พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 124 ไม่ใช่ตัวแทนของจักรพรรดิ
เฟิ่งชิงหัวที่น่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยรุมเร้าร่างกายและบวกกับนอนติดเตียงลุกไม่ขึ้นจ้องตาถลึงไปยังผู้ล่วงรู้ที่เหมือนดั่งว่าจะท่องมาจากตำราก็ไม่ปานที่อยู่ตรงหน้านาง ประเดี๋ยวเดียวก็ไม่รู้เลยว่าควรจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไรออกมาอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
สีหน้าท่าทางของจ้านเป่ยเซียวก็กวาดสายตามองมาที่เฟิ่งชิงหัวอย่างผิดแปลกไปบ้าง
“พวกเจ้าไม่เชื่อ? งั้นก็รอดูไปเถอะ ไม่เกินครึ่งปี พระชายาผู้นั้นของท่านจะต้องฆ่าตัวตายแน่นอน! ต่อไปอ๋องเฉินก็อย่าแต่งพระชายาอะไรอีกเลย ยังไงก็เป็นการบ่อนทำลายแม่นางคนอื่นเขาอยู่ดี” ผู้ล่วงรู้แหงนศีรษะขึ้นแล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ทะนงตัว
เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม: “ผู้ล่วงรู้กล้าพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าก็คงจะมีความมั่นใจอยู่หลายเท่า งั้นพวกเราก็มาตั้งตารอดูกัน เพียงแต่ข้าน้อยยังมีอีกหนึ่งคำถาม ไม่ทราบว่าสามารถถามได้หรือไม่?”
ผู้ล่วงรู้เห็นว่าหลังจากที่ตนเองเข้ามาก็เป็นคนที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรเลยถามมาตลอดอยู่คนเดียว ก็เลยโพล่งออกมาอย่างไม่ทนว่า: “คำถามของเจ้าทำไมจึงได้เยอะเช่นนั้น อนุญาตให้ถามได้แค่อีกหนึ่งคำถาม!”
“ได้ๆๆ เมื่อครู่ได้ฟังสวีกว่างบอกว่าท่านทราบเรื่องนั้นของราชวงศ์ ไม่ทราบว่าท่านทราบหรือไม่ว่าคนที่ฆ่าทำร้ายซุนผินเป็นใครกัน?” ท่าทางของเฟิ่งชิงหัวเปี่ยมไปด้วยอาการอยากสดับรับฟังอย่างมาก ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความสัตย์จริง ราวกับว่าได้เชื่อถือในตัวของผู้ล่วงรู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ไปแล้ว
ฝ่ายชายยืดอกตรงขึ้นมาครู่หนึ่งแล้วตะเบ็งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “นี่แน่นอนว่าข้าทราบ เดิมทีน่ะเหรอ เรื่องแบบนี้ข้าก็จะไม่พูดกับพวกคนพูดมากตัวเล็กๆ เช่นนี้แบบเจ้าหรอก เพียงแต่เห็นแววตาและความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าก็นับว่าอยู่ในขั้นที่ไม่เลวนัก งั้นข้าก็จะบอกเจ้าก็แล้วกัน”
เฟิ่งชิงหัวเอามือประสานเข้าหากัน ท่าทางมีมารยาทอย่างคนผู้น้อย ยกผู้ล่วงรู้ผู้นั้นไว้เหนือหัว อารมณ์ผ่อนคลายสบาย ทนไม่ได้ที่จะรีบพูดเรื่องราวที่รู้ทั้งหมดออกมา
หลังมือทั้งคู่ของผู้ล่วงรู้ด้านหลัง แล้วก็กล่าวออกมาเป็นฉากๆ : “หากจะพูดถึงซุนผินผู้นี้ มาจากชนบทลำธารเจียงหนาน รูปลักษณ์นั้นเรียกได้ว่ายิ่งกว่าสาวคณิกา……”
“คุณชายท่านนี้ คนผู้นั้นในวาจาของท่านยังไงก็เป็นถึงชายผินของเสด็จพ่อของข้า ท่านช่วยให้เกียรติด้วย” จ้านถิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเตือนออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
ผู้ล่วงรู้แม้แต่มองก็ยังไม่มองเขาเลย แล้วก็กล่าวต่อว่า: “ก่อนออกเรือนเคยพบผู้ชายคนหนึ่งโดยบังเอิญ ให้คำมั่นสัญญากันลับๆ เดิมนั้นอยากแอบหนีไปกับคนผู้นี้โดยลำพัง แต่กลับถูกสร้างคำพูดหลอกลวง ไปยังวังลึกลับเพื่อเขา เพื่อปรนนิบัติคนผู้หนึ่งที่สามารถเป็นพ่อตนได้ จากนั้นกุ้ยผินผู้นี้ก็เริ่มเก็บร่วมรวมข่าวกรองลับอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อผู้ชายคนนี้ จากนั้นมีวันหนึ่งกุ้ยผินผู้นี้จู่ๆ ก็พบโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้เข้า และจากนั้นก็ถูกผู้ชายสังหารด้วยมือตนเอง ตำแหน่งของมีดเล่มนั้นน่าจะปักอยู่ตรงตำแหน่งนี้”
ในขณะที่พูดอยู่ก็ยังทำท่าทางประกอบตำแหน่งที่ซุนผินถูกแทงในวันนั้นด้วย
ผู้ล่วงรู้เอ่ยปากว่า: “เอาล่ะ คำถามของเจ้าข้าตอบไปแล้ว สำหรับว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ยังมีเรื่องที่หลอกใช้ให้ซุนผินเก็บรวบรวมข่าวกรองลับอะไรนั้น ข้าก็ไม่ขอพูดละกัน”
เฟิ่งชิงหัวแอบด่าว่ากลับกลอกออกมาคำหนึ่งอย่างลับๆ
แค่อิงตามจุดนี้ ยังไงก็ไม่มีทางจะแน่ใจได้ว่าจริงเท็จประการใด ใครจะไปรู้ว่าเขาจับแพะชนแกะหรือเปล่า หรือว่าเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของซุนผินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ได้ยินดังนั้น เฟิ่งชิงหัวก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “งั้นผู้ล่วงรู้ท่านนี้ ทำไมจึงไม่เสนอหน้าตัวเองไปยังในวังโดยตรงเลยเล่า จำเป็นจะต้องมายุ่งกับองครักษ์ที่ตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่งขององค์ท่านตั้งหลายเดือน? แม้ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทที่ภายภาคหน้าจะได้ครองตำแหน่งนั้นต่อ แต่องค์ปัจจุบันก็พลานามัยแข็งแรงดี ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เกรงว่าองค์รัชทายาทก็จะยังไม่มีทางที่จะสืบต่อราชบัลลังก์เช่นกันนะ? เหตุใดท่านจึงไม่ไปพบหน้าองค์ปัจจุบันโดยตรงตามความสามารถของท่าน ตำแหน่งราชครูก็คงจะหนีไม่พ้นไปได้หรอก”
คำพูดนี้ของเฟิ่งชิงหัวนับว่าถามได้ตรงจุดของจ้านถิงเฟิงมาก ในใจของเขาไม่ใช่ว่าไม่มีความสงสัย ยังไงในสายตาของทุกคน แม้ว่าเขาได้เริ่มที่จะเข้ามาดูแลจัดการทางการเมืองบ้างแล้ว แต่ว่าพระวรกายของเสด็จพ่อในปัจจุบันนี้ก็อยู่ในช่วงวันหนุ่มแน่นพอดีกำยำและแข็งแรงมาก เขาสืบทอดตำแหน่งทางราชวงศ์ต่ออย่างน้อยก็ต้องราวสิบปีได้
ใครๆ ต่างก็ทราบกันดีว่า การเปลี่ยนแปลงสิบปีมันมากมายขนาดไหน
อีกอย่าง ไม่ว่าผู้ล่วงรู้ท่านใดที่สามารถพูดเรื่องพวกนี้ออกมาได้อย่างตามอำเภอใจเช่นนี้ คำพูดพวกนี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่กลับทำให้คนมีความขัดแย้งได้ง่ายที่สุด จะทำให้เกิดเรื่องได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับมาท่าทีราวกับว่าไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่นิด
ผู้ล่วงรู้ผู้นั้นได้ฟังคำพูดนี้แล้ว กลับบกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่ไม่เกรงใจช้าๆ ว่า: “นี่ก็คือสาเหตุว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถเป็นได้เพียงผู้ต่ำต้อยคนหนึ่ง ในเมื่อข้าเลือกสวีกว่าง แน่นอนว่าเพราะว่าเขาเป็นบ่าวที่ได้เรื่องขององค์รัชทายาท เวลาปกติก็จะเป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย ไม่ช้าก็เร็วข้าก็จะได้รับการแนะนำให้เป็นแขกผู้มีเกียรติ สำหรับว่าเหตุใดจึงเลือกองค์รัชทายาท และไม่ใช่ฝ่าบาท แน่นอนว่าเพราะราชบัลลังก์นี้ไม่เกิน 3 ปีก็ควรที่จะต้องเปลี่ยนคนแล้ว”
เมื่อได้ฟังคนที่อยู่เบื้องหน้าใช้น้ำเสียงที่เรียบเฉยเช่นนี้พูดกล่าววาจาที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงเช่นนี้ แม้แต่เป็นเฟิ่งชิงหัวก็ยังตะลึงงันไปเช่นกัน
เนื้อหาก็น่าตะลึงมากจริงๆ แต่ว่าที่สามารถทำให้เฟิ่งชิงหัวตะลึงงันได้นั้น กลับเป็นชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ไม่ใช่บอกว่ามีชีวิตอยู่มาพันปีแล้วเหรอ?
หรือเป็นไปได้ว่าไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าปากพาซวย?
เรื่องเช่นนี้ก็พูดออกมาทิ่มแทงรุนแรงเช่นนี้โดยตรง หากไม่ทราบยังคิดว่าคนที่อยู่ในบริเวณนี้ แม้แต่ตัวนางเองก็เป็นพวกเดียวกับเขาไปด้วย
“เหิมเกริม! เจ้าคนนี้คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดจาเหิมเกริม ทหารจับคนผู้นี้ไปไต่สวนอย่างหนัก ว่าที่แท้แล้วเป็นใครกันที่ส่งเจ้ามา คิดไม่ถึงว่าจะพูดคำวิพากษ์วิจารณ์สาปแช่งฮ่องเต้เช่นนี้ออกมาได้!” จ้านถิงเฟิงดึงสติกลับมาได้เป็นคนแรก แล้วก็กล่าวเบ่งวาจาออกมาด้วยความโมโห
องครักษ์ของรัชทายาทที่อยู่นอกประตูรีบพุ่งเข้ามาทันที แล้วก็จะเข้ารวบตัวฝ่ายชายเอาไว้
และในขณะเดียวกัน จ้านเป่ยเซียวที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็ตะโกนขึ้นมาคำหนึ่ง: “หลิวหยิ่ง!”
หลิวหยิ่งที่เฝ้าอารักขาอยู่นอกประตูเดิมนั้นก็รีบพาคนเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งคุมตัวคนของรัชทายาทเอาไว้ และที่เหลือในนั้นสองคนล็อกมือทั้งสองข้างของฝ่ายชายเอาไว้แน่น แล้วกดลงกับพื้นอย่างรุนแรง
สีหน้าท่าทางของผู้ล่วงรู้นั้นกลับดูผ่อนคลายอย่างมาก อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอีก: “ท่านอ๋องเจ็ด นี่เจ้าหมายความว่าอะไร หรือเป็นไปได้ว่าเจ้าจะเอาข้าไว้เป็นการส่วนตัวของตนเอง? เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ตัวแทนของจักรพรรดิ”
จากนั้นก็มองมาทางองค์รัชทายาทอีกและกล่าวว่า: “องค์ท่าน ท่านและข้าเรามีโชคชะตาต่อกัน วันหน้าย่อมได้พบกันอีกแน่”