พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 121 ได้ ข้าพูด
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 121 ได้ ข้าพูด
“ความบริสุทธิ์ของนางยังไงก็ไม่ใช่ข้าที่เป็นผู้ทำลาย ใช่ ตอนนั้นข้าอาจจะตาบอดเคยชอบนาง คิดว่านางก็เป็นนังหนูที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งตอนที่นางถามถึงร่องรอยขององค์รัชทายาทกับข้า ข้าก็จะบอกนางหมด คิดว่านางก็แค่รู้สึกไม่ดีเท่านั้น ดังนั้นก็เลยสืบร่องรอยจากข้าในทางอ้อม ใครจะไปรู้ว่าอันที่จริงแล้วเจตนาเดิมของเขานั้นมิใช่อยู่ที่จุดนี้แต่อยู่ที่จุดอื่น เก็บแหวนหยกขององค์รัชทายาทได้เป็นการส่วนตัว ยังยืมเอาโอกาสนี้เข้าใกล้องค์รัชทายาทอีก” ตอนที่สวีกว่างพูดประโยคนี้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีผลกระทบอย่างแรงต่อเขามาก
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น: “งั้นเหตุใดเจ้าจะต้องให้นางแสร้งทำเป็นฆ่าตัวตาย?”
“เป็นเพราะว่าแหวนหยกวงนั้น ในตอนที่ข้าได้รู้ธาตุแท้ของนางนั้น ข้าก็เลยขอสิ่งนั้นจากนางดีๆ แต่ว่านางกลับไม่ให้ อีกทั้งยังบอกว่าหากข้าไม่ช่วยนางให้เป็นคนขององค์ท่าน งั้นนางก็จะไปป่าวประกาศว่าตนเองนั้นเป็นผู้หญิงขององค์ท่าน ข้าจะให้นางมาทำให้ชื่อเสียงขององค์ท่านด่างพร้อยได้อย่างไรกัน ดังนั้นคราวนี้ก็เลยฆ่านางทิ้งซะ แล้วก็เลยจัดฉากให้กลายเป็นว่าฆ่าตัวตาย แต่กลับไม่คิดมาก่อนว่าจะทำให้นกหายนะในห้องของนางตกตะลึง แล้วเลียนแบบคำพูดนางก่อนตายได้ เป็นพยานทางอ้อมที่มากล่าวโทษข้าได้” สวีกว่างหัวเราะออกมาอย่างดูถูกตัวเองเล็กน้อย: “นกตัวนี้ตอนนั้นที่พวกเราพบกันครั้งแรกเก็บมาได้ นางดูแลใส่ใจอย่างดีมาตลอด ข้าคิดว่านี่คือนกแห่งความรักของพวกเรา แต่กลับคิดไม่ถึง……”
คำพูดในตอนท้ายแม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งในคำพูดที่ไม่ได้พูดออกมานั้นเป็นอย่างดี
หากไม่ใช่เพราะนกหายนะจู่ๆ ก็บินออกมาแล้วเลียนเสียงคน ส่งเสียงดังทำให้ทุกคนต่างอกสั่นหวั่นไหวไปตามๆ กัน เกรงว่าสวีกว่างผู้นี้ก็จะยิ่งเก็บซ่อนเอาไว้ลึกยิ่งกว่านี้อีก ก็จะไม่ถูกจับได้ง่ายดายเช่นนี้
“ดังนั้นคนที่ลักลอบมีอะไรกับนางก็คือเจียงทาว หลังจากเจ้าทราบแล้วก็เลยอาศัยนกหายนะทำเป็นที่กำบัง แล้วก็วางยาพิษเขา ทำให้เขาเกิดเป็นภาพหลอนขึ้นมา แล้วก็รัดคอตัวเองตาย ข้าถามเจ้าหน่อยว่ายาของเจ้าเอามาจากไหน?”
พอถามถึงจุดนี้ คราวนี้เฟิ่งชิงหัวจึงจะนับได้ว่าถามถึงจุดสำคัญ
ในตอนนี้สวีกว่างกลับดูไม่ค่อยสบายใจนัก ท่าทางดูลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า: “คนข้าเป็นคนฆ่าเอง พิษข้าก็เป็นคนวางยาเอง เจ้าจับข้าเถอะ ส่วนที่นอกเหนือจากนี้ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็ค่อนข้างมีความกล้าหาญอยู่บ้าง ในเมื่อมีจิตใจที่กล้าหาญเช่นนี้ แล้วเหตุใดจะต้องปิดบังแทนคนอื่นด้วย? อีกอย่างเจ้าคิดว่าเจ้าไม่พูด คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าจะวางมือเพียงเท่านี้งั้นเหรอ?”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” สวีกว่างมองมาที่เฟิ่งชิงหัวอย่างหมดความอดทน เพียงแค่รู้สึกว่าคำพูดของคนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้ามักจะทำให้คนรู้สึกเข้าใจได้ยาก
เฟิ่งชิงหัวมองมาทางจ้านถิงเฟิง แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “องค์รัชทายาท บ่าวของท่าคนนี้ช่างจงรักภักดีเสียจริงเชียว ท่านก็มีน้ำใจต่อบ่าวของท่านเช่นกัน รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับเขาก็ไม่พูดออกมาเลย ไม่ทราบว่าข้าสามารถคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นความประสงค์ของท่านได้หรือไม่ คำพูดที่สวีกว่างพูดนั้นก็เพียงแค่ให้ท่านได้หลุดพ้นเท่านั้นเอง?”
ประโยคนี้พูดจบ จ้านถิงเฟิงยังไม่ได้พูด สวีกว่างกลับร้อนตัวขึ้นมา: “เจ้าอย่าพูดจาส่งเดช เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับองค์ท่านเลย เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ไม่รู้งั้นเหรอ? อะไรเจ้าก็ไม่ยอมปริปากฑุด ยอมรับโทษทัณฑ์ของตนเอง เจ้าคิดว่าผู้กระทำผิดเพียงคนเดียวข้าจะเชื่องั้นเหรอ? แม้ว่าข้าเชื่อ ท่านอ๋องก็อาจจะไม่เชื่อไหม?”
ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่นั้นก็หันหน้าไปมองตรงบริเวณที่อยู่ไม่ไกลมาก จ้านเป่ยเซียวที่ไม่รู้ว่านั่งเงียบมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้ว
ทุกคนถอยออกตามสัญชาตญาณ แล้วหลงพื้นที่ไว้ให้จ้านเป่ยเซียว
จ้านเป่ยเซียวกลับไม่ได้มองผู้ใด เพียงแค่มองไปยังเฟิ่งชิงหัว บนใบหน้าที่สวมหน้ากากเอาไว้ ท่าทางดูลึกลับ เห็นได้ชัดว่ายิ่งเงียบขรึมขึ้นอีก
ดีที่เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของฝ่ายชาย แต่ทว่าสวีกว่างที่ถูกกลิ่นอายบนตัวของจ้านเป่ยเซียวที่มาอาจทำเป็นไม่สนใจได้ทำให้ตกตะลึงไปเลย พอนึกถึงความบาดหมางระหว่างองค์รัชทายาทและท่านอ๋องเจ็ดที่มีมาโดยตลอด ก็เลยหลับตาครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาว่า: “ก็ได้ ข้าพูด!”