พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 108 ไม่ยอมกลับจวน
“มีใครรู้จักของชิ้นนี้บ้างหรือไม่” สายตาของเฟิ่งชิงหัวมองไปที่ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น
หนึ่งในห้าคนนั้นมีคนคนหนึ่งที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะสามารถกลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พ้นสายตาของเฟิ่งชิงหัว
“ดูท่าทางแล้ว ของชิ้นนี้ ในบรรดาของพวกท่านน่าจะเคยมีผู้พบเห็นมาบ้างใช่หรือไม่ เช่นนั้นน่าจะรู้จักเจ้าของของมันกระมัง ทำไมรึ ตั้งใจจะปิดบังอย่างนั้นหรือ”
“ก็แค่แหวนนิ้วโป้งหยกก็เท่านั้นเอง มีของคล้ายกันตั้งมาก ไม่เห็นน่าแปลกตรงไหน” เจียงทาวกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก
สิ้นเสียง ตรงหน้าของเขาก็ปรากฏแหวนนิ้วโป้งหยกขึ้น แถมยังมีกลิ่นเหม็นคาวลอยคลุ้งออกมาเข้าจมูก
“แหวะ” เจียงทาวที่เพิ่งจะอาเจียนออกไปเมื่อครู่นี้นั้นวิ่งไปที่กำแพงเพื่ออาเจียนอีกครั้ง
เฟิ่งชิงหัวชูแหวนนิ้วโป้งนั้นไปตรงหน้าทุกคน ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจหรือไม่ก็เอาแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้พลางส่ายหน้า
“ในเมื่อไม่มีใครรู้จัก บางทีแหวนอันนี้อาจจะไม่มีความข้องเกี่ยวกับคดีนี้ก็ได้ แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นของที่มีค่าสูงมากชิ้นหนึ่ง อย่างนั้นข้าจะเป็นคนเก็บเอาไว้เอง” เฟิ่งชิงหัวสบัดมือ แล้วแกล้งตั้งท่าจะเอาแหวนนิ้วโป้งอันนั้นเก็บเข้าหน้าอกเสื้อ
ริมฝีปากของเหยียนหรูชิงกระตุก ตอนแรกเขาตั้งใจจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับไม่เอ่ยอะไรออกมา
เฟิ่งชิงหัวก้าวไปข้างหน้าพลางถือเข็มเงินเอาไว้พร้อมด้าย จากนั้นทุกคนจึงเห็นเข็มเงินเคลื่อนที่จากซ้ายมือไปขวามืออย่างรวมเร็วคล่องแคล่ว ไม่นานนัก บาดแผนที่ถูกแทงเป็นรูเล็กๆก็ถูกเย็บอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงกำจัดคราบเลือดที่อยู่รอบด้านจนไม่เหลือคราบอีก
คนที่เห็นวิธีการลงมือของเขาเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาอีกเลย
แม้แต่เด็กรับใช้ของจ้านถิงเฟิง น้ำเสียงจองหองของเขายังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง “ตอนนี้พวกเราไปกันได้หรือยังขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้วมองไปที่เขา “ไปที่ไหนหรือ หรือว่าทุกคนอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่กลัวหรือว่ากลางดึกจะมีคนมาเคาะประตูหน้าต่างของพวกท่าน โดยเฉพาะผู้ร้ายที่ลงมือทำเรื่องนี้”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกหนาวสันหลังราวกับรู้สึกว่ามีฝ่ามือลูบที่แผ่นหลังของพวกเขาอย่างแผ่วเบา ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสะท้าน
“พอแล้ว! พวกเจ้าจะเอายังไงกันแน่” ในที่สุดฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ไหวจนตะโกนออกมา
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพลางกล่าวว่า “ง่ายมาก ตอนนี้ต้องการความร่วมมือของทุกคนเพื่อหาตัวคนร้ายให้ได้ภายในเร็ววันมากที่สุด ตอนนี้พวกท่านอย่าเพิ่งกลับไปที่ห้องพักของตนเองชั่วคราว รอให้ใต้เท้าสืบค้นเรียบร้อยก่อนว่าไม่มีของต้องสงสัยแล้วค่อยไปเก็บของเพื่อย้ายมาพักอยู่ที่เรือนตะวันออกชั่วคราว นอกจากนั้น……”
เฟิ่งชิงหัวเอียงคอ แล้วหันไปยิ้มให้ทุกคนอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนั้นดูแล้วน่าทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนั้นทุกคนต่างเกิดความคิดเหมือนกันว่า : พูดมาตั้งนาน ทำไมถึงรู้สึกว่าคนร้ายคือเจ้าเองนั่นแหละ
“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนนั่งลงก่อน บนโต๊ะมีกระดาษกับพู่กัน ทุกท่านได้โปรดเขียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทุกท่านขึ้นมาบนเขาแล้วโดยละเอียด หลังจากนั้นพวกเราจะนำมาเปรียบเทียบกันเพื่อดูว่าใครกันที่โกหก” เฟิ่งชิงหัวพาทุกคนไปที่ห้องโถงใหญ่ แต่ละคนนั่งประจำโต๊ะ ห้ามส่งสายตามองกันและกัน โดยมีใต้เท้าเหยียนเป็นคนคอยตรวจสอบ
ส่วนเฟิ่งชิงหัวนั้นก็พาเจ้าพนักงานไปค้นห้องพักของแต่ละตระกูล ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาวจึงกลับมา
เวลานี้ดวงดารากระจ่างฟ้า จันทราสว่างลอยอยู่กลางนภาส่องแสงเย็นๆ ลงมาสาดส่องภูเขาด้านหลังวัดแห่งนี้
ส่วนคำให้การนั้นก็คืบหน้าไปค่อนข้างมากแล้ว เหยียนหรูชิงกำลังทยอยอ่านของแต่ละคน ส่วนบรรดาผู้ต้องสงสัยแต่ละคนล้วนที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าต่างพยายามถ่างตาเอาไว้ด้วยความง่วงที่แทบทนไม่ไหว
เฟิ่งชิงหัวเตรียมจะกล่าวบางอย่าง ทว่ากลับได้ยินพนักงานวิ่งเข้ามารายงานเสียงดังว่า “ใต้เท้า ท่านอ๋องเจ็ดมาที่นี่ขอรับ”
สีหน้าของเหยียนหรูชิงชะงักและกำลังเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อไปต้อนรับ ทว่าจ้านเป่ยเซียวกลับพาหลิวหยิ่งและลูกน้องเดินมาหยุดรออยู่ที่ด้านนอกห้องโถงแล้วด้วยท่าทางมีอำนาจจนไม่มีใครกล้ามองตรงๆ
“ถวายบังคมท่านอ๋อง ท่านอ๋องมาที่นี่ด้วยธุระใดหรือขอรับ” เหยียนหรูชิงกล่าวด้วยสีหน้าสงสัย
ทว่าผ่านไปพักใหญ่กลับไม่ได้ยินคำตอบแต่อย่างใด
เฟิ่งชิงหัวชะโงกหน้าจากด้านหลังของเหยียนหรูชิงเพื่อมองจ้านเป่ยเซียว และบังเอิญสบตาเข้ากับดวงตาอันล้ำลึกที่เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ของเขา
เฟิ่งชิงหัวข้องใจ ทุกอย่างก็ปกติดี ทำไมคนคนนี้ถึงได้โมโหขึ้นมาอีกแล้ว หรือว่าใครทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก?
จ้านเป่ยเซียวมองเห็นนางที่มีสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนั้นก็รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก ตอนแรกเขาเพียงคิดว่านางอยู่ที่จวนเฉยๆ ออกจะน่าเบื่อจึงส่งให้นางมาทำงาน แต่ผู้ใดจะคิดว่านางมาทำงานได้เพียงวันเดียวก็ไม่ยอมกลับจวนเสียแล้ว!
เหยียนหรูชิงก็พอรู้ว่าท่านอ๋องเจ็ดมีนิสัยแปลกประหลาด จึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องประหลาดอะไร เมื่อเห็นเขาไม่ยอมตอบ ตนจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอะไรก็กลับไปเถิด ตอนนี้ข้าน้อยกำลังทำคดีอยู่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด”
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทมาสวดมนต์อยู่บนเขา จึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบ ดูท่าตอนนี้องค์รัชทายาทน่าจะข้องเกี่ยวกับคดีเข้าให้แล้วกระมัง”
จ้านถิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้เมื่อจ้านเป่ยเซียวรู้เรื่องที่เขาอยู่ที่นี่ เขาก็ได้แต่ต้องแสดงตัวออกมา “ขอบคุณเสด็จพี่ที่เป็นห่วงเป็นใย ข้าจำเป็นต้องอยู่บนเขานี้อีกหลายวัน เสด็จพี่น่าจะ……”
“กลิ่นคาวเลือดมาจากที่ไหน” จ้านเป่ยเซียวกล่าวแทรกคำพูดของจ้านถิงเฟิงขึ้นมาแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้องโถง
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ถอยหลังกรูด แม้แต่เหยียนหรูชิงเองก็ยังต้องถอยหลังไปด้านข้างเพราะสายตาของจ้านเป่ยเซียวคู่นั้น ด้วยเหตุนี้เองเฟิ่งชิงหัวจึงจำเป็นต้องก้าวออกไปหาจ้านเป่ยเซียว
เฟิ่งชิงหัวยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ตอนนั้นไม่รู้ว่านางควรทำอย่างไรดี จะทักทายจ้านเป่ยเซียวว่าอย่างไรดี
เรื่องนี้ไม่เคยเรียนมาก่อนด้วย ทำไงดี?
จะแกล้งทำเป็นสนิทกันหรือว่าทำเป็นไม่รู้จักดีนะ ตำแหน่งนี้จ้านเป่ยเซียวก็เป็นคนมอบหมายนางเอง แต่ดูจากท่าทางของเหยียนหรูชิงแล้วคล้ายไม่รู้ว่านางคือใคร
ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดอยู่ว่าจะแสดงออกอย่างไรกับจ้านเป่ยเซียวดี ก็เห็นเขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เจ้าขอทาน บนตัวเจ้ามีอะไร ทำไมเหม็นขนาดนั้น”
เจ้าขอทาน!
เฟิ่งชิงหัวสูดหายใจเข้าลึก ดียิ่ง ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าตัวเองควรจะเป็นใคร
เฟิ่งชิงหัวโยนแหวนนิ้วโป้งไปที่จ้านเป่ยเซียว “ที่ท่านบอกว่ากลิ่นคาว ใช้กลิ่นนี้หรือไม่”
หลิวหยิ่งเข้าไปรับด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยื่นทั้งสองมือไปด้านหน้าจ้านเป่ยเซียว
สัญชาตญาณของจ้านเป่ยเซียวนั้นรุนแรงมาก เขารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วอุดจมูกเอาไว้ จากนั้นจึงหรี่ตาแล้วมองไปที่เฟิ่งชิงหัวอย่างเอาเรื่อง
เฟิงชิงหัวกล่าวอย่างใสซื่อ “ท่านอ๋อง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านถามอยู่หรอกหรือ บนเขาแห่งนี้เกิดคดีขึ้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนล้วนตกเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนแหวนนิ้วโป้งอันนี้เป็นแหวนที่ข้าได้มาจากตัวของผู้เสียชีวิต แต่พวกเขาบอกว่าไม่มีใครเคยเห็น ข้าเลยคิดว่าน่าจะเป็นของที่ไม่มีเจ้าของจึงตั้งใจว่าจะเก็บเอาไว้ ท่านอ๋องมีความรู้กว้างขวางช่วยข้าน้อยตรวจดูหน่อยได้หรือไม่”
ตอนแรกเฟิ่งชิงหัวตั้งใจว่าจะหาคนไปตรวจดูว่าใครคือเจ้าของแหวนวงนี้ ตอนนี้เมื่อจ้านเป่ยเซียวปรากฏตัวแล้ว นางก็ไม่ต้องเปลืองแรงอีกแล้ว
ต่อให้จ้านเป่ยเซียวไม่รู้ แต่คนที่อยู่ตรงนี้ล้วนมาจากตระกูลที่ไม่ธรรมดา หากคิดจะตามสืบย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไร