พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 137 ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ทั้งตัวของเฟิ่งชิงหัวล้มอยู่ในอ้อมอกของจ้านเป่ยเซียว ดวงตาของจ้านเป่ยเซียวยิ่งสุกใส นำมือทั้งสองข้างของนางประสานไว้หลังเอวของเขา ระหว่างสองคนที่แนบชิดกันไม่มีรอยรั่วแม้แต่น้อย
มือทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวสัมผัสได้ถึงความผอมและแข็งแกร่งของแผ่นหลังชายผู้นี้และผ้านุ่มลื่นของเสื้อคลุม ปลายนิ้วขยับเล็กน้อย ปลายแหลมก็แวบผ่าน ตกลงบนหลังเอวชายหนุ่ม
อาการชาแผ่ซ่านขึ้นลง ไหล่ของจ้านเป่ยเซียวแข็งทื่อ เฟิ่งชิงหัวฉวยโอกาสจากตัวเขาดิ้นจนหลุด และก็ยังคว่ำถ้วยชาบนโต๊ะ ของเหลวสีน้ำตาลบนโต๊ะรินไหล จุดด่างคราบสกปรกบนพรมขาวสะอาด
จิตใต้สำนึกของเฟิ่งชิงหัวเงยหน้าจ้องมองจ้านเป่ยเซียว ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความตื่นตัว
เพราะหญิงสาวแต่งตัวเป็นชาย มัดผมก็มัดเหมือนชาย เสื้อคลุมหลวม ๆ สีดำซ้อนเร่นรูปร่างอย่างมิดชิด ทว่าในสมองของจ้านเป่ยเซียวในเวลานี้กลับคิดว่าเมื่อครู่ตอนที่ทั้งสองแนบชิดกันความวิจิตรของนางช่างมีเสน่ห์น่าสนใจ
เมื่อเห็นผิวนางราวกับเลือด ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย ตาดำจ้องตนเขม็ง แสดงออกดื้อรั้น จิตใจของจ้านเป่ยเซียวก็เต้นแรงอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วกล่าว : “มิใช่ว่าตลอดมามิกลัวฟ้าไม่เกรงดินรึ เหตุใดตอนนี้จึงทำท่าหวาดกลัวเช่นนี้ ?”
“ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าตอนนี้แปลก ๆ เจ้ามิใช่ว่าโดนใครสับเปลี่ยน ?”
“สับเปลี่ยน ?” จ้านเป่ยเซียวขวมดคิ้ว
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า : “ความเย็นชาหักห้ามใจรักล่ะ ปากร้ายของเจ้าล่ะ แต่คนก็กวนประสาทได้ขนาดนั้น”
“เหอะ” จ้านเป่ยเซียวหัวเราะเสียงเบา : “แท้จริงแล้ว เจ้าชอบข้อวิจารณ์นั้น”
เฟิ่งชิงหัวกรอกตาขาว : “ไม่ใช่ เพียงแค่ขอเจ้าอย่าได้แตะต้องข้าอีก รักษาความเย็นชาเจ้าไว้ขอบคุณ”
จ้านเป่ยเซียวไม่ออกความคิดเห็น เพียงแค่จ้องมองสายตาที่ค่อย ๆ ลึกซึ้งของนาง
เฟิ่งชิงหัวทนบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหว เอียงหัวมองรอบด้าน : “นี่เป็นที่ของเจ้า ?”
ร่างกายเฟิ่งชิงหัวลาดเอียง พิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ พูดเบา ๆ : “ถือว่าใช่แหละ”
“เพราะฉะนั้นหอเงาโลหิตก็ถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ?”
“คำตอบมีผลกับการคิดของเจ้าไหม ?”
เฟิ่งชิงหัวคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าไม่ว่าจะหัวข้อการสนทนาใดของคนคนนี้จะกลับมาเรื่องนี้ได้ พูดโดยไม่คิดอะไร : “เจ้ามีธุระหรือไม่ ไม่มีข้าจะได้ลงไป”
“ไปที่ใด ?”
“ได้ยินว่าวันนี้ฉีเป่าเจมีประมูลที่นี่ จะไปดู” เฟิ่งชิงหัวกล่าวตามตรง
จ้านเป่ยเซียวได้ยินเช่นนี้ รถเข็นก็ไถล เดินออกไปข้างนอก
หลังจากเดินไปสองสามก้าวก็หยุด เอียงศีรษะมามองยังนาง : “งงอะไรอยู่เล่า ยังไม่ไปอีก”
เฟิ่งชิงหัวไม่ขยับ ไม่รู้ว่าจ้านเป่ยเซียวมีแผนอะไรอยู่กันแน่
จ้านเป่ยเซียวกล่าว : “ไม่มา วางแผนให้ข้าเชิญเจ้า ?”
เฟิ่งชิงหัวคิดถึงคำเชิญของเขาต้องไม่ใช่คำพูดที่ดีอย่างแน่นอน ปากก็บ่นพึมพำ เดินมาอยู่ข้างจ้านเป่ยเซียวอย่างอ้อยส้อย
ไม่ได้สนใจว่าจ้านเป่ยเซียวทำอะไร เพียงแค่เห็นพื้นที่พวกเขายืนอยู่ยุบลงไปเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวเกือบจะทรงตัวไม่ได้ จิตใต้สำนึกบอกให้ยื่นมือไปจับรถเข็น มือใหญ่ข้างหนึ่งก็กุมมือของนางไว้
รอบด้านมืดมิด พื้นยังคงเคลื่อนตัวลง เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะนึกขึ้นได้ นี่เหมือนกับหอคอยสูงของจวนอ๋องจ้านเป่ยเซียว นี่คือลิฟต์รูปแบบปัจจุบัน
รอจนตอนเกือบจะถึงชั้น 5 ข้างหน้าก็มีแสงสว่างมากขึ้น สองคนเดินออกไป ก็เห็นทางเดินที่ทอดยาว
ม้วนภาพวาดแขวนอยู่สองข้างทางเดิน ไม่มีแม่แต่ชิ้นเดียวที่ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ และดูไปแล้ว ไม่ใช่แขวนไว้ชั่วคราว
เดินไปถึงหลังบานประตูหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวบอกเป็นนัยน์ให้จ้านเป่ยเซียวผลักประตูเข้าไป
ในวินาทีที่เปิดประตู สายตานับไม่ถ้วนก็โถมเข้าหา ค่อย ๆ ตกลงบนตัวของสองคน
คนที่อยู่ในงานไม่มีสักคนที่ไม่ใช่ผู้ร่ำรวยมีอำนาจของนครหลวง หรือขุนนางระดับสูงของราชวัง ยิ่งบวกกับเครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์ของจ้านเป่ยเซียว รถเข็นและหน้ากาก ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเขา
มีข่าวลือว่าท่านอ๋องเจ็ดที่หลังจากทำร้ายตัวเองก็ไม่เคยออกจากจวนจู่ ๆ ก็ปรากฏตัว และในเวลานี้ยังกุมมือของชายหนุ่ม คนเหล่านี้คิดว่าตนเองมองผิดไป ขยี้ตา แต่ฉากตรงหน้าก็ยังเป็นเช่นนี้
ข่าวลือว่าท่านอ๋องเจ็ดไม่สนใจความงามสตรี ไม่เข้าใกล้คนแปลกหน้า ที่แท้ ก็ชอบบุรุษชาย
คนทั้งหลายต่างตกตะลึง มองหน้ากันอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าพูดอะไรมาก ไปเคราพท่านอ๋องเจ็ดพร้อม ๆ กัน
คนไม่น้อยในที่นี้ต่างรู้ หอไล่ตามเมฆาแห่งนี้เจ้าของเบื้องหลังก็คือท่านอ๋องเจ็ด ส่วนเรื่องที่เขาจะปรากฏตัวที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ถึงอย่างไร นอกจากจะเป็นพระโอรสคนโปรดของฮ่องเต้ ใครจะกล้าสร้างโรงเหล้าที่เมืองหลวงที่เทียบกับพระราชวังกัน
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ส่งสายตา พลังที่น่าเกรงขามก็กวาดไปทั้งห้องโถง คนที่อยู่ที่นั่นก็ต่างสัมผัสได้ถึงความหนาวเห็นบอันยิ่งใหญ่ ทันใดนั้นก็สั่นสะท้าน
รถเข็นไถล เข้าไปในห้องโถง คนเหล่านี้จึงเพิ่งจะกล้ายืนขึ้น
ทั่วทุกทิศมีเสียงแอบกระซิบ
“ข้างท่านอ๋องคือใครกันพวกเจ้ารู้ไหม ?”
“ไม่รู้ แต่ดูผิวนั่นขาวมาก รูปร่างก็ค่อนข้างเล็กบาง หรือว่า”
ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ใครก็ตามที่อยู่ในที่เกิดเหตุจะรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว ในใจแต่ละคนก็รู้สภาพดี
ท่านอ๋องเจ็ดอยู่ในกองทัพตลอดทั้งปี ไม่มีสตรีปรนนิบัติ ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะชอบชาย บวกกันในตอนนี้ร่างกายไม่สมบูรณ์ครบถ้วน นิสัยใจคอคาดเดาไม่ได้ รสนิยมแตกต่างจากคนปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เหล่าเดิมแขกแต่ละคนที่สนใจของที่ฉีเป่าเจนำมาประมูลจิตใจก็ล่องลอยไปไกล
ตัวเอกในขณะนี้ไม่รู้ว่าการกระทำตามอำเภอใจของพวกเขาจะก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่
ห้องโถงนี้มีพื้นที่ราว ๆ สองร้อยตารางเมตร ในห้องโถงจัดวางโต๊ะเก้าอี้ พร้อมด้วยน้ำชาขนมหวาน โต๊ะเก้าอี้ทุกแถวต่างตกแต่งด้วยผ้าไหม
ตรงกลางวงาโต๊ะขนาดใหญ่ ในตอนนี้คนข้างบนกำลังจัดวางสินค้าประมูลชิ้นต่อไป
เฟิ่งชิงหัวกวาดสายตามองผู้คนในที่นี้ สังเกตเห็นเนี่ยกวางหย่วนก็อยู่ไม่ไกลนัก ขณะนี้ก็กำลังมองมายังตนเอง
“ข้าไปที่นั่นครู่หนึ่ง” เฟิ่งชิงหัวพูดจบไม่รอบคำตอบของจ้านเป่ยเซียวก็เดินไป
“ท่านอาวุโส”
“โหวเย่ อาวุธของหมู่บ้านศัสตราวุธเริ่มประมูลไปแล้วหรือยัง ?”
เนี่ยกวางหย่วนส่ายหน้า : “ของชิ้นนั้นถือเป็นของรั้งท้าย ขณะนี้ประมูลของไปถึง 6 ชิ้น คงจะอีกประมาณครึ่งชั่วยาม”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ ในขณะที่กำลังจะจากไปก็เห็นว่าเนี่ยกวางหย่วนมองตนด้วยสายตาแปลกประหลาด กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ : “เจ้ามีเรื่องอยากพูดกับข้า ?”
เนี่ยกวางหย่วนส่ายหน้า : “ไม่ขอรับ เพียงแค่ ท่านกับท่านอ๋องออกมาข้างนอกก็ระวังกันหน่อย จะได้ไม่ทำให้ใครเข้าใจผิด”
คำพูดของเนี่ยกวางหย่วนพูดอย่างนิ่มนวล เฟิ่งชิงหัวฟังแล้วรู้สึกสับสน เห็นสีหน้าของเนี่ยกวางหย่วนแปลก ๆ ขมวดคิ้วกล่าว : “เข้าใจผิด เข้าใจผิดอะไร ?”
“ท่านอาวุโส ท่านอย่าได้โกรธ ข้าไม่มีความหมายอื่น และก็ไม่ได้เหยียดหยาม เพียงแค่ปล่อยให่คนอื่นเห็นแบบลวก ๆ และพูดจาไร้สาระ มันไม่ดีกับชื่อเสียงของท่านและท่านอ๋อง ถึงอย่างไร ในเทียนหลิง ชายที่ดีไม่สามารถสืบทอดราชวงศ์ จะถูกประณามอย่างมาก”
ตอนที่เฟิ่งชิงหัวได้ยินชายที่ดีสามคำ บนศีรษะเหมือนกับโดนฟ้าผ่า มองดูตัวเอง และมองดูจ้านเป่ยเซียวที่อยู่ไม่ไกล มุมปากก็กระตุก
ขณะที่กำลังจะพูด ทันใดนั้นก็กลับมาพูดเสียงหนักแน่น : “สถานการณ์บังคับ เปลี่ยนตัวเองอย่างช่วยไม่ได้”