นเงาร่างที่ถือแก้วสุราและหรี่ตามองโลกมนุษย์ด้วยสายตาที่เมามายอีกต่อไป
ท่านโหราจารย์…สวี่ชีอันถอนหายใจเบาๆ
หมายเลขแปด ‘คำสั่งที่สามคืออะไร’
อาซูหลัวส่งข้อความมาถาม
หมายเลขเจ็ด ‘เพิกถอนตำแหน่งเทพบุตรของข้า ขับไล่ออกจากนิกายสวรรค์’
กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบไปทันที ราวกับว่าฝูงชนจะมองเห็นสีหน้าท้อแท้ใจจนแทบจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาของเทพบุตร
หมายเลขสอง ‘เพราะเหตุใดกัน’
หลี่เมี่ยวเจินตกใจมาก นางถูกขับไล่ออกจากนิกายสวรรค์เป็นเพราะศรัทธาไม่เหมือนกัน ไม่อาจตัดอารมณ์ความรู้สึกได้
ลูกพี่พัวพันกับชะตากรรมรัก สมควรขับไล่ออกจากสำนักจริงๆ แต่ในเมื่อละทิ้งการบำเพ็ญตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขับไล่เทพบุตรออกจากนิกาย
หมายเลขเจ็ด ‘อาจเป็นเพราะ อืม ตอนที่อยู่ประตูตีนเขานิกายสวรรค์ ข้าก่นด่าเลยเถิดเกินไป’
หมายเลขสอง ‘เจ้าด่าอะไรไป’
ในใจของหลี่เมี่ยวเจินรู้สึกหนักอึ้ง
หมายเลขเจ็ด ‘ก็ ก็คือว่าเลอะเลือนไปชั่วขณะ อยากเป็นบิดาของเทพสวรรค์…’
หลี่เมี่ยวเจิน “…”
สวี่ชีอัน “…”
ฮว๋ายชิ่ง “…”
อาซูหลัว “…”
ฉู่หยวนเจิ่น “…”
พอเห็นว่าฝูงชนไม่พูดอะไร หลี่หลิงซู่ก็ส่งข้อความมาเล่นลิ้น
หมายเลขเจ็ด ‘เทพสวรรค์ก็ไม่ได้ตัดอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่เขาพูดไว้นี่’
หมายเลขหก ‘อมิตาพุทธ อาตมาคิดว่าเทพสวรรค์ตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้ว’
ไต้ซือเหิงหย่วนอดส่งข้อความไม่ได้ ไม่มีเค้ามาก่อนเลยว่าเขาจะพูด
หลี่หลิงซู่ “…”
‘หากเทพสวรรค์ไม่ตัดอารมณ์ความรู้สึก ตอนนี้เจ้าคงได้เข้าสู่วัฏสงสารแล้ว…’ หลี่เมี่ยวเจินถ่ายทอดเสียงด้วยความโมโห
หมายเลขสอง ‘เอาล่ะ เอาล่ะ กลับเมืองหลวงก่อน ส่วนเรื่องที่เจ้าจะอยู่หรือจะไปนั้นค่อยว่ากันทีหลัง’
นางยังต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกพี่ที่ไม่เอาไหน
ซึ่งไม่สามารถอยู่นิกายสวรรค์ได้อีกต่อไป นิกายปฐพีก็อยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ลูกพี่จะเป็นคนดี แต่ก็ไม่ใช่คนจิตใจดี นิกายมนุษย์ยังพอได้ ลั่วอวี้เหิงเห็นแก่หน้าสวี่ชีอันจะต้องรับศิษย์นิกายสวรรค์ที่ถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน
แต่ภัยพิบัติแฝงในนิกายมนุษย์นั้นใหญ่หลวงยิ่งนัก ตอนที่ไฟแห่งกรรมแผดเผาร่างกาย จำเป็นต้องใช้พลังจิตตานุภาพต่อต้านอารมณ์ทั้งเจ็ดและปรารถนาทั้งหก และวังหลังของลูกพี่มีสาวงามนับพัน จะไม่แตะต้องสตรีได้อย่างไร
พอแตะต้องสตรีก็ถูกไฟแห่งกรรมแผดเผาจนตาย
…
หลังส่งข้อความเสร็จแล้ว สวี่ชีอันหันมองทางขวาซึ่งมีจักรพรรดินีสวมชุดคลุมมังกรยืนอยู่
“ข้าจะกลับจวนไปรายงานความปลอดภัย”
เขาลุกขึ้นกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปากบางเฉียบและเย้ายวนเบาๆ มหาเคราะห์ถูกกำหนดไว้แล้ว คนรักปลอดภัย ย่อมเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การดีใจ แต่ทว่ามหาเคราะห์ในครั้งนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียน จ้าวโส่ว และท่านโหราจารย์ล้วนพากันไปจากโลกมนุษย์อย่างสมบูรณ์
ภายใต้สีหน้าปีติยินดีที่ได้ชีวิตใหม่ คือความโศกเศร้าอาดูรของการจากกันชั่วนิจนิรันดร์
นางรับรู้ถึงความรู้สึกอันหนักอึ้งของสวี่ชีอันได้
…
จวนสกุลสวี่
ฤดูหนาวที่หนาวเยือก ภายในสวนดอกไม้ของจวนสกุลสวี่ กำลังเบ่งบานไปด้วยดอกไม้สีสันสะดุดตา กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้คุกรุ่นออยูู่ภายในจวน ทำให้จิตใจชื่นมื่นเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางลมหนาวตอนเช้าตรู่ สวี่หลิงอินนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินในลานด้านใน ใบหน้าของนางดูดุร้าย ขณะเดียวกันก็ยัดส้มที่เปรี้ยวและฝาดเข้าไปในปาก ตัวนางสั่นเทาอยู่บ่อยๆ ไม่รู้เป็นเพราะความหนาวเยือกหรือเพราะความเปรี้ยวกันแน่
มือเล็กป้อมๆ เปื้อนไปด้วยน้ำจากผิวเปลือกส้ม
“พี่ใหญ่…”
มองเห็นสวี่ชีอันกลับมา เสี่ยวโต้วติงก็มองดูมือของเขาก่อน พอเห็นว่าสองมือว่างเปล่าถึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง นางเลิกคิ้วบางๆ ขึ้นและฟ้องพี่ใหญ่
“เช้านี้ท่านพ่อซื้อส้มเขียวกลับมาให้ข้ากินอีกแล้ว”
สวี่ชีอันถาม
“แล้วเจ้าซาบซึ้งใจหรือไม่”
สวี่หลิงอินเศร้าใจขึ้นมาทันมาที น้ำตาไหลเป็นสองทาง
เด็กดี ซาบซึ้งใจจนร้องไห้ออกมาแล้ว…สวี่ชีอันลูบหัวนางพร้อมกับกล่าว
“หากคราหน้าท่านพ่อของเจ้าซื้อส้มเขียวให้อีก เจ้าก็แอบเอาน้ำซักผ้ากรอกเข้าไปในกาน้ำชาของเขา พี่รองของเจ้าก็เช่นกัน”
สวี่หลิงอินได้ยินก็ตาเป็นประกาย เลยพูดหยั่งเชิงเสียงดัง
“เช่นนั้นข้าใช้น้ำล้างเท้าได้หรือไม่”
ต่อไปน้ำในบ้านคงกินไม่ได้แล้ว…สวี่ชีอันพูดให้กำลังใจ
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่ฉลาดเสียจริง แต่จำไว้ว่าครั้งหน้าหากพูดเรื่องเหล่านี้ ให้เบาเสียงลงหน่อย”
หลังจากเขากำชับเสี่ยวโต้วติงว่าอย่าสิ้นเปลืองอาหารแล้ว ก็หันกลับไปที่เรือนเล็กๆ ของเขา
ภายในห้องนอนที่กว้างขวางและหรูหรา หลินอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือเรียวยาวสีขาวหยกถือแปรงสีฟันแผงขนคอหมูกำลังบ้วนปากแปรงฟันอย่างใจลอย สาวใช้สองคนคอยปรนนิบัติอยู่เงียบๆ คนหนึ่งต้มน้ำร้อนแช่ผ้าเช็ดตัว อีกคนเก็บเสื้อผ้าและสิ่งของที่แขวนอยู่บนฉากกั้น
ดวงตาทั้งคู่ของนางมีเส้นเลือดฝอยจางๆ ใต้ตาบวมเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนเต็มที่ มีเรื่องทับถมในใจมากมาย
“แอ๊ด!”
เมื่อได้ยินเสียงผลักประตู หลินอันแหงนหน้ามองมาอย่างรวดเร็ว ชุดเขียวสะท้อนเข้ามาในดวงตา ตามมาด้วยใบหน้าที่คุ้นเคย และรอยยิ้มคุ้นเคยที่ประทับอยู่บนใบหน้า
“ข้ากลับมาแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางผลักโต๊ะแล้วลุกขึ้นอย่างรีบร้อน เบ้าตายังคงแดงก่ำ นางชนเก้าอี้กลมๆ จนล้มและโผเข้าหาอ้อมกอดสวี่ชีอันด้วยสีหน้าที่แทบจะร้องไห้ออกมา
…
ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น มู่หนานจือสวมกระโปรงยาวสีบงกช ทำมวยผมที่สตรีแต่งงานในขณะนั้นนิยมทำกัน นางนั่งริมหน้าต่างและอุ้มไป๋จีที่ดิ้นรนจะออกไปเล่นกับสวี่หลิงอิน
ห้องนอนของมู่หนานจือค่อนเอียงไปทางใต้ หน้าต่างที่หันไปทางเรือนหลังมีคนผ่านมาน้อยมาก ด้วยเหตุนี้ตอนนี้นางจึงไม่ได้สวมสร้อยข้อมือ ปล่อยให้ใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมืองอาบอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาว
ผิวพรรณกล้ามเนื้อราวกับหยก งดงามราวภาพวาด
ดวงตาดุจดังกระดุมสีดำของจิ้งจอกขาวน้อยกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว มันคิดหาโอกาสเหมาะในการหนีไปสำนักโหราจารย์กับสวี่หลิงอิน เพื่อเล่นกับท่านโหราจารย์
ท่านโหราจารย์คนใหม่สามารถนำอาหารอันโอชะหลากหลายชนิดออกมาป้อนมนุษย์ตัวน้อยกับจิ้งจอกตัวน้อยได้
มู่หนานจือลูบขนปุกปุยบนหัวไป๋จีเบาๆ และทอดถอนใจเบาๆ
“เมื่อก่อนป้าไม่สวมสร้อยข้อมือ เจ้าก็เลียหน้าป้าด้วยความดีใจ ตอนนี้ไม่แสดงความอบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นจึงพูดได้ว่าจิตใจคนเปลี่ยนแปลงกันได้”
ไป๋จีกะพริบตาและพูดอย่างไร้เดียงสา
“ท่านป้า ข้าเป็นปีศาจนะ”
“เข้าใจความหมายก็พอ” มู่หนานจือส่งลูกเกาลัดให้ด้วยมือหลัง
“ข้าจะรักท่านป้าตลอดไป”
ไป๋จีรีบแสดงความจริงใจออกมา มันแลบปลายลิ้นนุ่มสีชมพูออกมาเลียหลังมือของมู่หนานจือ
“เช่นนั้น วันนี้อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกับป้า” มู่หนานจือก้มหน้าเผยรอยยิ้มงดงามไร้ที่ติ
ไป๋จีจิตใจสั่นไหว หัวใจเต้นแรง มันพยักหน้าอย่างแรง “อืมๆ!”
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถ้าจะไปเที่ยวเล่นกับมนุษย์เด็กโง่ๆ อย่างสวี่หลิงอิน ไม่สู้อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกับท่านป้าที่งดงามไม่เป็นรองใครทั้งบนฟ้าและปฐพีผู้นี้จะดีกว่า แค่มองหน้านางก็รู้สึกว่าวิญญาณถูกทำให้บริสุทธิ์และถูกยกระดับแล้ว
ขณะนี้จิ้งจอกขาวน้อยที่ตกอยู่ในภวังค์ความงดงามของเทพบุปผา พลันรู้สึกว่าร่างอรชรของมู่หนานจือสั่นแล้วก็เกร็งแน่น จากนั้นมันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“สวยจริงๆ!”
ไป๋จีเงยหน้ามอง นอกหน้าต่างมีคนหน้าตาคุ้นเคยยืนอยู่และกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้กับมู่หนานจือ
มู่หนานจือที่เห็นได้ชัดว่ากินอะไรไม่ลงเลย ขณะนี้กลับทำท่าทางรังเกียจและเย็นชา นางหันหน้ากลับมาอย่างเย่อหยิ่ง และไม่สนใจคนนอกหน้าต่างอีก ราวกับชายผู้นี้ไม่มีค่าอะไรเลย
ทัศนคติที่เปลี่ยนไปเช่นนี้เป็นสิ่งที่ความฉลาดทางอารมณ์ของไป๋จีไม่สามารถเข้าใจได้
มู่หนานจือเย่อหยิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอเห็นว่าชายหน้าเหม็นไม่ได้ปลอบตนเอง ก็หันหน้ามากล่าวด้วยความโมโห
“เหตุใดถึงไม่ตายอยู่ข้างนอกไปเลยล่ะ”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่เพราะคิดถึงเจ้าหรอกหรือ ใจคิดถึงเจ้าก็เลยมีพลังที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด เจ้าคือปรารถนาสูงสุดในการมีชีวิตอยู่ของข้า”
แม้จะรู้ว่านี่เป็นคำพูดหลอกลวงที่ไพเราะอ่อนหวานดังกระสุนปืนใหญ่ที่เคลือบด้วยน้ำตาล แต่ยังคงใช้กับมู่หนานจือได้ นางทำเสียงฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง
“ปัญหาจัดการแล้วหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอบคุณเทพบุปผาที่อุทิศตนช่วยข้าสังหารศัตรูทั้งสี่ทิศตรงโพ้นทะเลอย่างไม่เห็นแก่ผลงาน ในที่สุดมหาเคราะห์ก็สงบลง นับแต่นี้ไปจิ่วโจวจะไม่มีระดับสุดยอดอีก”
‘ฟู่…’ นางแอบโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และความอัดอั้นตันใจที่เก็บไว้ก็ได้รับการผ่อนคลาย แต่ความคับแค้นใจยังคงอยู่ นางจึงถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไรเสียหายใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ท่านโหราจารย์ จ้าวโส่ว และนักบวชเต๋าจินเหลียนแตกดับแล้ว คนอื่นๆ ล้วนยังอยู่ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
ใบหน้าเขาประดับไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าในรอยยิ้มมีแฝงไปด้วยความผิดหวังเศร้าเสียใจ และคะนึงถึงเรื่องในอดีต
ความคับแค้นใจเล็กๆ ของมู่หนานจือหายไปทันที ทั้งยังรู้สึกปวดใจเล็กน้อย แต่นิสัยเย่อหยิ่งไม่อาจละทิ้งได้ชั่วคราว นางจึงกล่าวออกมา
“เจ้ากลายเป็นเทพยุทธ์ เป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดต่อพวกเขา คือสิ่งที่พวกเขาอยากเห็นมากที่สุด”
กล่าวจบก็วางไป๋จีลงพื้น
“ไปเล่นเถอะ ไปไกลหน่อย ก่อนอาหารเที่ยงยังไม่ต้องกลับมา”
ไป๋จีกลิ้งบนพื้นทีหนึ่ง สมองน้อยๆ เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เหตุใดท่านป้าถึงเปลี่ยนไปรวดเร็วเช่นนี้
หรือว่าคำพูดหวานๆ ที่พูดกับมันในเมื่อครู่ล้วนหลอกลวงทั้งนั้น
ไป๋จีออกไปหาเสี่ยวโต้วติงด้วยความโมโห
สวี่ชีอันกระโดดข้ามหน้าต่างโดยไม่สนใจผนังตรงหน้าต่างเลย ก้าวเดียวก็เข้ามาถึงในห้อง มู่หนานจือเดินไปต้มน้ำชงชาตรงขอบโต๊ะอย่างช่ำชอง ทั้งสองดื่มชาท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว สวี่ชีอันเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามใหญ่ให้นางฟัง
ซึ่งรวมถึงสถานะที่แท้จริงของท่านโหราจารย์ พลังของเทพยุทธ์ และอื่นๆ ด้วย
“เจ้ามีดวงชะตาติดตัว เช่นนั้นขีดจำกัดที่ไม่อาจมีชีวิตยืนยาวนั้นหายไปแล้วใช่หรือไม่” มู่หนานจือถามด้วยความตกใจระคนดีใจ
สวี่ชีอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ตัวเขาเองกลับลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่คิดว่ามู่หนานจือจะยังจำได้ ที่แท้นางก็มีปัญหาเรื่องอายุขัยมาโดยตลอด
“เทพยุทธ์ไม่ตายไม่ดับสลาย ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ย่อมไม่ตาย” สวี่ชีอันกล่าว
มู่หนานจือยิ้มออกมา นางถือถ้วยชาและพูดกระซิบแผนการเล็กๆ ของนางออกมา
“ร้อยปีให้หลัง หลินอันก็แก่ตายแล้ว ฮว๋ายชิ่งเป็นจักรพรรดินีก็ต้องตายเช่นกัน จงหลีมีเคราะห์ร้ายรุมเร้าจิตใจ อยู่ห่างจากระดับเหนือมนุษย์เป็นหมื่นโยชน์ หลี่เมี่ยวเจินสร้างกุศลกรรมตามอารมณ์ ช้าเร็วก็ตกสู่มาร คำนวณดูแล้วศัตรูตัวฉกาจของข้าก็มีแค่แม่นางหน้าเหม็นอย่างลั่วอวี้เหิงเท่านั้น แต่ข้าไม่กลัวหรอก ใครใช้ให้นางขี้เหร่กัน”
ข้าสามารถใช้ดาบไท่ผิงตัดกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจมีอายุยืนยาวของฮว๋ายชิ่งได้ สามารถชี้แนะหลินอันให้บำเพ็ญเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้ และสามารถช่วยหลี่เมี่ยวเจินจำกัดจิตมารได้ การช่วยจงหลีเลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก…สวี่ชีอันไม่กล้าพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกมา เขาได้แต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ดังนั้นมู่หนานจือถึงเป็นคนที่ข้ารักที่สุดในชีวิตนี้”
ที่สวี่ชีอันพูดเป็นเรื่องจริง ปลาทุกตัวล้วนเป็นสุดที่รักของเขา
“ลิ้นลมพูดตลบไปตลบมา!”
มู่หนานจือทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว นางรีบก้มหน้าดื่มชา และแอบยกมุมปากเงียบๆ
…
วันต่อมา
หลังจากการว่าราชการในช่วงเช้าเสร็จสิ้นลง มีการติดประกาศที่ประตูใหญ่ต่างๆ ของเมืองหลวง รวมถึงบนกระดานประกาศของที่ทำการปกครองต่างๆ
ข้อความประกาศยาวต่อเนื่องร้อยกว่าตัวอักษร เนื้อหาคือฆ้องเงินสวี่นำบรรดาผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ไปสังหารเทพมาร สังหารระดับสุดยอด ทำให้มหาเคราะห์สงบลง ดินแดนประจิมทิศ ซินเจียงตอนใต้ และชายแดนตอนเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือจัดอยู่ในอาณาเขตของต้าฟ่งอย่างเป็นทางการ
ราชวงศ์ต้าฟ่งในที่ราบกลางรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียว เรื่องนี้สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเมืองหลวง
ประเดี๋ยวเดียวข่าวนี้ก็ถูกเจ้าหน้าที่ส่งข่าวสาส์นเผยแพร่ไปยังโจวและเขตต่างๆ จนครอบคลุมไปทั่วที่ราบภาคกลาง
………………………………………
……….