ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 9
3 วันต่อมา เลย 10 โมงมาแล้วนิดหน่อย ฉันยืนอ่านหนังสืออยู่ที่ชั้น 1 ร้านโชเซน แกรนเด้ในย่านจิมโบโจ รอโทริโกะที่มาถึงช้ากว่าที่นัดอยู่
“ให้รอนานหรือเปล่า?”
“15 นาที”
“ตรงนี้ ควรจะพูดว่า ‘เพิ่งมาถึงเหมือนกัน’ ไม่ใช่หรือไง?”
“นี่เธอคิดว่าเรามาเดตหรืออะไรแบบนั้นรึไงเนี่ย?”
ฉันพูดไปแบบห้วนๆ ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากร่างโดยไม่รอฟังว่าเธอจะตอบว่าอะไร โทริโกะก็เดินตามออกมา ข้างนอกฝนก็ยังตกอยู่เหมือนเดิม แต่พวกเรา 2 คน ไม่มีใครกางร่มกันมาเลย เพราะเราแต่งตัวกันมาแบบไม่ได้สนอยู่แล้วว่าตัวจะเปียกหรือเปล่า ทั้งฉันทั้งโทริโกะใส่ชุดแบบเดียวกับครั้งแรกที่เราเจอกันเลย ของฉันเป็นเสื้อเนื้อผ้าฟลีซยูนิโคล่, กางเกงลายพราง แล้วก็รองเท้าผ้าใบ โทริโกะเป็นเสื้อแจ็กเกตสีเขียวมะกอกกับกางเกงยีนส์ แล้วก็สวมรองเท้าบูทพันข้ออยู่ที่เท้า
“โซราโอะ เอาปืนมาด้วยหรือเปล่า?”
เธอถามมาอย่างง่ายๆ แบบนั้นเลย โชคดีที่แถวนี้ไม่มีใคร หรืออะไรมาได้ยิน แต่ฉันก็ตอบกลับไปด้วยเสียงเล็กๆ อย่างอดไม่ได้อยู่ดี
“…เอามาสิ เผื่อไว้น่ะ”
ฉันซื้อซองปืนมาจากร้านขายของสำหรับเกมเซอร์ไววัล แล้วก็เก็บมาคารอฟเอาไว้ในกระเป๋าข้างเอวของฉัน มันเป็นซองปืนติดขาที่จะห้อยอยู่ตรงต้นขาของฉัน แบบที่เจ้าของร้านแนะนำมาเลย
พวกเราเดินเข้าไปในตึกสูงบางตึกเดิม มุ่งหน้าเข้าไปที่ลิฟต์ ฉันมองดูลำดับการกดปุ่มของโทริโกะ แล้วก็จดโน้ตเอาไว้ : 4, 2, 6, 10, 5 พอเรามาถึงที่ชั้น 5 ก็จะมีหญิงสาวไร้หน้าคนนึงวิ่งพุ่งเข้ามาหาลิฟต์อีกแล้ว มันน่ากลัวมากจนฉันหลับตาปี๋เลย แล้วก็ 1, 3, 8, 2, 7, 10,… ถึงตรงนี้ ตัวเลขบนแผงก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นอะไรซักอย่างที่อ่านไม่ออกแล้ว จากนั้นไม่นาน ลิฟต์ก็จะหยุดที่ชั้นดาดฟ้า ชั้นมืดสนิทแบบที่เราเห็นครั้งก่อนไม่โผล่มาแล้วครั้งนี้
ประตูเปิดออก ลมชื้นๆ ก็ไหลเข้ามา ฉันก้าวออกไปที่ดาดฟ้าเปิดโล่งกับโทริโกะ
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มเลย แต่ฝนก็ไม่ได้ตก พอมองออกไปจากดาดฟ้า ก็เห็นเงาเมฆวิ่งไปตามที่ราบลุ่มๆ ดอนๆ ที่สันเขาไกลๆ นั่นก็มีเมฆที่รูปร่างเป็นเหลี่ยมมุมจนดูแปลก เหมือนสิ่งก่อสร้างที่ก่อขึ้นจากอิฐเลย มันมีฟ้าแลบอยู่ในก้อน แล้วก็สาดฝนเทกระหน่ำลงมาที่พื้นข้างล่าง เป็นปรากฏการณ์ทางสภาพอากาศที่รุนแรงครั้งแรกที่ฉันเห็นเลยแฮะ ตั้งแต่มาที่โลกเบื้องหลังนี่น่ะ แต่ก็แปลกดีที่ไม่มีเสียงฟ้าร้องดังมาถึงที่นี่เลย ทั้งหมดที่ได้ยินก็มีแค่เสียงลมหวิวๆ กับเสียงหญ้าแหวก พอมองไล่ไปถึงตีนเขา ฉันก็เหมือนจะเห็นอะไรซักอย่างรูปร่างดูคล้ายๆ สามเหลี่ยมเคลื่อนไหวไปมาตามกิ่งไม้อยู่แวบนึง แต่มันไกลมากจนฉันดูไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร
พวกเราปีนลงบันไดลิงที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดที่ห้อยตัวอยู่ข้างนอกตัวโครงตึกร้าง ก่อนจะเช็คของติดตัวของพวกเราอีกรอบพอลงมาถึงพื้นแล้ว พอฉันติดซองปืนเข้าที่ต้นขา แล้วรู้สึกถึงน้ำหนักของมาคารอฟที่ถ่วงลงมา ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยนึง ความจริงที่ว่า กระสุนใช้ได้ผลกับคุเนะคุเนะเนี่ย มีส่วนกับความสบายใจที่ว่านั่นเยอะเลยล่ะ เหมือนอย่างที่ผู้พันดัชท์เคยพูดไว้ในพรีเดเตอร์ไง “ถ้ามันเลือดออกได้ เราก็ฆ่ามันได้”… ถึงคุเนะคุเนะมันจะไม่ได้มีเลือดไหลออกมาก็เถอะนะ
TN: หนังเรื่อง [Predator (คนไม่ใช่คน)] ปี 1987 นะครับ ภาคที่ลุงอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์นำแสดงนั่นแหละ
จากประสบการณ์ครั้งก่อน ฉันก็เลยเอาถุงมือมาด้วย; ถุงมือเดินป่าที่ซื้อมาจากแผนกสินค้ากีฬาในห้างเซนบุที่อิเคบุคุโระ
โทริโกะก็สวมถุงมือหนาๆ ที่มีหนังหุ้มอยู่หลังมือด้วย เหมือนเขาจะเรียกว่าถุงมือยุทธวิธี ล่ะมั้ง
พอเตรียมตัวพร้อมแล้ว ฉันก็ยืนขึ้น
“แล้ว? ถ้าเราจะตามหาตัวคุณซัทสึกิ ควรจะไปที่ไหนล่ะ?”
“ฉันไปทางเหนือกับตะวันออกมาบ้างแล้ว แต่ไม่เจอ พอลองไปทางตะวันตก ก็เจอกับโซราโอะพอดี ฉันคิดว่าเธอน่าจากรู้ตรงแถวๆ นั้นมากกว่าฉันนะ ได้เห็นวี่แววของใครบ้างบ้างมั้ยล่ะ?”
“ฉันไม่ได้ใจเย็นพอที่จะมองดูอะไรหรอกนะ ตอนนั้นน่ะ แต่รู้สึกว่าจะมีแต่หนองน้ำสุดลูกหูลูกตาเลยนะ ไงต่อ? ไม่มีที่อื่นแล้วเหรอที่คุณซัทสึกิจะหายตัวไปได้น่ะ?”
“เธอไม่ใช่พวกที่ชอบเล่าว่าตัวเองวางแผนอะไรเอาไว้ซะด้วยสิ…”
คำตอบที่พึ่งพาไม่ได้จนไม่อยากเชื่อนั่น ทำฉันหงุดหงิดสุดๆ ไปเลย
“งั้น ให้ฉันเลือกเลยมั้ยล่ะ? ตอนที่อยู่บนดาดฟ้า ฉันเห็นอะไรคล้ายๆ พวกซากตึกอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ต่อให้เธอไม่อยู่ที่นั่น ก็เอาตรงนั้นเป็นจุดหมายไว้ก่อนก็ได้ ถ้าเกิดเพื่อนเธอบาดเจ็บหรือขยับไม่ได้ เธอก็อาจจะเอาที่แบบนั้นเป็นที่หลบภัยก็ได้มั้ง? ยังไงก็เป็นอาคารที่มีหลังคาบังแดดบังฝนได้ด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
โทริโกะพยักหน้าโดยไม่ได้โต้แย้งอะไร
พอเดินเบี่ยงออกจากทางเท้าที่ตัดผ่านหน้าโครงตึก จากทางตะวันออกไปทางตะวันตก มุ่งหน้าไปทางที่ราบลุ่ม
ตอนมองจากทางด้านบนก็ดูไม่ได้ไกลเท่าไหร่นะ แต่พอลงมาเดินจริงๆ เนี่ย ก็ไม่ได้ใกล้ๆ เลย ซากตึกสีขาวที่เราเห็นอยู่ตรงหน้านั่นไม่ได้ดูใกล้ขึ้นเลย เราเดินไปเรื่อยๆ กันอยู่เงียบๆ แล้วก็มีถกกันเรื่องเข็มทิศบ้างนิดหน่อย บางที เข็มมันก็กระตุกไปมา ไม่ก็หมุนไปทั่วยังกับว่ามันหลงทิศ ก่อนที่สุดท้ายมันก็กลับไปชี้ทางทิศ [เหนือ] ซึ่ง มันก็ดูแปลกดี
“โซราโอะ เธอ อารมณ์เสียหรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่า?”
โทริโกะที่เดินอยู่ข้างหลังฉันถามขึ้นมา
“ฉันไม่ชอบเวลาคนทำอะไรคลุมเครือน่ะ เพราะงั้นถ้ามีอะไรก็บอกมาเลยเถอะนะ”
“ก็เปล่าหนิ แค่รู้สึกขึ้นมาว่าเธอคิดเรื่องนี้น้อยจนน่าตกใจก็แค่นั้นเอง”
“หมายความว่าไงน่ะ?”
“ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะแท้ๆ ว่าช่วยเพื่อนของเธอให้ได้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดเอาไว้เลยนะว่าเธอจะทำยังไงถึงจะช่วยได้น่ะ”
“ถ้าจะพูดยังงั้นก็เถอะ มันก็… ฉันรู้ดีอยู่ในหัวนะว่าเร่งรีบไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่พอคิดว่าซัทสึกิอาจจะกำลังเจอปัญหา ฉันก็ทนนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้น่ะ”
โทริโกะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงลำบากใจ
“ฮืม เป็นห่วงเธอน่าดูเลยนี่”
“เพราะซัทสึกิเป็นเพื่อนคนเดียวของฉันเลยนี่นา”
“อ้อหรอ? งั้น ฉันก็ขอให้ได้เจอเธอเร็วๆ แล้วกัน”
โทริโกะเงียบไปซักพัก ก่อนจะพูดออกมาอีกรอบนึง
“…นี่ โซราโอะ นั่นน่ะไม่ดีเลยนะ”
“หมายถึงอะไร ‘นั่น’ ที่เธอว่าน่ะ?”
“ก็น้ำเสียงที่เหมือนงอนอยู่ของเธอไง! เลิกทำตัวเป็นเด็กสักทีจะได้มั้ย?”
ได้ยินแบบนั้น ฉันก็ฟิวส์ขาดจนหันขวับกลับไปหาเธอเลย
“นั่นน่ะ ฉันต่างหากที่-”
ในตอนที่ฉันกำลังจะโพล่งสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปใส่หน้าเธอ จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายตะโกนมาอย่างดังจนทำเอาฉันตัวแข็งทื่อไปเลย
“หยุด!”
ชายที่ฉันไม่รู้จัก เดินแหวกกอหญ้ามา อยู่ห่างออกไปไม่ถึง 10 เมตร เหนือเสื้อผ้าพรางตัวของเขาก็สวมเสื้อคลุมหนาที่มีใบไม้แห้งเย็บติดเข้าไป แถมยังถือปืนกระบอกเบ้อเร่อแบบที่ฉันเคยเห็นในหนังมาด้วย น่าจะเป็นพวก AK หรืออะไรซักอย่างแบบนั้นล่ะมั้ง ถึงจะไม่ได้อยู่ในท่าพร้อมยิงก็เถอะ ― ปากกระบอกของเขาชี้ลงกับพื้น บนหน้าหมองคล้ำของเขามีตอหนวดตอเคราเต็มไปหมด แถมตาของเขาก็เบิกกว้างจนเห็นประกายแสงสะท้อนออกมาเลย
“อย่าขยับนะ!”
โทริโกะตะโกนไปด้วยเสียงแหลมเสียดหู
พอฉันเหลือบไปมอง ก็เห็นว่าโทริโกะชักปืนออกมา เล็งตรงไปที่ผู้ชายคนนั้นแล้ว ชายคนนั้นหยุดเดิน เอามือทั้ง 2 ข้างออกมาจากปืน AK ก่อนจะหงายฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง เป็นสัญญาณเหมือนกับเป็นการบอกให้โทริโกะหยุดก่อน
“ถ้าเดินเข้ามาอีก พวกเธอจะตายนะ มันมีกลิตช์อยู่”
“กลิตช์? หมายถึงอะไร? จะยังไงก็เถอะ ทิ้งปืนซะ”
“ขอปฏิเสธ นี่ฉันเพิ่งจะช่วยพวกเธอเอาไว้นะ ดูซะ”
ชายคนนั้นลดมือขวาลงมาช้าๆ ล้วงนิ้วของตัวเองไปในกระเป๋าเล็กๆ ที่เหน็บอยู่กับเข็มขัดของเขา ก่อนจะหยิบนอตโลหะอันเล็กๆ ออกมาอันนึง
“ดูให้ดี”
เขาพูดซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะโยนนอตตัวนั้นออกไป มันลอยย้อยมาจนถึงประมาณ 1 เมตรตรงหน้าฉัน
*จื๊ด*
เสียงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน กับประกายแสงสว่างวาบระเบิดออกมา ฉันหลับตาทันที แล้วก็รู้สึกถึงความร้อนที่เข้ามาชนที่หน้าด้วย
พอฉันลืมตาขึ้นมามองแบบไม่มั่นใจ ฉันก็สะอึกไปเลย นอตตัวนั้นลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ เหล็กที่ร้อนแดงสั่นระริกอยู่อีกฟากของลมร้อน
“นี่มัน อะไรน่ะ…?”
โทริโกะกระซิบอยู่ข้างหลังฉัน
จากที่พวกเราเห็น สุดท้าย ตัวนอตถูกเผาจนเกรียม แล้วก็หดลงเรื่อยๆ ดูยังไงมันก็ไม่ใช่ภาพที่เหล็กโดนเผาซักนิด นอตมันไหม้ยังกับไม้ขีดที่ติดไฟเลย ไม่นาน นอตทั้งตัวก็กลายเป็นขี้เถ้าที่มอดแล้ว ก่อนจะร่วงลงมาบนพื้นดินข้างล่าง มีพื้นที่เป็นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 เซนที่ไม่มีหญ้าโตอยู่เลยซักต้น แล้วมันก็มีขี้เถ้าล้อมอยู่รอบวงเลย
ฉันเซจนล้มไปข้างหลัง เลือดไหลออกไปจากหน้าจนซีดเลย นี่ถ้าเกิดฉันก้าวไปข้างหน้าอีกซักก้าว ใครจะรู้ล่ะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น? ในตอนที่ฉันล้มก้นจ้ำเบ้า ก็มีใครบางคนรับตัวฉันเอาไว้อย่างเบามือ ก็เป็นโทริโกะนั่นแหละที่ช่วยประคองตัวฉันเอาไว้
ชายคนนั้นกระชับปืน AK ที่สะพายพาดไหล่ของเขา ก่อนจะเดินแหวกหญ้าตรงเข้ามา
“มันคือโทสเตอร์ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง ถ้าเกิดเหยียบเข้าไปล่ะก็ มันจะปิ้งเธอจนไหม่ไปถึงไขกระดูกเลยล่ะ มันสามารถเปลี่ยนทุกอย่างเป็นขี้เถ้าได้ในพริบตา จะเอามาใช้ประโยชน์ในการปรุงอาหารก็ทำไม่ได้ โซนน่ะ มีกลิตช์อันตรายแบบนี้อยู่เต็มไปหมดนั่นแหละ”
“ก- กลิตช์นี่ คืออะไรเหรอคะ?”
“ความผิดปกติของมิติที่อันตรายมาก กับดักเหนือธรรมชาติ การเดินไปมาในที่ที่ทัศนวิสัยแย่ๆ แบบนี้โดยไม่ยืนยันก่อนว่าตรงหน้ามันมีอะไรอยู่น่ะ มันฆ่าตัวตายชัด-… ชัด…”
ระหว่างกึ่งกลางบทสนทนา คำพูดของผู้ชายคนนั้นก็สะดุดไป จู่ๆ ตาของเขาก็เลื่อนลอย ไม่จับอยู่ที่อะไรซักอย่าง มองไม่ออกเลยว่าเขากำลังมองไปที่อะไรอยู่กันแน่
“ม-… มิจิโกะ?”
“เอ๊ะ?”
ฉันหันมองไปมา เผื่อว่ามีใครอยู่แถวๆ นั้นอีก แต่ทั่วที่ราบนี่ เท่าที่ฉันมองออกไปจนสุดสายตา ก็ไม่มีใครคนอื่นแล้วซักคน โทริโกะเองก็มองดูชายคนนั้นอย่างระแวงเหมือนกัน
“มิจิโกะ? นั่นเธอเหรอ? เธอกลับมาแล้วเหรอ!? ทำไมถึงมีเธอ 2 คนได้…!?”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ขึ้น หน้าตาบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ฉันที่ยังตกใจไม่หาย ก็ล้มลงในตอนที่พยายามจะลุกขึ้นยืน โทริโกะก็ยกปืนขึ้นเล็งอีกรอบ ก่อนจะตะโกนออกไป
“ลุง! ใจเย็นก่อน! ไม่งั้นฉันยิงนะ!”
พอปืนถูกชี้ไปหาเขา ชายคนนั้นก็หยุดเดิน ก่อนที่เขาจะพูดออกมาต่อแบบอ้ำๆ อึ้งๆ
“มิจิโกะ…”
“ใช่มิจิโกะที่ไหนเล่า! ดูดีๆ สิ! ลุง!”
ดูเหมือนสติจะค่อยๆ กลับมาในแววตาของชายคนนั้นแล้ว
“อ่า… โทษทีนะ พวกเธอ 2 คนไม่ใช่มิจิโกะ”
เขาถอนหายใจ พลางสายหัวไปมา
“ฉันสับสนนิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ?”
“ใช่ ช่วยลดปืนก่อนเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้วจริงๆ”
ผู้ชายคนนั้นมีสีหน้าผิดหวังสุดๆ ตรงข้ามกับคำพูดของเขาเลย ฉันคิดว่าเขาอาจจะร้องไห้ออกมาหน่อยๆ เลยก็ได้ พวกเรามองดูเขาเอามือทั้ง 2 ข้างขึ้นมากุมปิดหน้าอย่างเครียดๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาอย่างยาวเลย
โทริโกะรอให้ฉันยืนขึ้นได้ก่อน เธอถึงค่อยลดปืนของเธอลงช้าๆ
TN: พบ ‘ลุงสติไม่ดี’ แล้ว