พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 131 ข้าคือสวามีของเจ้า สวรรค์ของเจ้า
กลางใจขององค์หญิงเหออานเกิดความคิดที่ว่าพระยาชาอ๋องเจ็ดรับมือยากกว่าท่านอ๋องเจ็ดความคิดเช่นนี้ทำให้ตัวนางเองรู้สึกไม่ถูกต้อง ทว่าจำใจต้องยอมรับ
กล้าทำให้เสด็จพี่เจ็ดเสียหน้าทั้งยังไม่ดูสีหน้าการกระทำของเขา นางก็เห็นแค่หนานกงเยว่ลั่วเพียงหนึ่งเดียว
นางอดไม่ได้ที่จะนำเจียงหยูหวันมาเปรียบเทียบกับหนานกงเยว่ลั่ว
ต่อหน้าเจียงหยูหวัน แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพี่ไม่มีทางที่จะโหวกเหวกโวยวายกับเจียงหยูหวันเช่นนี้ น้ำเสียงในการกล่าววาจาก็ค่อนข้างนุ่มนวล แตกต่างกับหนานกงเยว่ลั่วผู้นี้ ที่เริ่มพูดก็ราวกับจะวิวาท
อยู่ต่อข้าคนที่ชอบพอ เหตุใดจึงหยาบคายได้เพียงนี้ แน่นอนว่าต้องอยากที่จะปรากฏด้านที่ดีที่สุดให้อีกฝ่าย
คิดเช่นนี้แล้ว เดิมทีองค์หญิงเหออานที่เริ่มหวาดกลัวเฟิ่งชิงหัวก็มั่นใจ ได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่ง : ในใจของเสด็จพี่ ยังคงมีเพียงเจียงหยูหวัน หนานกงเยว่ลั่วผู้นี้ เสด็จพี่ ไม่ถือว่านางเป็นผู้หญิงแม้แต่น้อย !
ความเข้าใจนี้ทำให้เหออานตื่นเต้นเล็กน้อย เดิมทีบนใบหน้าที่ซีดเซียว ดวงตาคู่นั้นก็ทอประกาย
ด้วยเหตุนี้ เหออานถึงแม้จะคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายกลับยืดตรงในทันที ชี้ยังเฟิ่งชิงหัวกล่าว : “หนานกงเยว่ลั่ว เจ้าหุบปาก !เจ้ากล้าดีอย่างไรพูดกับเสด็จพี่ เช่นนี้ เสด็จพี่ เป็นสวามีของเจ้า เป็นสวรรค์ของเจ้า ! เจ้ากล้าดีอย่างไรใช้น้ำเสียงเช่นนี้คุยกับเขา ! ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษเสด็จพี่ โดยเร็วอีก ! ขอร้องให้เสด็จพี่ อภัย !”
หากไม่ใช่นางกำลังคุกเข่าบนพื้นขณะนี้ เช่นนั้นคำพูดคราวนี้คงจะยิ่งทรงพลานุภาพ
แต่ทว่า เฟิ่งชิงหัวกลับราวกับกำลังมองดูคนโง่มองนางอย่างเบื้องบนมองเบื้องล่าง และมองดูแผ่นศิลาดำที่นางคุกเข่าอยู่ ถึงแม้จะไม่พูดอะไร ความหมายนั้นก็แจ่มชัดเต็มประดา
เจ้าคนที่ยังปกป้องตนเองไม่ได้ มีหน้าอะไรมาพูดประโยคเช่นนี้กับข้า
จ้านเป่ยเซียวก็ดูเหมือนประหลาดใจที่เหออานจู่ ๆ ก็พูดเช่นนี้ออกมา เพียงแค่หางคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
เฟิ่งชิงหัวมองไปยังองค์หญิงเหออาน หรี่ตากล่าว : “เมื่อครู่องค์หญิงว่ากระไร ? ลมแรงนัก ข้าฟังไม่ถนัด”
ขณะที่พูดก็ก้มตัวเล็กน้อย ยกมือเข้าใกล้หูทำเป็นตั้งใจฟัง
องค์หญิงเหออานเงยหน้ายืดอก : “สตรีปฏิบัติตามสามี ควรถือสามีเป็นสวรรค์ เจ้าจับผิดสวามีของตนเช่นนี้ จะเป็นครอบครัวที่ถูกต้องตามทำนองครอบธรรมได้อย่างไร ! ถือโอกาสตอนที่เสด็จพี่ ยังไม่ทิ้งเจ้าเนื่องด้วยการขับไล่เจ็ดประการ เจ้ายังไม่รีบคุกเข่ารับผิดอีก !”
เช่นนี้เฟิ่งชิงหัวจึงได้ตรัสรู้ฉับพลันทันที พยักหน้าพลางกล่าว : “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คำพูดองค์หญิงจริงแท้แน่นอน”
องค์หญิงเหออานภาคภูมิใจอย่างมาก บนใบหน้านั้นที่มีความโสมมพ่วงไว้ด้วยความทะนงที่ไม่คู่ควร แต่ทว่าในวินาทีต่อมา ก็ได้ยินสตรีเอ่ยขึ้นว่า : “ข้าก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ข้าพูดผิดไป ในเมื่อท่านอ๋องได้บอกแล้วว่าองค์หญิงบูรณะระเบียบภายในครอบครัวเรียบร้อยเมื่อใดก็จะจากไปเมื่อนั้น ก็ควรจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เหตุใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเพราะประโยคเดียวจากข้าได้เล่า ?”
องค์หญิงเหออานสีหน้าเปลี่ยน : “เจ้า !”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวทั้งรอยยิ้ม : “ในเมื่อองค์หญิงรู้ว่าผิดแล้ว รู้จักคุกเข่ายอมรับโทษ เช่นนั้นก็ไปคุกเข่าในที่ที่พวกข้ามองไม่เห็น จึงจะดูเหมือนจริงใจ มิใช่รึ?”
“ข้า…”
“ถอยไป” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงหนัก
ใบหน้าขององค์หญิงเหออานไม่เชื่อถือ มองดูหญิงที่ยิ้มตาหยี และมองไปยังใบหน้าที่หนักแน่นของเสด็จพี่ ในสมองยังไม่สามารถฟื้นคืนสติได้
สองคนนี้ เมื่อครู่มิใช่ว่าเพิ่งจะทะเลาะใส่ร้ายป้ายสีรังเกียจซึ่งกันและกันหรือ ? เหตุใดตอนนี้จู่ ๆ ก็สามัคคีและเริ่มทำกับนางเช่นนี้ ?
“เสด็จพี่ ข้า…” องค์หญิงเหออานยังอยากที่จะพูดอะไรสักหน่อย กลับถูกเฟิ่งชิงหัวกล่าวตัดหน้า
“องค์หญิง เสด็จพี่ ของเจ้าให้เจ้าถอยไป เจ้าคงมิได้อยากต่อต้านคำสั่งเขาหรอกใช่หรือไม่ ?”
“ข้า…”
“องค์หญิงเป็นเสด็จน้องของท่านอ๋อง เจ้ากล้าต่อต้าน ข้าถือสวามีเป็นดั่งสวรรค์ มิกล้าขัดขืนเป็นแน่ ในเมื่อสวามีให้เจ้าถอย เช่นนั้นสิ่งที่ขาทำได้ก็มีเพียงช่วยเหลือแล้ว องค์หญิง ล่วงเกินแล้ว” เฟิ่งชิงหัวขัดจังหวะคำพูดขององค์หญิงเหออานด้วยยิ้มตาหยีอีกครั้ง จากนั้น ก็แกว่งมือ องค์หญิงเหออานที่เดิมทียังคุกเข่าคิดไม่ตกก็ถูกพัดปลิวขึ้นไป ปลิวออกไปจากเรือนหลัก จนเข้าไปกระแทกเข้ากับแปลงดอกไม้ที่ก่อสูงหลังเรือน
ในเวลานี้องครักษ์ของจวนอ๋องกำลังลาดตระเวนอยู่ ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนี้ก็ก้าวมาทันที องค์หญิงเหออานเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมา กระบี่หลายเล่ม็เล็งไปที่หน้าของนาง
ในเรือนหลัก เฟิ่งชิงหัวปรบมือไปมา ดึงสายตากลับมาอย่างพอใจ มองไปยังจ้านเป่ยเซียวด้วยอารมณ์ไม่เลวนัก : “ไป ๆ ๆ ในโอกาสพิเศษนี้ข้าจะเขียนระเบียบภายในครอบครัวออกมาตามที่จำได้”
จ้านเป่ยเซียวหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา : “เขียนแล้วก็ไม่ทำตาม เขียนเพื่อประโยชน์อันใด ?”
“ไม่ใช้เจ้ารึให้ข้าเขียน ?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว แสดงนิสัยดื้อรั้น ราวกับกำลังพูด เจ้าให้ข้าเขียน มิได้ให้ข้าทำตาม
จ้านเป่ยเซียวเอียงศีรษะตรงข้ามมองนาง : “เชื่อฟังเช่นนี้ ?”
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกรอกตาขาว คนผู้นี้ได้รับผลประโยชน์แล้วก็ยังทำตัวเฉียวฉลาดไร้ความผิดใช่หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ใช้อำนาจของเขาให้ตนต้องเขียน ตอนนี้มาถามเพื่ออะไร นางตอบเขาได้ถึงจะมีเล่ห์เพทุบาย
ใครจะรู้ รถเข็นของจ้านเป่ยเซียวเคลื่นย้ายไปข้างหน้าสองสามก้าว ถามต่อเนื่อง : “คงเพราะข้าคือสวามีของเจ้า เป็นสวรรค์ของเจ้า ?”