ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 4
“ว่าแล้วเชียว พวกเราน่าจะเปลี่ยนชุดก่อนมาจริงๆ นะเนี่ย”
โทริโกะพูดขึ้นมาระหว่างที่พวกเราเดินไปตามทางเท้า ฉันเห็นด้วยกับเธอเลยนะ วันนี้ พวกเราไม่ได้อยู่ในชุดที่พร้อมออกมาเดินกลางแจ้งแบบนี้เลย ของฉันยังไม่เท่าไหร่ แต่ของโทริโกะนี่ ใส่กระโปรงพริ้วที่ปล่อยขาเธอโล่งๆ เลย
“แล้วเธอจะใส่ชุดนี้มาตั้งแต่แรกทำไมเล่า?”
“ก็ ฉันตั้งใจว่าพวกเราจะมาถึงที่นี่ก่อนอาทิตย์ตกน่ะสิ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะที่นี่น่ะ ถ้าฟ้ามืดแล้วมันน่ากลัวออกหนิ จริงมั้ยล่ะ?”
พอเธอว่ามาแบบนั้น ก็เลยทำให้ฉันนึกขึ้นได้เรื่องนึง ― ฉันไม่เคยค้างคืนในโลกเบื้องหลังเลยซักครั้งนี่นา
“พอตกกลางคืนแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิ”
เธอพูดดักคอฉันเอาไว้ง่ายๆ เลย
“นี่เธอมาที่นี่เป็น 10 ครั้งแล้วไม่ใช่หรือไง? มาแต่ตอนกลางวันทุกครั้งเลยเหรอ?”
“เพราะมีคนบอกไว้ว่าอย่ามีที่นี่ตอนกลางคืนน่ะ”
“ใครบอกเหรอ?”
“เพื่อนน่ะ”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเปล่า”
“ตอนนี้ หายไปแล้ว”
โทริโกะตอบคำถามของฉันแบบถามคำตอบคำโดยไม่หันกลับมาพูดเลย พวกเธอเคยมาที่นี่ด้วยกันงั้นเหรอ? ทำไมตอนนี้คนคนนั้นถึงหายไป?
คนนั้น ใช่คุณซัทสึกิหรือเปล่านะ?
เรื่องนี้กวนใจฉันอยู่พอควรเลย แต่ฉันก็ลังเลที่จะถามไปอีก ฉันมองเห็นหลังตึงๆ ของโทริโกะในขณะที่เธอเดินนำหน้าฉันอยู่ และฉันก็รู้สึกว่าเธอไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่
พวกเราเดินย่ำไปตามทางอย่างเงียบๆ ทางเท้า ― ถ้าไม่มีใครเดินไปเดินมาเลยซักคน ทางเท้านี่ก็ไม่ควรจะมีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่นา เพราะถ้าไม่มีใครมาเดิน ทางเท้านี่ก็ต้องมีหญ้าขึ้นคลุมในเวลาไม่นานไปแล้วล่ะ คงอนุมานได้ว่าฉันเอาสามัญสำนึกจากโลกเบื้องหน้ามาใช้ในโลกเบื้องหลังไม่ได้สินะ
ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส โทริโกะไม่มีเงาทอดลงบนพื้น และมีลมเย็นพัดผ่านทุ่งหญ้ามาเบาๆ
ฉันอยู่ตามลำพังกับคนที่ไม่รู้จัก กำลังยืนอยู่ที่ไหนซักที่
ผู้หญิงในชุดสะบัดพริ้ว เดินอยู่ในทุ่งหญ้าสีเหลืองแห้ง รู้สึกเหมือนฉันเคยเห็นฉากแบบนี้ในโฆษณาซักตัวนึงมาก่อนนะ
…นี่ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย? ที่นี่ที่ไหนกัน?
พอมองดูหลังของโทริโกะที่เดินหน้าต่อไปไม่หันกลับมาเลย ก็เริ่มทำให้รู้สึกเหงาๆ นิดๆ เหมือนกัน
“นี่ โทริโกะ พวกเราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวเอง อะไรทำให้เธอคิดว่าเธอจะเชื่อใจฉันได้ล่ะ?”
โทริโกะตอบโดยไม่หันกลับมา
“อืม ก็ ตรงที่เธอไม่แจ้งตำรวจก็เรื่องนึงนะ”
“หา?”
“เรื่องปืนไง ฉันนึกว่าจะมีตำรวจมาเคาะที่หน้าประตูแล้วซะอีก ทำไมเธอถึงไม่แจ้งเหรอ?”
อย่ามาถามฉันว่าทำไมสิ
“ฉันแค่ไม่อยากยุ่งน่ะ มันก็เท่านั้นเอง”
พอฉันตอบเธอไปตรงๆ โทริโกะก็หันกลับมาอย่างคล่องตัว ก่อนจะชี้นิ้วมาที่ฉัน
“นั่นแหละ เพราะแบบนั้นไงฉันถึงคิดว่าเธอเชื่อใจได้”
“ยังไงล่ะนั่น? ฉันพูดเองมันก็ยังไงๆ อยู่ แต่ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นคุณสมบัติที่เหมาะจะให้เธอเอาไปใช้ในการหาเพื่อนนะ”
“แต่รู้มั้ย? นั่นน่ะ มันเป็นคุณสมบัติที่เหมาะมากในการหาผู้สมรู้ร่วมคิดเลยนะ”
“…”
ฉันคุ้นๆ ว่าเหมือนเคยอ่านเจออะไรแบบนี้ที่ไหนซักที่ เป็นคำพูดของอาชญากรที่เคยติดคุก เวลามีนักโทษหน้าใหม่ถูกขังอยู่ห้องขังเดียวกันกับอาชญากรมืออาชีพ อาชญากรมืออาชีพจะถามคำถามพวกหน้าใหม่เยอะแยะเลย แล้วพอเจ้านั่นออกจากคุกแล้ว ก็จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีไปรีดไถ่เงินจากพวกหน้าใหม่พวกนั้น
นี่คงไม่ได้มองว่าฉันเป็นเหยื่อง่ายๆ เพราะฉันไม่ได้เอาเรื่องของเธอไปแจ้งตำรวจใช่มั้ย?
“รู้รึเปล่า? เขาว่ากันว่าผู้สมรู้ร่วมคิดน่ะเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกแล้วล่ะ”
โทริโกะพูดตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ในขณะที่ยังชี้นิ้วตรงมาที่ฉันอยู่
“ไม่รู้ด้วยหรอก อะ แล้วอีกอย่าง อย่ามีชี้หน้าฉันนะ”
“โอ๊ะ! ขอโทษที”
โทริโกะรีบเก็บนิ้วของตัวเองกลับไป
“ทำให้เธอลำบากใจหรือเปล่า?”
พอเธอถามออกมาเสียงไม่สบายใจแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้จะตอบอะไรเธอกลับไปเลย มันอารมณ์แบบ อย่าพูดอะไรแบบนั้นมาเอาตอนนี้สิ
“ก็ ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ก็แค่…”
“ขอบใจนะ”
โทริโกะพยักหน้าให้ด้วยท่าทางโล่งใจ ก่อนที่เธอจะหมุนตัวหันกลับไปทางข้างหน้าอีกรอบนึง
ท่าทางเมื่อกี้มันอะไรน่ะ? ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นคนสมรู้ร่วมคิดด้วยซะหน่อย
ระหว่างที่ฉันยังทำอะไรไม่ถูกว่าจะตอบอะไรกับเธอไปดี โทริโกะก็ชยับไปอีกหัวข้อสนทนานึงแล้ว
“อ๊ะ จริงด้วยสิ มาคิดๆ ดูแล้ว เจ้าตัว ‘คุเนะคุเนะ’ เนี่ย มันชอบไปโผล่อยู่ที่แบบไหนงั้นเหรอ?”
“หาาา! นี่เธอมาถามเอาป่านนี้เนี่ยนะ? ก็พวกเรากำลังจะไปตรงที่ที่พวกเราเจอกันอยู่ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้น่ะ?”
“ก็ แบบว่า ฉันคิดว่าโซราโอะน่าจะรู้ว่าพวกมันอาศัยอยู่แถวๆ ไหนน่ะสิ?”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจะเรียกว่าอาศัยได้มั้ยนะ แต่ก็ อืมมม…”
ฉันย้อนนึกรายละเอียดเรื่องลึกลับในอินเตอร์เน็ตที่ฉันย้อนกลับไปอ่านมาอีกรอบนึงหลังจากที่กลับออกไปจากโลกเบื้องหลัง มีการพบเจอกับคุเนะคุเนะที่โด่งดังเยอะแยะเลย แต่ทุกเรื่องที่มีเหมือนกันคือ…
“…น่าจะ ตามชนบทนะ? เพราะแบบ เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับคนที่ไปเจอระหว่างเดินทางจากเมืองกลับไปชนบทเนี่ย มีอยู่เยอะเลยล่ะ”
“ชนบทนี่มันก็มีอยู่หลายแบบนะ พอจะเจาะจงกว่านี้ได้หรือเปล่า?”
“ก็อย่างหาดทราย ไม่ก็นาข้าว”
“หืม ว่าแต่พวกมันเป็นตัวอะไรกันแน่นะ?”
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวนะ นั่นมันเรื่องที่ต้องสงสัยก่อนเลยไม่ใช่หรือไง?”
“ก็โซราโอะเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เหรอ?”
“เปล่าซะหน่อย”
“อย่าพูดยังงั้นยังงี้เลยน่า?”
อย่าไร้สาระน่า ไม่ใช่ว่าฉันจะมีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะซะหน่อย
“อืม… ก่อนที่ฉันจะได้เจอโลกเบื้องหลัง ฉันเคยคิดว่าคุเนะคุเนะเป็นเรื่องลึกลับเกี่ยวกับงูซะอีก ชื่อมันฟังแล้วเกี่ยวกับการบิดไปบิดมา แถมยังโผล่มาตามนาข้าวด้วย ในญี่ปุ่น งูก็เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ใช่มั้ยล่ะ? บางเรื่องเล่าของคุเนะคุเนะ มันจะเกี่ยวข้องกับหุ่นไล่กาด้วย น่าสงสัยสุดๆ เลย ดูสิ อย่างคาคะ (かか) ในคาคาชิ (かかし หุ่นไล่กา) ก็หมายถึงงูด้วย มันมาจากคากะ (カガ) ของงูยามะคากาชิ (ヤマカガシ งูคีลแบ็คไทเกอร์) น่ะ แต่ พวกเราก็เจอมันตัวเป็นๆ มาแล้วใช่มั้ยล่ะ คุเนะคุเนะมันไม่เห็นจะมีอะไรคล้ายกับงูเลยซักนิด จะว่าไป เรื่องผีที่เกิดในชนบทเนี่ย มันก็มีอีกเรื่องนึงที่ดังๆ นะ เรื่องท่านฮัชชาคุน่ะ เขาเล่าว่าตัวเองถูกทำร้ายจากผู้หญิงในชุดกระโปรงขาวสูง 240 เซน สมกับชื่อที่แปลว่าสูง 8 ฟุตเลย รายนั่นก็ตัวยาวๆ เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ แถมยังตัวสีขาวแบบเดียวกับคุเนะคุเนะด้วย ฉันเดาว่าทั้ง 2 เรื่องอาจจะเป็นเรื่องเทพงูเหมือนกันก็ได้ เผลอๆ คนแต่งทั้ง 2 เรื่องอาจจะเป็นคนเดียวกันด้วยซ้ำ…”
ฉันพูดเรื่องที่ผุดขึ้นมาในหัวออกมาแบบเรื่อยมาซักพัก ก่อนที่สติตัวเองจะโดนดึงกลับมา
นี่ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย? เผลอพูดเยอะเกินไปแล้ว พอคิดว่าฉันอาจจะไปทำให้เธอจะมองด้วยสายตาแปลกๆ แล้ว จู่ๆ โทริโกะก็หยุดเดินเอาดื้อๆ
“…โซราโอะ”
“ข- ขอโทษ”
พอเธอพูดออกมาเบาๆ ฉันก็เผลอตอบกลับไป
“เปล่า ไม่ใช่ ‘ขอโทษ’ ดูนั่น…”
โทริโกะชี้ไปที่ข้างหน้าของเรา
“ว้าย!”
พอฉันมองดูไปตรงที่เธอชี้ ฉันก็เผลอหลุดกรี๊ดตกใจออกมาแบบไม่ตั้งใจ
ข้างหน้าประมาณ 5 เมตร ฉันเห็นร่างคล้ายๆ มนุษย์นอนขวางทางอยู่ แล้วก็โดนหญ้าบังเอาไว้ พวกเราเลยไม่ทันสังเกตจนเข้าไปใกล้ขนาดนี้แล้ว
แล้วถึงพวกเราเข้ามาใกล้แบบนี้ ร่างนั้นก็ไม่กระดุกกระดิกเลย
ฉันค่อยๆ ประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ดูเหมือนร่างนั้นจะเป็นผู้ชายในเสื้อเชิ้ตขาว ตายแล้ว มั้ง? ส่วนแขนค้างอยู่ในอากาศ งอ แล้วก็กุมเข้าไปที่หน้าของตัวเขาเอง ผิวหนังซีดขาว ตรงข้ามกับส่วนแขน ขาของเขายื่นออกไปนอกทางเดินแบบปล่อยตามยถากรรม ส่วนหน้าของเขาโดนหญ้าบังซะมิดจนมองไม่เห็นเลย
“…ถ้าเข้าไปใกล้ เขาจะไม่ทำอะไรเราใช่มั้ย?”
ฉันเล่นมุกไปนิดหน่อย พยายามจะเอาความตึงเครียดตอนนี้ออกไป แต่ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าทำพลาดไปแล้วทันทีเลย ตอนที่นึกภาพศพนอนแห้งตายลุกกลับมานั่งขึ้นมาในหัวน่ะ
โทริโกะเดินไปข้างหน้าช้าๆ
“จ- จะทำอะไรน่ะ?”
“ก็เข้าไปดูน่ะสิ ทำไมล่ะ?”
เธอค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ศพร่างนั้นอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนมันจะไม่เด้งตัวขึ้นมาขยับแล้วนะ พอฉันระแวงว่าภาพสยดสยองอะไรที่รอฉันอยู่ ฉันก็เลยลองแอบมองเข้าไปในหญ้าเพื่อดูหน้าของร่างนั้นดู
“…อะไรกันเนี่ย?”
ฉันหลุดพูดออกมาด้วยเสียงโทนเดียวเลย
มองหน้าผู้ชายคนนี้ไม่ออกเลยซักนิด นอกจากเรื่องที่เขาเอามือ 2 ข้างปิดหน้าแล้วเนี่ย มันยังมีอะไรซักอย่าง บิดๆ ใสๆ จนมองทะลุได้ ยื่นออกมาตามง่ามนิ้วอย่างรุนแรงจนน่าเหลือเชื่อเลย อะไรซักอย่างนั่น มันยาวขึ้นมา ขาว ใส มีปลายมน บางอันก็มีแตกกิ่งก้านออกมาด้วย แล้วยื่นขึ้นต่อไปอีก ดูเหมือนทั้งเครื่องแก้วที่บอบบาง ทั้งเส้นใยเชื้อราเลย พวกมันโยกไปตามลมที่แหวกมาตามทุ่งหญ้า แล้วก็สะท้อนแสงเป็นประกายด้วย
“ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ไม่ก่อนเลย”
โทริโกะพึมพำออกมากับตัวเองอย่างสับสน
มันประหลาดจนฉันตั้งใจจ้องดูมัน ถึงมันจะแหวะขนาดไหนก็ตาม ถึงส่วนยื่นโปร่งใสที่เหมือนเห็ดงอกออกมาจากศพก็ตาม แต่ดูเหมือนมันไม่ได้งอกออกมาจากผิวหน้าเลย แต่มันโผล่ทะลุผิวหนังออกมาจากในหัวเลย ฟันของเขาที่มองเห็นผ่านริมฝีปากซีดๆ ของเขาก็โปร่งใสด้วย แถมยังมาขบเกี่ยวกันเหมือนพวกตัวต่อที่ซับซ้อนอะไรซักอย่างเลย นี่ถ้ากระดูกในกระโหลกของเขาถูกแยกชิ้นส่วนและพวกมันงอกออกมาแบบสุ่มล่ะก็ มันจะออกมาเป็นแบบนี้เหรอเนี่ย?
แล้วก็เป็นตอนนั้นนี่แหละ ที่ฉันเพิ่งรู้ตัวอะไรที่น่ากลัวมากจนขนลุกด้วย มือของผู้ชายคนนั้นไม่ได้แค่เอามาบังหน้าน่ะสิ มันทิ่มลึกเข้าไปในเบ้าตาเลย
“หือ? กลิ่นอะไรน่ะ?”
โทริโกะทำจมูกฟุดฟิด แล้วอีกแป๊บเดียว ฉันก็ได้กลิ่นเหมือนกัน เป็นกลิ่นคาวปลาแรงๆ โชยมาจากไหนซักที่…
พวกเรา 2 คนหยุดนิ่งไม่ขยับตัวเลยซักนิด แล้วมองกันและกัน พลางกลืนน้ำลายเอื้อก
ลมทั้งหมดหยุดนิ่ง เงียบจนได้ยินเสียงหูอื้อของตัวเองได้เลย
ตอนที่ฉันเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ อะไรบางอย่างไหวๆ สีขาวก็ผุดขึ้นมาตรงหน้าพวกเรา จนเหมือนรูปร่างมนุษย์ที่บิดเบี้ยวอย่างบ้าคลั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับไอร้อนบนถนนในหน้าร้อนเลย
คุเนะคุเนะ… โผล่มาแล้ว
TN: (รูปประกอบเพิ่มอรรถรสจากมังงะเล่ม 1 นะครับ)
บรื๋อ~! ไม่อยากนึกสภาพตามเลย