ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 10
ชายคนนั้นแนะนำชื่อของตัวเองว่าอาบาระโตะ เขาบอกว่าเขามาที่โลกเบื้องหลังนี่เพื่อตามหาภรรยาของเขาที่หายไปอย่างปริศนา
“ขอโทษที ฉันหาเมียฉันมานานแล้ว… พอฉันเห็นทั้ง 2 คน ดูเหมือนจะมองผิดไปว่าเป็นเธอน่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“ค่ะ…”
ฉันตอบกลับไปอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่
จะบอกว่ามองคนผิดไปมันก็เกินไปหรือเปล่าเนี่ย? ไม่รู้สึกแปลกๆ หน่อยเหรอ คุณเห็นภาพหลอนจากพวกเรา 2 คนเป็นภรรยาของเขาเองพร้อมกันเลยนะ
อีกอย่างคือ พอเขาเข้ามาใกล้ขึ้น ก็เลยเพิ่งสังเกตได้เรื่องนึง คือคุณลุงคนนี้ตัวเหม็นจัง
ฉันก็เข้าใจไปเองว่าที่หน้าเขาคล้ำๆ นั่นคงเพราะเขามีผิวสีแทนหรือไม่ก็อะไรแบบนั้น ที่แท้ เขาก็แค่ตัวสกปรกเท่านั้นเองหรอกเหรอเนี่ย ผมทั้งหัวเขาก็ติดกันเป็นก้อนเลยด้วย นึกภาพไม่ออกเลยว่านี่ลุงเขาอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย
“คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วคะ?”
“ครั้งนี้ นี่ก็วันที่ 38 แล้วล่ะ”
คำตอบที่ออกมาอย่างทันทีทันใดของเขาทำเอาฉันอึ้งไปเลย โทริโกะเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เธอเลยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“ใช้เวลาที่นี่มากขนาดนั้นเลย? ไม่กลับบ้านบ้างเหรอ?”
“ก็กลับไปบ้างนะ นานๆ ที เวลาที่ต้องไปเติมเสบียงน่ะ นอกนั้น ฉันก็อยู่ที่นี่ตลอดเลย การต้องกลับไปอยู่ในโลกที่เมียฉันไม่อยู่อีกแล้วเนี่ย มันไม่มีประโยชน์หรอก”
“คุณ… ให้ความสำคัญกับภรรยาของคุณมาตลอดเลยสินะคะ”
ฉันพยายามจะพูดอะไรที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย แล้วก็ฟังแล้วดูไม่ได้มีสาระอะไรสำคัญ แต่กลายเป็นว่า ฉันทำพลาดไปมหันต์เลย คุณอาบาระโตะหันขวับมาจ้องฉันเขม่ง ก่อนจะตอบมาอย่างเดือดดาลเลย
“ไม่ใช่ ‘มาตลอด’! ฉันให้ความสำคัญกับเธออยู่เสมอ! ทั้งตอนนี้! และตลอดไป! มิจิโกะน่ะยังมีชีวิตอยู่! เธอกำลังรอให้ฉันไปช่วยเธออยู่!”
“ข- ขอโทษค่ะ…”
พอเขาเห็นฉันตัวสั่น สีหน้าของคุณอาบาระโตะก็ผ่อนคลายลงนิดหน่อย
“เปล่าหรอก… ขอโทษด้วย ฉัน เลือดขึ้นหน้าไปหน่อย ไปโมโหใส่เธอมันจะได้อะไรขึ้นมากันล่ะ”
ฉันมองไปที่คุณอาบาระโตะแบบยังเครียดๆ อยู่ ผู้ชายคนนี้ ในเวลาสั้นๆ นี่ เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ก่อนจะมาขอโทษทีหลังมา 2 ครั้งแล้วนะ อารมณ์ของเขาไม่มั่นคงเลย ถึงตอนนี้ เขาจะยังไม่ได้เล็งปืนเข้าใส่พวกเราก็จริง แต่ก็ไม่รู้เลยว่าอะไรจะไปทำให้เขาฉุนขาดขึ้นมาอีก
“พวกเรายังเป็นคู่แต่งงานใหม่กันอยู่เลย ถึงจะเริ่มจากการดูตัว แต่พวกเราก็ชอบดูหนังแบบเดียวกัน ในไม่ช้า พวกเราสนิทกันได้…”
จู่ๆ คุณอาบาระโตะก็เล่าเรื่องที่ว่าเขากับภรรยาของเขาอย่างคุณมิจิโกะเจอกันได้ยังไงขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย
“เกือบปีนึงแล้วล่ะที่พวกเราแต่งงานกัน คืนนึงในฤดูร้อน พวกเรากำลังดื่มเบียร์หลังเลิกงาน โดยมีถั่วแระมากินแกล้มด้วย ในตอนที่พวกเรากำลังจะเลือกหนังมาดูด้วยกัน ฉันเดินไปที่ห้องของฉัน ตะโกนถามเมียที่อยู่ในห้องนั่งเล่นว่าเธออยากดูเรื่องอะไร…”
คำพูดของคุณอาบาระโตะก็ขาดช่วงไป
“…ไม่มีเสียงตอบกลับมา พอฉันเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เมียฉันก็หายไปแล้ว มันไม่มีที่ให้ซ่อนอยู่แล้ว ในอพาร์ทเมนท์เล็กๆ ของพวกเราน่ะ ไม่มีวี่แววว่าเธอออกไปข้างนอกเลยด้วยเหมือนกัน แถมที่ฉันออกไปจากห้องนั่น มันอาจจะแค่ 10 วิเอง ตอนนี้ จู่ๆ เมียฉันก็หายไป อย่างไร้ร่องรอย เหลือแค่รอยบุ๋มอุ่นๆ บนเบาะรองนั่งที่เธอนั่งทับอยู่ กับเบียร์แก้วที่ 2 ที่เธอเพิ่งจะเทออกมา”
มันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ ที่เขารื้อฟื้นขึ้นมาแบบนี้ เพราะเสียงของเขาสั่นไปหมดเลย
“ฉันใช้เวลานานมากกว่าจะทำใจกับสถานการณ์นั่นได้ พอฉันยอมรับการหายตัวไปของเธอได้แล้ว ฉันก็ตามหาเธอแทบพลิกแผ่นดินเหมือนคนบ้า แต่ฉันไม่มีร่องรอยอะไรซักอย่าง ไม่รู้ด้วยว่าจะไปหาเธอได้ที่ไหน ฉันคว้าฟางทุกเส้นทุกหนทางเท่าที่จะนึกได้ ฉันปรึกษาแม้แต่กับพวกร่างทรงหรือหมอผี มีคนนึงบอกฉันว่า… มิจิโกะไปเจอกับเทพลักซ่อน (神隠しคามิคาคุชิ) เข้า”
“เทพลักซ่อน…”
โทริโกะพึมพำคำนั้นกับตัวเอง ก่อนจะหันมามองที่ฉันด้วยสายตาสงสัย
เรื่องราวของพวกคนที่หายตัวไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ได้หายากอะไรเลยในนิทานพื้นบ้าน คนญี่ปุ่นสมัยก่อนจะเรียกมันว่า ‘เทพลักซ่อน’ ซึ่งแปลว่า ถูกเทพเจ้าซ่อนเร้นเอาไว้ ผู้คนจะถูกดึงไปยังอีกโลกนึง หรือไม่ก็หลงเข้าไปในอีกโลกนึง แล้วก็ไม่มีทางกลับมาได้อีกเป็นครั้งที่ 2 อย่างในเรื่องของซามุโตะ-โนะ-บาบะ (寒戸の婆 แปลได้ประมาณว่า “หญิงแก่ที่ปากประตู 2 โลก”) ที่อยู่ในนิทานโทโนะ (遠野物語 โทโนะ โมโนกาตาริ) ที่เล่าถึงเด็กสาวที่หายตัวไปสามารถกลับมาได้ครั้งนึง แต่ไม่นานก็หายตัวไปอีกครั้ง แล้วฉันก็เคยได้ยินเรื่องที่ดังอยู่ในช่วงยุค ’70 – ’80 อยู่นะ พวกเรื่องที่โดนดูดเข้าไปใน [มิติที่ 4] หรืออะไรแบบนั้น
ในตอนที่ฉันวิจัยเรื่องพวกนี้อยู่ ในฐานะส่วนนึงของเรื่องที่ฉันสนใจในเรื่องผีที่มีการพบเห็นจริงๆ ประเด็นนึงที่ทำให้ฉันสนใจ ก็คือความรุ่งเรืองของเรื่องเกี่ยวกับการเข้าไปที่ต่างโลก ที่มีอยู่ทั้งในตำนานเมืองและเรื่องเล่าบนอินเตอร์เน็ต แนวๆ แบบ มีใครบางคนได้ก้าวเท้าเข้าไปในที่ที่คล้ายกับโลกที่พวกเขารู้จัก แต่พอมองดูดีๆ แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าเป็นสถานที่ที่แปลกมาก จนทำให้พวกเขาต้องวิ่งหนีออกมาด้วยความหวาดกลัว ― เรื่องแนวๆ นี้ดูเหมือนจะได้รับความนิยมแบบพุ่งทะยานเลยนะ เมื่อ 10 ปีก่อน หรือประมาณนั้น ฉันให้ค่ากับเรื่องพวกนี้ ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า [นิทาน] เลย แต่ตอนนี้ ฉันก็โดนบังคับให้ต้องเชื่อแล้วล่ะว่าเรื่องพวกนี้มันก็มีความจริงอยู่ส่วนนึง
ก็ ฉันก็ไม่เชื่อเรื่องโลกอื่นหรอก ก่อนที่จะได้มาเจอด้วยตัวเองแบบนี้น่ะ…
“แล้ว คุณเชื่อหรือเปล่าคะ?”
ฉันอ้ำๆ อึ้งๆ ถามออกไป ซึ่งคุณอาบาระโตะก็พยักหน้าให้
“จะมองว่า เมียฉันถูกใครบางคนลักพาตัวไป เธอระเหยหายไปเองโดยสมัครใจ หรือเป็นความสับสนทางจิตของฉันเอง ฉันลองมองดูทุกความเป็นไปได้แล้ว แต่ ก็ไม่มีอะไรซักอย่างที่ฟังดูสมเหตุสมผลเลย ถ้าเป็นยังงั้น ฉันก็ถูกบังคับให้คิดแล้วว่า มันมีสาเหตุมาจากเรื่องผิดธรรมชาติแน่ๆ มีใครบางคนลักพาตัวเมียฉันไปจากโลกที่ฉันรู้จัก ฉันสืบเสาะ ในการไล่หาร่องรอยว่าสถานที่ที่เหล่าคนที่ตกเป็นเหยื่อของเทพลักซ่อนจะถูกพาตัวไปที่ไหน ฉันก็ง่วนอยู่กับนิทานปรัมปรา, นิทานพื้นบ้าน หรือตำนานต่างๆ เพื่อจะหาทางติดต่อกับโลกอื่นๆ แม้แต่หมอผีที่ดูไม่น่าไว้ใจ ฉันก็ขอไปฝากตัวเป็นศิษย์ ฉันทั้งอดอาหาร ทั้งนั่งสมาธิใต้น้ำตก ทำมันทุกอย่าง จน ในที่สุด ฉันก็เจอกับโซนจนได้”
คุณอาบาระโตะกางมือทั้ง 2 ข้างออก ทำท่าทางแสดงให้เห็นถึงโลกอื่นที่เขากล่าวถึงที่อยู่รายล้อมพวกเรา
“ทางเข้าของโซน อยู่ที่ศาลเจ้าที่ถูกทิ้งร้างในเมืองชิชิบุ มันมีข่าวลืออยู่ว่า มีพวกวัยรุ่นที่มาลองของที่นี่หายตัวไป ฉันไล่ค้นหาบันทึกเพื่อตรวจสอบความจริงของเรื่องนั้น จนได้ไปเจอกับคนคนนึงที่มีส่วนกับการลองของนั้น และได้ฟังเรื่องเล่าจากเขามา พอฉันได้มาสำรวจที่หน้างานแล้ว พริบตาที่ฉันลอดผ่านประตูโทริอิ ฉันก็เห็นทุ่งหญ้าแห้งที่โบกไหว ยังกับเป็นภาพหลอนอะไรซักอย่าง หลังจากที่ลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง ฉันเลยได้เข้าใจแล้วว่า การเดินลอดผ่านประตูโทริอินั้นในเวลาและองศาที่ตรงเป๊ะๆ ก็จะทำให้ฉันเข้ามาที่ทุ่งหญ้านั้นในโซนได้”
พอได้ฟังเรื่องราวของเขา ฉันก็กลัวขึ้นมาเลย ถึงคุณอาบาระโตะเล่าเรื่องแบบนี้ออกมาแบบเรียบๆ แต่ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่า เขาต้องใช้ทั้งเวลา ทั้งความพยายามไปมากขนาดไหน ในส่วนที่เขาละออกไปช่วงที่เล่าถึงการสืบเสาะข้อมูลของเขาน่ะ
คุณอาบาระโตะกระพริบตาปริบๆ เหมือนเขาได้สติกลับมา ก็มองมาที่พวกเราด้วยสีหน้างงๆ
“จะว่าไปแล้ว… พวกเธอ 2 คนเป็นใครน่ะ? ทำไมถึงมาที่นี่กัน?”
“เหตุผลเดียวกันเลย เพื่อนคนสำคัญของฉันก็หายตัวไปที่นี่เหมือนกัน”
พอโทริโกะตอบไป คุณอาบาระโตะก็พยักหน้าซ้ำๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ น้ำตาเขาเริ่มขึ้นมาคลอเบ้าด้วย
“งั้นเหรอ… สำหรับเธอ คงลำบากแย่เลยสินะ”
คุณอาบาระโตะพุ่งตัวเข้ามา ก่อนจะคว้ามือโทริโกะมาเขย่าๆ ฉันตาเหลือกเลย พอเขาเข้ามาใกล้ โทริโกะก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน หลังจากการจับมืออยู่ฝ่ายเดียวอย่างกระตือรือร้น คุณอาบาระโตะก็หันมาหาฉัน
“เธอเองก็มาหาเพื่อนด้วยกันงั้นสินะ?”
“ฮะ!? เออ…”
ตอนที่ฉันยังงึมงำอยู่ คุณอาบาระโตะก็สรุปเอาเองไปซะแล้ว แถมยังพยักหน้ากับตัวเองอีกรอบนึงด้วย
“ฉันเข้าใจ เข้าใจดีเลยล่ะ พวกเธอคงทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้สินะ ฉันเองก็เหมือนกัน การเสียคนสำคัญของตัวเองไปน่ะ ไม่มีทางที่ใครคนอื่นจะมาเข้าใจได้หรอก มันเจ็บปวด ฉันรู้”
“อึม เออ คือ”
ในตอนที่ฉันไม่รู้แล้วว่าจะตอบอะไรกลับไป ฉันเลยมองกลับไปสบตากับโทริโกะผ่านไหล่ของคุณอาบาระโตะไป ก่อนจะต้องช็อกกับเรื่องที่ว่า โทริโกะเองก็น้ำตาคลอไม่ต่างจากเขาเลย
เดี๋ยวสิ… นี่เธอจะไปเห็นใจเขาด้วยเพื่อ!?
ฉันเกือบจะตะโกนไปหาโทริโกะแล้ว แต่บางที การที่เธอจะเป็นเห็นใจแบบนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องปกติของเธอแล้วก็ได้ เพราะลุงคนนี้ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับโทริโกะเลยนี่นา
ฉัน ไม่เหมือนกับพวกเขาสินะ
ระหว่างที่ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ทำอะไรไม่ถูก คุณอาบาระโตะก็ยื่นข้อเสนอให้โทริโกะ
“พวกเธอ 2 คนดูเหมือนจะยังไม่คุ้นกับโซนเลยนะ ถ้าต้องการ ฉันช่วยพาพวกเธอเดินบนเส้นทางที่ปลอดภัยได้นะ…”
“จะดีเหรอ?”
โทริโกะถาม
“แน่นอน ฉันทนดูพวกเธอ 2 คนเดินเข้าไปเหยียบกลิตช์ต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอกนะ”
“เขาว่างั้นแหละ! โชคดีจังเลยเนอะ โซราโอะ”
โทริโกะหันมาพูดกับฉันด้วยรอยยิ้มสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่ฉันทำได้ ก็แค่พยักหน้ากลับไป