ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - [ภาค 6 เทพยุทธ์แห่งยุค] บทที่ 792 มารดาผู้ให้กำเนิด
สายลมฤดูใบไม้ผลิอันบริสุทธิ์พัดโชยเข้ามายังห้องน้ำชา ชายหนุ่มทั้งสองนั่งตัวตรงประจันหน้ากัน โดยมีโต๊ะชาสี่เหลี่ยมกั้นกลาง
“ฮึ…”
เว่ยเยวียนเป่าไอร้อนที่ลอยขึ้นจากถ้วยเบาๆ จิบน้ำชาสีใสด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม
“รสหวานอันหอมกรุ่น หลงเหลือกลิ่นกระจายทั่วปาก นึกไม่ถึงว่าชีวิตนี้ยังได้ดื่มใบชาของเทพดอกไม้ คุ้มค่าแล้ว”
ความคุ้มค่าในชีวิตนี้ของเจ้าราคาถูกเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันตำหนิในใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“รู้ว่าเว่ยกงชอบดื่มชา จึงตั้งใจใส่ความกตัญญูลงไปเป็นพิเศษ”
อันที่จริงเป็นชาเก่าที่มู่หนานจือเหลือเอาไว้ในอดีต
เว่ยเยวียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วทอดถอนใจ
“ผู้นำมวลบุปผา งามสง่าหาใครเทียบ มู่หนานจือเป็นสาวงามเลิศล้ำไม่มีผู้ใดทัดเทียม ติดตามเจ้าอย่างไร้ตัวตน นับว่าไม่เป็นธรรมกับนาง ปัจจุบันลั่วอวี้เหิงเป็นเซียนครองพิภพ นางยอมให้เจ้าแต่งงานกับองค์หญิงหลินอันหรือ”
สวี่ชีอันคาดไม่ถึงว่าสิ่งแรกที่ทั้งสองพบหน้ากัน เขาจะสนใจเรื่องสำคัญในชีวิตของตนด้วย
เขาทอดถอนใจ
“เรื่องยุ่งยากมากทีเดียว พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็ปวดหัว เว่ยกงมีอะไรชี้แนะหรือไม่”
…เว่ยเยวียนวางถ้วยชาในมือ แล้วมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เอ่อ นี่…สวี่ชีอันรู้ทันทีว่าคำพูดของตนไม่เหมาะสม ขณะที่กำลังจะทำเสียงแหะๆ แล้วพาเข้าประเด็นก็ได้ยินเว่ยเยวียนเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ความสมดุลอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่ง”
สวี่ชีอันครุ่นคิดบางอย่าง
เว่ยเยวียนวางสองมือลงบนโต๊ะ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“ฝ่าบาททรงเล่าเรื่องหลังจากที่ข้าตายให้ฟังอย่างละเอียดแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก”
สวี่ชีอันเปิดปากกำลังจะถ่อมตัว เว่ยเยวียนก็ยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ย
“ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่า ขณะที่เจ้าอยู่ขั้นสี่จะต้านกองทัพทหารสำนักพ่อมดสองแสนนายเพียงลำพังด้วยดาบหนึ่งเล่ม เห็นว่าได้เลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไม่ใช่เพราะโชคแต่เป็นคุณสมบัติของชาวสวรรค์”
นี่ท่านกำลังตอบโต้ที่ข้าพูดผิดไปเมื่อครู่สินะ ตอนนี้ท่านก็อยู่ในร่างสมบูรณ์แบบแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ แล้วเอ่ยอึกอัก
“แค่ข่าวลือแพร่ไปทั่ว”
เขาไม่เอ่ยอะไรอีกพร้อมประคองถ้วยชาขึ้นจิบ บ่งบอกว่าเว่ยเยวียนตัดประเด็นนี้แล้ว
“เหล่าท่านทั้งหลายในท้องพระโรงกำลังถกเถียงว่าจะจัดการอวิ๋นโจวอย่างไรดี เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” เว่ยเยวียนเอ่ยถาม
“ข้าไม่สนใจเรื่องการปกครอง” สวี่ชีอันออกตัวก่อน แล้วเอ่ยตาม
“ทหารชุดเกราะทุกคนต่างถูกสักหน้าและเนรเทศ ขุนนางอวิ๋นโจวและตระกูลผู้ดีของเสนาบดีเล็กที่สนับสนุนกองทัพกบฏทั้งหมดต่างก็ถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์”
นี่ไม่ใช่ความเห็นของเขา แต่เขาคาดเดาตามที่รู้จักฮว๋ายชิ่ง
ถูกสักหน้าและเนรเทศเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติเป็นปกติ สำหรับขุนนางและตระกูลผู้ดีของเสนาบดีเล็กก็ใช้ชื่อของเศรษฐีบ้านนอกได้พอดี ชิงทรัพย์สินและที่นาของพวกเขามาปลอบขวัญประชาชน คลี่คลายปัญหาขาดแคลนเงินและอาหารของราชสำนัก
หลังจากพูดคุยกันสักพัก เว่ยเยวียนก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากข้าตาย วิญญาณกลับไปที่ใด”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ขณะที่ออกศึกในวันนั้น จ้าวโส่วจ่ายค่าตอบแทนจำนวนมากเพื่อให้ข้าได้รับปราณชีวิต หลังจากที่ข้าตาย ดาบสลักและมงกุฎขงจื๊อจะพาวิญญาณของข้ากลับ แต่พากลับได้เพียงเศษวิญญาณ” เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างอับจน “เทพพ่อมดพรากสองวิญญาณฟ้าดินของข้าไป แล้วผนึกอยู่ในรูปปั้นหิน ประเมินระดับสุดยอดต่ำไปอยู่ดี แม้เขาจะทำได้เพียงแทรกพลังส่วนหนึ่งออกมา”
ในใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง
เว่ยเยวียนปรายตามอง พยักหน้าพร้อมเอ่ย
“ถูกต้อง หลังจากวิญญาณของข้าหวนกลับ พลังปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คลายลงอีกครั้ง เทพพ่อมดก็เริ่มโจมตีผนึกอีก ข้าเสริมความแข็งแกร่งให้ผนึก ข้าผสานรวมกับพลังปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ เทพพ่อมดจึงจับวิญญาณของข้า คิดจะใช้ประโยชน์จากข้าเปิดช่องให้เขา”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันขมวดคิ้วเป็นปม เขาก็อธิบาย
“นอกจากนี้ ฝ่าบาททรงเรียกวิญญาณของข้าด้วยตนเอง ทำให้พลังปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คลายลง ทั่วทั้งใต้หล้า นอกจากเจ้าที่งัดกับผนึกของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ได้ก็มีเพียงนางผู้เดียว”
พ่อมดพยากรณ์ได้ ไม่ใช่ว่าเทพพ่อมดรู้อยู่แล้วว่าข้าชุบชีวิตเว่ยเยวียนได้หรอกหรือ สวี่ชีอันคาดไม่ถึงว่าการเรียกวิญญาณของเว่ยเยวียนจะมีผลสืบเนื่องมหาศาลเช่นนี้
เทพพ่อมดเป็นหนึ่งในสามระดับสุดยอดในโลก พลังไร้เทียมทาน หากพระองค์สลัดหลุดจากผนึก นี่ก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ช้าก่อน! เขาใจเต้นแรง พร้อมเอ่ยพึมพำ
“ในเมื่อการเรียกวิญญาณของเว่ยกงทำให้ผนึกของเทพพ่อมดคลายลง เช่นนั้นท่านโหราจารย์เห็นด้วยกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“อย่าถามข้าไปเสียทุกอย่าง ลองคิดเองบ้าง” เว่ยเยวียนปรายตามองเขา “ตอนนี้เจ้าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของต้าฟ่งอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะพลังต่อสู้หรือชื่อเสียงบารมีก็นำหน้าข้ากับท่านโหราจารย์ไปแล้ว”
“ข้าก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ป่าเถื่อนคนหนึ่งเท่านั้น” สวี่ชีอันทบทวนตนเอง เวลาที่มีเว่ยเยวียนอยู่ เขามักจะขี้เกียจใช้สมอง ไม่รู้ก็ถาม
เว่ยเยวียนเอ่ย
“จำ ‘จดหมายลาตาย’ ที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าได้หรือไม่ ข้าเคยบอกเจ้าเอาไว้…”
จะบอกว่าท่านพะวงเรื่องไทเฮาตั้งแต่วัยรุ่นงั้นหรือ สวี่ชีอันเอ่ยถามด้วยใบหน้าสุขุม “จิ่วโจวโหดร้ายกว่าที่ข้าจินตนาการไว้อีกหรือ”
เว่ยเยวียนวางถ้วยชาลงด้วยสีหน้าจริงจัง
“ปลายฤดูร้อนปีที่แล้ว สำนักพ่อมดพยายามแทรกซึมเขตอิทธิพลทางแดนเหนือ ใช้สิ่งนี้เป็นฐานที่ตั้ง แล้วลงใต้ยึดต้าฟ่ง จ้าวโส่วหาข้าพบในเวลานั้น บอกว่าก่อนที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์จะจากไปด้วยโรคชราก็ทิ้งจดหมายเอาไว้ กล่าวว่าตนเป็นคนแห่งโชคชะตา ต้องกำจัดภัยพิบัติให้โลกมนุษย์ เวลานั้นข้าถึงได้รู้ว่า เมื่อหนึ่งพันสองร้อยกว่าปีก่อนปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพเจ้ากู่ เทพพ่อมด และพระพุทธเจ้าอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดสำนักพ่อมดถึงต้องแทรกซึมเขตอิทธิพลของคนเถื่อน พวกเขาอยากจะขยายอาณาเขตและรวบรวมโชคชะตาเพื่อช่วยให้เทพพ่อมดหลุดออกจากผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ หากเทพพ่อมดคลายผนึก ที่ราบลุ่มภาคกลางก็เป็นของที่อยู่ในถุงเก็บของสำนักพ่อมด”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
“ใช่ เทพเจ้ากู่ยังถูกผนึกอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ สถานการณ์ของพระพุทธเจ้าซับซ้อนที่สุด ทว่ามิอาจสลัดหลุดได้เช่นเดียวกัน หากสำนักพ่อมดตีแดนเหนือได้อย่างราบรื่น เทพพ่อมดก็อาจจะหลุดจากผนึกได้เป็นคนแรก”
เมื่อสัมผัสเข้ากับความลับสมัยโบราณมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเว่ยเยวียนถึงต้องผนึกเทพพ่อมดให้ได้แม้จะตายก็ตาม
เมืองจิ้งซานที่ไม่มีช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ตอนนี้เทพพ่อมดเกือบจะพ้นทุกข์ หรือพ้นทุกข์ไปแล้ว
“เว่ยกงรู้เหตุผลที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ผนึกระดับสุดยอดหรือไม่” สวี่ชีอันถาม
เว่ยเยวียนพยักหน้า
“ฝ่าบาทตรัสเหตุผลการสิ้นสุดของเทพมารกับข้าแล้ว รวมถึงไป๋ตี้มุ่งหน้าไปซินเจียงตอนใต้เพื่อสนทนากับเทพเจ้ากู่ ภัยพิบัติที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์หมายถึงน่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของเหล่าเทพมารในตอนนั้นตามคาด”
สวี่ชีอันลูบคาง
“เทพมารตายจากการฆ่าฟันกันเอง นอกจากสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดอย่างเทพเจ้ากู่มีชีวิตรอด โดยพื้นฐานเทพมารก็คงตายไปในสมัยดึกดำบรรพ์แล้ว”
แม้จะเป็นเทพเจ้ากู่ก็เพียงโชคดีรอดตายเท่านั้น
เพราะยังมีเทพมารที่เปรียบได้กับเทพเจ้ากู่ในตอนนั้นอยู่ ความแตกต่างในโชคชะตาระหว่างเหล่าพระองค์กับเทพเจ้ากู่ บางทีเทพเจ้ากู่อาจจะแค่โชคดีเท่านั้น
ไม่ ไม่ใช่เทพเจ้ากู่โชคดี แต่พระองค์มีความสามารถล่วงรู้มุมหนึ่งของอนาคตได้…สวี่ชีอันจับจุดสำคัญที่เทพเจ้ากู่เอาตัวรอดไปได้
เว่ยเยวียนเอ่ย
“ฉะนั้นเจ้าน่าจะรู้ว่าท่านโหราจารย์ไม่เพียงปล่อยให้เจ้าชุบชีวิตข้า แต่กลับเข้าร่วมด้วย”
“ความสมดุลอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่ง” สวี่ชีอันตอบกลับด้วยคำพูดของเว่ยเยวียน
ท่านโหราจารย์คิดเห็นว่าใช้เทพพ่อมดถ่วงดุลพระพุทธเจ้าและเทพเจ้ากู่ อ้างอิงจากการคาดเดานี้คือเทพมารในตอนนั้นตายหมู่จากการฆ่าฟันกันเอง
เว่ยเยวียนทอดถอนใจเอ่ย
“ดังนั้นข้าจึงเดาออกตั้งนานแล้ว การกระทำของสำนักพ่อมดกระตุ้นสำนักพุทธ บีบให้สำนักพุทธผูกพันธมิตรกับกับอวิ๋นโจว สำนักพ่อมดจะนั่งดูเสือกัดกันบนเขาเสียส่วนใหญ่ แทบอยากจะให้ทั้งสามฝ่ายดิ้นรนจนตายกันไปครึ่ง”
ในถุงปักดิ้นที่เขาเหลือให้หนานกงเชี่ยนโหรวเขียนถึงกองทัพอวิ๋นโจวกับภิกษุนักรบของดินแดนประจิมทิศอย่างชัดเจน
“เว่ยกงคาดเดาอะไรจากความจริงที่ว่าเทพมารบรรพกาลฆ่าฟันกันเอง”
ความสงสัยนี้ข้องใจสวี่ชีอันมานาน
“ในจดหมายที่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้ไม่ได้กล่าวถึง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับสวรรค์เสียส่วนใหญ่ จึงมิอาจเปิดเผยได้ ทุกวันนี้คนที่รู้ความลับมีน้อยนับนิ้วได้” เว่ยเยวียนส่ายหน้า
“คนเฝ้าประตูนั่นล่ะ”
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงพิจารณา
เว่ยเยวียนปรายตามองถ้วยชาที่ดื่มหมด สวี่ชีอันเติมให้อย่างรู้ใจ เขาพยักหน้าอย่างพอใจพร้อมเอ่ย
“ในเมื่อเรียกคนเฝ้าประตู เช่นนั้นไม่ว่า ‘ประตู’ จะเป็นอะไร จะต้องไม่ให้เข้าหรือออก เมื่อพิจารณาถึงความลับที่เทพมารสมัยดึกดำบรรพ์ฆ่าฟันกันเอง เจ้าคิดว่าอะไรจะเป็นไปได้มากกว่ากัน”
ไม่ให้ออก...สวี่ชีอันครุ่นคิดบางอย่าง
“กองทัพกบฏอวิ๋นโจวสิ้นสุดแล้ว ประชาชนได้พักฟื้นและใช้ชีวิต ทว่าสงบสุขได้ไม่นาน ภัยพิบัติใหญ่แท้จริงกำลังจะมาเยือน” เว่ยเยวียนถอนใจ
“โชคชะตาเป็นสิ่งที่ระดับสุดยอดต้องช่วงชิง ดินแดนประจิมทิศมีพระพุทธเจ้า ตะวันออกเฉียงเหนือมีเทพพ่อมด เทพเจ้ากู่อยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ มีเพียงแดนเหนือและที่ราบลุ่มภาคกลางไม่มีระดับสุดยอด หากเหล่าพระองค์หลุดออกจากผนึกทั้งหมด ที่ราบลุ่มภาคกลางจะต้องช่วงชิงและจัดการก่อนเป็นคนแรก เลือกบีบแต่ลูกพลับอ่อน หลักการนี้แม้แต่เด็กน้อยยังเข้าใจ หลังจากแบ่งอาหารที่ราบลุ่มภาคกลาง การแข่งขันระหว่างระดับสุดยอดจะเริ่มขึ้นอย่างแท้จริง ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ทว่ายังห่างไกลจากระดับสุดยอดอยู่มาก คิดดีแล้วใช่หรือไม่ว่าจะรับมืออย่างไร”
สวี่ชีอันคิดตามอยู่แล้ว
“จัดดอกไม้ก่อน…อืม คิดเสียก่อนว่าจะก้าวไปสู่เทพยุทธ์ครึ่งขั้นเฉกเช่นเสินซูได้อย่างไร ไม่มีเทพยุทธ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ข้ามิอาจตั้งความหวังที่จะกลายเป็นเทพยุทธ์ได้ ดังนั้นต้องผูกมิตรกับเสินซู เทพยุทธ์ครึ่งขั้นทั้งสองน่าจะพอต้านระดับสุดยอดได้ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่ามีพลังป้องกันตัวแล้ว น่าเสียดายที่ข้าช่วยท่านโหราจารย์ออกมาไม่ได้”
แม้พลังต่อสู้ของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าจะธรรมดาๆ ทว่าท่านโหราจารย์มีความสามารถในการเตรียมการแข็งแกร่งที่สุด สวี่ชีอันจึงยอมเป็นคนลงมือทำให้เขา
เว่ยเยวียนพยักหน้าพร้อมเอ่ย
“วันนี้พอเท่านี้ก่อน จริงสิ เชี่ยนโหรวพาหญิงสาวคนหนึ่งกลับมาจากอวิ๋นโจว เจ้าลองไปดูสิ”
สีหน้าของสวี่ชีอันแปลกไปทันที เงียบชั่วขณะก่อนจะเอ่ย
“ขอรับ!”
…
เขาออกจากหอเฮ่าชี่ หันกลับเขตที่พักที่ทำการด้านหลัง
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแบ่งเป็นสองส่วน ลานหน้าเป็นสถานที่ทำงาน ลานหลังเป็นสถานที่พักผ่อน เหมือนหยางเยี่ยนและคนโสดอย่างหนานกงเชี่ยนโหรวก็อยู่ในที่ทำการปกครองตลอดปี
เขาทะลุผ่านสวนดอกไม้และสนาม มาถึงเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ติดขอบเขตตะวันออกที่สุดตามที่อยู่ที่เว่ยเยวียนให้
สวี่ชีอันทอดมองประตูเรือน ปัญหาอยู่ตรงหน้า ลังเลสักพัก ไม่รู้ว่าเมื่อพบหญิงสาวด้านในแล้ว ตนควรจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไรดี
………………………………………