ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 915 งานเลี้ยงเฉลิมฉลองคุณูปการ [ตอนพิเศษ 3]
บทที่ 915 งานเลี้ยงเฉลิมฉลองคุณูปการ [ตอนพิเศษ 3]
……….
ตอนเที่ยง ร้านกุ้ยเยว่ในเมืองหลวง
ห้องโถงใหญ่ตรงชั้นหนึ่ง นักเล่านิทานแก่หง่อมที่สวมชุดนักปราชญ์นั่งอยู่กลางห้องโถงคนเดียว รอบด้านล้วนเป็นโต๊ะสุรา ที่ติดกับราวระเบียงตรงชั้นสองมีโต๊ะสี่เหลี่ยมจัดวางเต็มไปหมด บรรดานักดื่มขยับแก้มเขี้ยวอาหารอย่างรวดเร็ว พวกเขาดื่มสุราไปพลาง เงี่ยหูฟังนักเล่านิทานชราไปพลาง
‘ป้าบ!’
ชายชราหยิบไม้ปลุกสติขึ้นมากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและดูมีพลัง
“หลายคราที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าบนเขาชังซาน โลกมนุษย์เปลืองเวลาไปกับความคะนึงหาเป็นที่สุด ครั้งที่แล้วได้กล่าวไว้ว่า แม้เทพพ่อมดผู้นั้นจะถูกจ้าวโส่วปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่บีบบังคับให้กลับเมืองจิ้งซาน แต่ก็ต่อสู้จนบอบช้ำด้วยกันทั้งสองฝ่าย…”
ชายชรายกมือชี้ไปอย่างรวดเร็วและเสริมน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น “แต่นี่คือเทพพ่อมด หนึ่งในผู้แข็งแกร่งตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน นั่นคือผู้ที่ฟ้ายังยากที่จะฝัง ดินยังยากที่จะทำลายเขาได้ แม้แต่ปราญ์ผูู้ยิ่งใหญ่ก็อย่าริอาจสังหารเขา ดังนั้นเทพพ่อมดพลิกแผ่นดินกลับมาโจมตีต้าฟ่งอีกครั้ง ปราชญ์ผู้ใหญ่ตายแล้ว ยังจะมีใครสามารถต้านทานเขาได้อีก?”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ แล้วค่อยกล่าวต่อ
“พูดถึงดินแดนเหลยโจว ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งเราได้หลั่งเลือดทุ่มกำลังสู้รบ สกัดกั้นพระพุทธเจ้าไว้ตรงชายแดนเหลยโจวโดยไม่ยอมออกห่างแม้เพียงก้าวเดียว แต่พวกเขาก็ตกอยู่ในวิกฤตความเป็นความตาย นักบวชเต๋าจินเหลียนพลีชีพเพื่อบ้านเมือง คนต่อไปจะเป็นใคร”
บรรดาแขกที่มาทานอาหารที่อยู่บริเวณรอบๆ ลดความเร็วในการกินลง และเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“เหลยโจวกับด่านอวี้หยางนั้นอันตรายมากอยู่แล้ว แต่ต่อให้จะอันตรายแค่ไหน ก็ไม่อันตรายเท่าฆ้องเงินสวี่ที่ต้านทานเทพมารสองตนตรงโพ้นทะเลตามลำพัง” ชายชราเอามือลูบเคราในขณะที่ทอดถอนใจกล่าว
“ศึกนั้นต่อสู้จนฟ้าดินเปลียนสี ตะวันจันทราไร้ซึ่งแสง ทั่วทั้งมหาสมุทรแดงฉานราวกับเลือด ปลาตายมากมาย…”
ชายชรานักเล่านิทานบรรยายคล้ายกับมีเรื่องใหญ่โตอะไรทำนองนั้น และแขกในภัตตาคารก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ จมดิ่งอยู่ในภาพเหตุการณ์ที่ชายชราพรรณนาออกมา
ราวระเบียงตรงชั้นสอง หลี่หลิงซู่ยกจอกสุราขึ้นจิบหนึ่งที และกล่าวด้วยความอิจฉา
ฉู่หยวนเจิ่นนักกระบี่ชุดเขียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามส่ายหน้า
“ราชสำนักเป็นคนปล่อยข่าว ข้าได้ฟังรูปแบบเดียวกันมามากกว่าสิบครั้ง หลายวันมานี้ร้านน้ำชา ภัตตาคาร ซ่องนางโลม แม้กระทั่งสำนักสังคีตล้วนมีคนเผยแพร่เกี่ยวกับคุณูปการณ์ของสวี่หนิงเยี่ยน ประชาชนทั่วเมืองหลวงต่างรู้ว่าเขาเป็นเทพยุทธ์ที่ไม่เคยมีปรากฏจนกระทั่งบัดนี้”
หลี่หลิงซู่จอกถ้วยสุราลง เขากล่าวอย่างรอคอย
“ในนิทานเรื่องนั้นมีตอนที่เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นมองดูเขาทีหนึ่ง
“ตอนที่เทพบุตรนิกายสวรรค์เลอะเลือนชั่วขณะ อยากเป็นพระบิดาของเทพสวรรค์ จึงถูกขับไล่ออกจากนิกายหรอกหรือ”
“…” หลี่หลิงซู่ก้มหน้าดื่มสุรา
ฉู่หยวนเจิ่นถาม “ต่อไปเจ้ามีแผนอย่างไร”
เขาหมายถึงการบำเพ็ญในอนาคต
หลี่หลิงซู่เงียบไปครู่หนึ่ง
“ไม่บำเพ็ญการตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้ว ข้าไม่ชอบทั้งนิกายมนุษย์และนิกายปฐพี วางแผนจะเดินบนเส้นทางวิชาเต๋าดั้งเดิมใหม่ อืม ก่อนอื่นข้าอยากจะเลื่อนวิทยายุทธ์ให้ถึงขั้นสี่ก่อน”
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงสีหน้าเวทนาทันที
หลี่หลิงซู่มองไปที่ห้องโถงใหญ่และบรรดาแขกที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง มองเห็นสีหน้าเลื่อมใสศรัทธาของพวกเขา มองเห็นพวกเขาชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของสวี่ชีอัน ก็รู้สึกใจลอยเล็กน้อย
“อิจฉาหรือ” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หลิงซู่หัวเราะเยาะ
“ข้าไม่ใช่หยางเชียนฮ่วน สำหรับข้าแล้ว ชื่อเสียงลวงพวกนี้เปรียบเสมือนปุยเมฆที่ล่องลอยเท่านั้น”
เทพบุตรไม่ชอบแสดงความสามารถต่อหน้าผู้คน ไม่อิจฉาชื่อเสียงบารมีของสวี่ชีอันเลยแม้แต่น้อย
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า
“โชคดีที่เขาปลีกวิเวกอยู่ที่สำนักโหราจารย์ สองหูไม่ได้ยินเรื่องราวภายนอก มิเช่นนั้นข้าล่ะกลัวจริงๆ เลยว่าเขาจะไม่สามารถทนต่อการโจมตีในครั้งนี้ได้”
หลี่หลิงซู่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มพอใจออกมา
“ข้าคลายปมในใจไปนานแล้ว ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ที่จริงไม่จำเป็นต้องประลองฝีมือกับสวี่ชีอันก็ได้ สาวงามของเขาก็แค่เทพบุปผา ราชครู องค์หญิงหลิงอัน และก็เย่จี แม้หญิงสาวเหล่านี้จะงดงามล่มบ้านล่มเมือง แต่ล้วนไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันนี่ ทำให้เขายากจะสบายได้ อีกอย่างน้องสาวของข้าผู้นั้นก็มีนิสัยแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้มีอะไรมาขวางลูกตาได้ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นคนที่เขาสามารถมองได้ แต่แตะต้องไม่ได้ ยังมีฮว๋ายชิ่ง นิสัยเผด็จการอย่างเจ้าหมายเลขหนึ่งนั่น จะยอมใช้สามีร่วมกับสตรีนางอื่นหรือ ในทางกลับกัน แม้ข้าจะรับมือกับหญิงงามรู้ใจเหล่านั้นจนหัวร้างข้างแตก แต่พวกนางล้วนอยากให้กำเนิดลูกข้าอย่างสุดจิตสุดใจ”
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงสีหน้าเวทนาอีกครั้ง และกล่าวว่า
“ข้ายังนัดสวี่หนิงเยี่ยนมาด้วย…”
เทพบุตรกล่าวอย่างไม่ถือสา
“ดังนั้น?”
ฉู่หยวนเจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้ามีสิ่งของอยู่ชิ้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรมอบให้เขาหรือเปล่า อืม เดิมทีฝ่าบาทฮว๋ายชิ่งวางแผนจะพลีชีพเพื่อบ้านเมือง ต้านทานเทพพ่อมด ตอนพบเจอกับข้าตรงชายแดนนั้น นางได้มอบจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่ง ให้ข้ามอบให้กับสวี่หนิงเยี่ยน ต่อมาเจ้าสำนักศึกษาจ้าวได้สละตนแทนฝ่าบาทเพื่อพิทักษ์บ้านเมืองไว้ นางจึงลืมเอาของสิ่งนี้คืน”
‘นี่ไม่ใช่จดหมายสั่งเสียก่อนตายหรือ ทั้งยังระบุชื่อชัดว่ามอบให้กับเจ้าสุนัขสวี่หนิงเยี่ยนด้วยหรือ’ เทพบุตรตาเป็นประกาย เขาลดเสียงลงก่อนกล่าว
“ในจดหมายเขียนอะไรไว้”
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้า
“แอบดูของส่วนตัวของผู้อื่น ไม่ใช่สิ่งที่วิญญูชนควรกระทำ”
ขณะที่พูดเขาก็ควักจดหมายออกจากอก และวางไว้บนโต๊ะ
“รอสวี่หนิงเยี่ยนมาแล้ว ข้าจะมอบให้เขา”
ตอนแรกเขามีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น และแอบตื่นเต้น ขณะที่อ่านอยู่ดีๆ สีหน้าก็ค่อยๆ ชะงักงัน อ่านอยู่ดีๆ ก็รู้สึกโกรธเคือง ไม่พอใจ และข่มสีหน้าเจ็บปวดราวกับทำหินตกใส่เท้าตนเอง
“ทำไมข้าถึงต้องอ่านมัน น่าชิงชัง เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนช่างน่าชิงชังยิ่งนัก เทพบุตรอย่างข้าไม่เคยเห็นบุรุษที่แล้งน้ำใจ เจ้าชู้ประดูดินมักมากในกามเช่นนี้มาก่อน ยากที่จะยอมรับได้”
หลี่หลิงซู่วางจดหมายลงด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ
นั่นเป็นถึงจักรพรรดินีผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ประมุขแห่งแคว้นเชียวนะ
สตรีเช่นนี้ต่อให้จะมีรูปลักษณ์ธรรมดา ก็เลิศล้ำกว่ายอดพธูแห่งยุค
และฮว๋ายชิ่งก็เป็นยอดสตรีที่มีสติปัญญาและความงามเป็นเลิศรวมอยู่ด้วยกัน
หลี่หลิงซู่ที่เป็นคนเจ้าชู้เหมือนกัน นึกถึงความหวาดกลัวและความอัปยศอดสูที่ถูก ‘สวีเชียน’ ครอบงำอีกครั้ง
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ละสายตาไปไหน เขากวาดสายตาดูจดหมายอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็รู้ว่า ‘ชู้รัก’ ระหว่างฮว๋ายชิ่งกับสวี่ชีอันมันเสียดแทงใจของเทพบุตร
เขาอิจฉาแล้ว
‘เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะหยางเชียนฮ่วนอยู่เลย…’ ฉู่หยวนเจิ่นเก็บจดหมายเงียบๆ หลังจากพับเรียบร้อยแล้วก็ใส่เข้าไปในอก
“ข้าเปลี่ยนใจกะทันหันแล้ว เรื่องจดหมาย อีกประเดี๋ยวรายงานฝ่าบาทก่อน ให้พระองค์ตัดสินพระทัยเอาเองเถิด พี่หลี่ พวกเราก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”
ในเมื่อเป็น ‘จดหมายรัก’ ที่ระบายความในใจย่อมไม่อาจมอบให้สวี่ชีอันได้ ด้วยนิสัยของฮว๋ายชิ่งต้องไม่อยากให้จดหมายฉบับนี้ตกอยู่ในมือของสวี่ชีอัน
หากเขามอบจดหมายออกไป บางทีอาจเป็นเพราะก้าวเท้าซ้ายออกจากประตูก่อน อาจถูกฮว๋ายชิ่งสั่งประหารภายในไม่กี่วัน
ที่ฉู่หยวนเจิ่นนำจดหมายออกมาต่อหน้าหลี่หลิงซู่ก็เพราะอยากสอดแนมเนื้อหาในจดหมายผ่านเขา
ส่วนการกระทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่นั้น ฉู่หยวนเจิ่นคิดว่าการที่หลี่หลิงซู่แอบดูเรื่องส่วนตัวนั้น มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขายังคงเป็นวิญญูชนคนหนึ่งอยู่
“แน่นอน! เรื่องนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไป”
หลี่หลิงซู่ตอบรับในทันที แต่ในใจกลับคิดจะแพร่งพรายเรื่องชู้สาวของสุนัขทั้งสองให้ราชครู เมี่ยวเจิน หลินอัน และเทพบุปผาได้รับรู้
เขาต้องการให้สวี่ชีอันจ่ายค่าตอบแทนให้กับความเจ้าชู้ของตนเอง
ส่วนการกระทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่นั้น หลี่หลิงซู่คิดว่าคนที่ไม่รักษา ‘จดหมายสั่งเสียก่อนตาย’ ให้ดีๆ คือฉู่หยวนเจิ่น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
“เอ๊ะ เทพบุตรกลับเมื่อหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ขณะนี้น้ำเสียงคุ้นเคยดังมาจากทางขึ้นบันได ทั้งสองหันไปทันที บุรุษหน้าตาธรรมดาสวมชุดสีเขียวกำลังเดินขึ้นบันได บนบ่ามีเด็กผู้หญิงทำผมทรงก้อนซาลาเปานั่งอยู่
ขาทั้งสองห้อยลงตรงหน้าอกของชายผู้นี้ เท้าเล็กๆ สวมรองเท้าสีขาวปักลวดลาย
เด็กหญิงใบหน้าอิ่มเอิบ ดวงตาทั้งคู่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ทำให้นางดูโง่เขลา
และรูปร่างหน้าตาของชายผู้นั้นก็คือ ‘สวีเชียน’
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่หลิงซู่ต่างก็พยักหน้า
เหตุใดเทพบุตรถึงมีสีหน้าไม่พอใจ…สวี่ชีอันนั่งลงข้างโต๊ะแล้วค่อยวางเสี่ยวโต้วติงลง จากนั้นก็เข้าสู่สภาวะก้มหน้าก้มตากินอย่างเงียบๆ
“อีกสามวันให้หลัง ฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองคุณูปการในวัง ถือโอกาสมอบรางวัลคุณูปการด้วย พวกเจ้าทั้งสองต้องเข้าร่วมนะ”
ขณะที่พูดสวี่ชีอันก็มองไปที่เทพบุตร “ต่อไปจะไปท่องยุทธภพหรือคลุกคลีอยู่ในเมืองหลวงกับข้า”
หลี่หลิงซู่มองเขาทีหนึ่งแล้วพูดหัวเราะเยาะ
“ข้าจำเป็นต้องคลุกคลีกับเจ้าด้วยหรือ เทพบุตรอย่างข้าดีเลวอย่างไรก็เป็นคนที่มีคุณูปการคุ้มหัว สามารถเสพสุขความเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยได้ไม่สิ้นสุด”
สวี่ชีอันกล่าวเรียบๆ
“ก่อนมาข้าได้หารือกับฝ่าบาทแล้ว เดิมทีจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ให้กับเจ้า และช่วยเจ้าเปิดอารามเต๋าในเมืองหลวง เปิดรับศิษย์อย่างกว้างขวาง มุ่งบำเพ็ญศาสตร์แห่งการร่วมรักในห้องหอโดยเฉพาะ ในเมื่อเจ้าไม่ยินดี เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
หลี่หลิงซู่เปลี่ยนน้ำเสียงในทันที “พี่ใหญ่ผู้สูงส่ง ได้โปรดรับการคารวะจากน้องชายด้วย”
เคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่สามารถแก้ปัญหากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเรื่องเงินทองที่หมดไปยากจะกลับคืนมาของเขาได้ และการก่อตั้งอารามเต๋าเป็นเรื่องใฝ่ฝันของนักบวชเต๋าแต่ละคน
สวี่ชีอันมองไปที่ฉู่หยวนเจิ่นอีกครั้ง
“เรียกข้ามามีเรื่องอันใด”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“กินเนื้อดื่มสุรา”
ขณะที่พูดเขาก็ยกตะเกียบจะคีบกับแกล้ม แต่ค้นพบว่าถูกสวี่หลิงอินกินหมดเกลี้ยงแล้ว
“ความจุในการรับประทานอาหารของน้องสาวท่านเพิ่มขึ้นอีกแล้ว…” เขาวางตะเกียบเงียบๆ
…
สามวันต่อมา
จักรพรรดินีจัดงานเลี้ยงบรรดาขุนนางที่ตำหนักเซวียนเต๋อ เชิญบรรดาศักดิ์ระดับอ๋อง ระดับกง ขุนนางฝ่ายบุ๋น และขุนพลมาร่วมงานเลี้ยง เฉลิมฉลองที่ต้าฟ่งผ่านมหาเคราะห์อย่างราบรื่น และเกิดสันติภาพทั่วทุกหนแห่ง
เมื่อถึงเวลา ร้อยขุนนางบุ๋นบู๊ทยอยกันมาร่วมงาน
เว่ยเยวียนพาหยางเยี่ยนและหนานกงเชี่ยนโหรวบุตรบุญธรรมสองคนมาร่วมงานด้วย เขามองโต๊ะหลักอยู่ครู่หนึ่ง มีจักรพรรดินีฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดจักรพรรดินั่งอยู่ตำแหน่งทางด้านตะวันออก ส่วนทางซ้ายคือสวี่หนิงเยี่ยน
ส่วนข้างกายสวี่ชีอันก็คือสวี่หลิงอินที่โผล่มาแค่หัว
เว่ยเยวียนลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปอีกด้านอย่างเงียบๆ หลีกเลี่ยงโต๊ะหลัก
“ท่านพ่อบุญธรรม?”
หนานกงเชี่ยนโหรวแสดงสีหน้าสับสน
ตำแหน่งทางด้านขวาของจักรพรรดินีเป็นของเว่ยเยวียน
“กินข้าวเฉยๆ นั่งที่ไหนก็เหมือนกัน”
เว่ยเยวียนกล่าวเรียบๆ จากนั้นก็พาบุตรบุญธรรมทั้งสองไปนั่งโต๊ะที่อยู่ข้างๆ
หลังจากทางด้านนี้นั่งลง ก็มีคนอีกกลุ่มรุดเข้ามา ผู้นำคือจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินที่บุคลิกองอาจห้าวหาญ สวมชุดนักบวชเต๋า ด้านหลังเป็นฉู่หยวนเจิ่น อาซูหลัว และสมาชิกพรรคฟ้าดินคนอื่นๆ
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองสวี่ชีอันทีหนึ่ง จากนั้นนางก็นั่งลงตรงโต๊ะหลักอย่างสบายๆ พอหันหน้าก็ค้นพบว่าฉู่หยวนเจิ่นกับลูกพี่สามสี่คนเดินไปโต๊ะอื่นอย่างเงียบๆ แล้ว
พอเห็นฉากนี้ ใจของหนานกงเชี่ยนโหรวก็สั่นไหว นึกถึงสภาพเวทนาในงานสมรสใหญ่ของสวี่ชีอันกับองค์หญิงหลินอันในวันนั้น จู่ๆ เขาก็เข้าใจเจตนาดีของพ่อบุญธรรม
พ่อบุญธรรมจะดูละครอีกแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ขณะนี้แสงสีทองลำหนึ่งพุ่งเข้ามา และกลายร่างเป็นเซียนสาวงดงาม
ท่านราชครูมาแล้ว
ลั่วอวี้เหิงที่สวมชุดขนวิหคกระพือปีก หิ้วเสี่ยวโต้วติงไปวางด้านข้างเงียบๆ และตัวเองก็ไปนั่งด้านข้างสวี่ชีอันแทน
อีกด้านหนึ่ง อารองสวี่พาสมาชิกในครอบครัวเข้ามาอย่างระมัดระวัง ด้านหลังมีอาสะใภ้ เอ้อร์หลาง หลินอัน มู่หนานจือ และสวี่หลิงเยวี่ยตามลำดับ
“อะแฮ่ม!”
สวี่เอ้อร์หลางกระแอมไอแล้วกล่าวเบาๆ
“ท่านพ่อ ตามข้ามา…”
จากนั้นก็พาบิดาไปที่โต๊ะของหวางเจินเหวิน แต่หลินอัน มู่หนานจือ และสวี่หลิงเยวี่ยถือโอกาสนั่งที่โต๊ะหลัก
ตามมาด้วยบรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ หลงถูพาคนในเผ่ามาร่วมงานเลี้ยงหลายร้อยคน แต่ถูกกองทหารต้องห้ามขัดขวางไว้นอกประตูวัง สุดท้ายจึงพาเข้ามาได้แค่บุตรสาวสองคน ซึ่งก็คือลี่น่ากับโม่ซาง
นางข้าหลวงและบรรดาขันทีถือสุราอาหารเดินไปมาระหว่างที่นั่งต่างๆ ห่างออกไปค่อนข้างไกล นางรำของสำนักสังคีตก็ร่ายรำเพิ่มความบันเทิง เสียงเครื่องดนตรีดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ท่านพ่อบุญธรรม!”
เสี่ยวโต้วติงที่ถูกแย่งที่นั่งเห็นลี่น่ากับหลงถูเข้ามาก็รู้สึกเหมือนหาพวกเจอแล้ว นางวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ
หลงถูลูบศีรษะเสี่ยวโต้วติง หลังจากกวาดสายตาดูแล้วก็เดินไปทางโต๊ะบรรดาผู้นำเผ่าพันธุ์กู่
เงา ป๋าจี้และคนอื่นๆ แสดงสีหน้ารังเกียจทันที
ลี่น่ามองดูตำแหน่งของผู้นำเผ่าพันธุ์กู่และสมาชิกพรรคฟ้าดินอยู่ครู่หนึ่งก็ละสายตากลับมา นางไม่ได้ไปทางนั้น แต่กลับจูงเสี่ยวโต้วติงเดินไปทางโต๊ะของหลิวหง จางสิงอิง และขุนนางฝ่ายบุ๋นคนอื่นๆ
นางลูบศีรษะเสี่ยวโต้วติง จู่ๆ เสี่ยวโต้วติงก็รู้สึกมันสมองปราดเปรื่องเมื่อมีโชคเข้ามา นางแสดงไหวพริบออกมามากกว่าเดิม และกล่าวอย่างน่าเอ็นดู
“ข้านั่งที่นี่ได้หรือไม่”
ใครจะกล้าปฏิเสธน้องสาวของสวี่หนิงเยี่ยนล่ะ
จางสิงอิงลูบเคราและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหนูน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้าหรือ มานั่งข้างๆ คนแก่อย่างข้าเถอะ”
หลิวหงหันมองไปรอบๆ แล้วพูดหยอกล้อ
“โชคดีที่วันนี้ท่านมหาราชครูไม่มา”
ขุนนางฝ่ายบุ๋นในงานเลี้ยงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
น้องสาวที่มีชื่อเสียงเรื่องความโง่เขลาของสวี่หนิงเนี่ยนผู้นี้ มีชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วเมืองหลวงและวงราชการ อาจารย์ในสำนักอวิ๋นลู่อับจนหนทาง เพื่อที่จะก่อปัญญาให้นาง มหาราชครูเกือบจะเป็นบ้าไปแล้ว
เสี่ยวโต้วติงกระโดดขึ้นบนเก้าอี้กลมๆ และเริ่มกินโดยไม่พูดไม่จา
พอมีคนเริ่ม ปราชญ์มหาสำนักเฉียนชิงซูโพล่งปากพูดคล้อยตาม
“ข้าไม่เชื่อไสยศาสตร์ ที่คุณหนูสกุลสวี่ไม่ก่อปัญญาเป็นเพราะไม่ได้พบเจอกับข้า”
จางสิงอิงยิ้มแบบฝืนๆ
“ไม่จำเป็นต้องให้ปราชญ์มหาสำนักเฉียนลงมือหรอก ข้าเจียดเวลาจากงานสักสองสามวัน ก็ก่อปัญญาให้เจ้าหนูน้อยได้อย่างราบรื่นแล้ว”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงจิบสุราไปหนึ่งอึก และถือโอกาสคีบกับแกล้มในขณะพูด
“ได้ยินมาว่าคุณหนูตระกูลสวี่มีพรสวรรค์ทางด้านการบำเพ็ญเป็นพิเศษ…”
เขาอึ้งไปทันที ตะเกียบส่งเสียงดังติ๊งๆ บนจาน
กับแกล้มล่ะ
กับแกล้มถูกกินหมดเกลี้ยงแล้ว
สวี่หลิงอินกับลี่น่าเดินไปโต๊ะต่อไปอย่างเงียบๆ
พวกนางจงใจเลือกที่นั่งของขุนนางฝ่ายบุ๋นโดยเฉพาะ เจ้าหนูน้อยทั้งสองหลีกเลี่ยงอย่างชาญฉลาด โดยหลีกเลี่ยงโต๊ะที่มีจอมยุทธ์นั่งอยู่
หลิวหงมองไปยังถ้วยชามที่ถูกวางระเกะระกะเต็มโต๊ะ ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงพูดออกมาอย่างอัดอั้น
“ใครบอกว่านางโง่เขลากัน”
…
อีกด้านหนึ่ง หลวนอวี้ที่สวมชุดสวยสดงดงามพริ้งพราวไปด้วยเสน่ห์ก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปที่โต๊ะหลัก
………………………………………
……….