พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 14 ผลงานชิ้นแรก
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 14 ผลงานชิ้นแรก
หมอหลวงเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ฮองเฮาโปรดอภัย ใช่ว่าข้าจะอาศัยที่ตนเองอาวุโสกว่าแล้วจะมีความรู้มากกว่า แต่ว่า แต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ กระหม่อมไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่พระชายาเป็นผู้ที่มีความรู้มาก เคยผ่านเรื่องเหล่านี้มาก่อน ได้ยินสิ่งที่พระชายาพูดเมื่อครู่ มันยิ่งกว่าประสบการณ์ที่กระหม่อมสั่งสมมาหลายสิบปี เพราะฉะนั้น กระหม่อมจึงบังอาจ ขอให้พระชายาพูดพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินหมอหลวงตีค่าของพระชายาเจ็ดสูงขนาดนั้น แม้แต่ฮองเฮายังรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง มองไปทางเฟิ่งชิงหัว “พระชายาเจ็ดรู้สาเหตุที่ศพกลายเป็นโครงกระดูกจริงหรือ”
เฟิ่งชิงหัวกวาดตามองไปทางจ้านเป่ยเซียว แต่ยังคงไม่พูดไม่จา
จ้านเป่ยเซียวมองท่าทีของนางก็รู้แล้วว่านางกำลังประชันกับตนเอง ยื่นมือไปลูบหน้าผาก “พูดได้ ตอบคำถามเสด็จพ่อ”
เฟิ่งชิงหัวหันไปทางชายหนุ่ม ยื่นมือออกไป
แสดงความหมายอย่างชัดเจน เมื่อครู่ท่านรังเกียจที่มือข้าเคยจับร่างของศพมาก่อน นอกจากท่านจับมือข้า ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าข้าจะพูด
สายตาของจ้านเป่ยเซียวจ้องมองนิ้วมือขาวสะอาดของนางที่ยื่นมาตรงหน้าเขม็ง มือนั่นยังกระดิกนิ้วให้เขาอย่างซุกซน
จ้านเป่ยเซียวเอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อหมอหลวงหาสาเหตุไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปที่ศาลาว่าการพระนคร ไปตามผู้ชันสูตรศพมา”
แววตาของหมอหลวงสว่างวาบขึ้นมา “ใช่ๆๆ ที่กรมคลังมีขุนนางที่รับผิดชอบดูแลคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรมโดยเฉพาะ ไม่แน่ว่าอาจจะจับกุมฆาตกรได้โดยเร็ว”
เหล่าองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งรีบส่งคนไปตามทันที เฟิ่งชิงหัวสะบัดมือแล้วไขว้ไว้ทางด้านหลัง ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “หนึ่ง หญิงสาวถูกคนหลอกล่อให้มาที่นี่ รอบๆสถานที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยกระชากลากถูก
สอง คนที่นัดนางมาพบ หรือคนที่ฆ่านาง คุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี ฉะนั้นนางจึงไม่ได้มีการป้องกันตัว
สาม ปากของหญิงสาวส่งกลิ่นเหม็นออกมา ยาพิษนั้นคงจะปะปนอยู่ในอาหารที่นางกินอยู่เป็นประจำ เพื่อกลบกลิ่นและรส ฉะนั้นนางจึงไม่ทันได้สังเกต
สี่ คนที่ฆ่านางกับคนที่วางยาพิษไม่น่าจะเป็นคนเดียวกัน ในเมื่อได้ลงมือก่อเหตุที่นี่นั่นก็เป็นเพราะไม่อยากให้ใครพบเห็น ในเมื่อทำการวางยาแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงว่าจะถูกคนอื่นพบเข้า”
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงหัวร่ายยาวออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ฮ่องเต้เซวียนถ่งก็มีสีหน้าตกใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวจะสามารถพูดเหตุผลออกมาได้หลายข้อเช่นนี้ ส่วนเรื่องจะเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครรู้
จ้านเป่ยเซียวหรี่ตามองนาง เห็นเพียงหญิงสาวยืนตัวตรงอยู่ข้างศพ สีหน้ามั่นใจ และมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดมาก
“แล้วตามความเห็นของเจ้า เจ้าลองบอกมาซิว่า คนที่ฆ่านางคือใคร”จ้านเป่ยเซียวเอ่ยเสียงขรึม
เฟิ่งชิงหัวหันไปมองเขายิ้มๆ “ขอเพียงเป็นคนในวังหลัง ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น”
จ้านเป่ยเซียวหัวเราะเสียงเย็น “ที่นี่คือตำหนักบรรทมของฮองเฮา เจ้าจะบอกว่าเป็นการกระทำของฮองเฮาอย่างนั้นหรือ”
ได้ยินดังนั้น ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็รู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา นำมาซึ่งสายตาที่จ้องมองจากทั่วทุกทิศ แม้แต่ฮ่องเต้เซวียนถ่งยังใช้สายตาสงสัยมองมาที่นาง
นางรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย นี่เป็นแค่การคาดเดาของพระชายาเจ็ดเท่านั้น จะตัดสินได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือของคนในวังหลัง แล้วจะเป็นคนที่คุ้นเคยได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจจะมีมือสังหารลอบเข้ามา และฆ่าซุนผินจากนั้นก็ทำลายหลักฐานก็ได้นะเพคะฮ่องเต้”
“เป็นไปไม่ได้ บาดแผลที่ทำให้พระสนมคนนี้ตายอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง ถูกแทงด้วยมีที่คมมาก จึงทำให้เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด น่าจะถูกวางยาพิษมาก่อนแล้ว นักฆ่าไม่มีทางแอบซุ่มอยู่เป็นเวลานานขนาดนั้น มีแต่คนคุ้นเคยเท่านั้นที่ก่อเหตุได้”
เมื่อฮ่องเต้เซวียนถ่งได้ยิน ก็ตำหนิเสียงเย็นว่า “ฮองเฮา เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก ที่ผ่านมาเจ้ากับซุนผินเคยทะเลาะกัน ตอนนี้นางยังมาตายอยู่นอกตำหนักของเจ้า ไม่ใช่เจ้าทำก็ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างแน่นอน”
สีหน้าของฮองเฮาขาวซีด นิ่งอึ้งอยู่กับที่ ท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เฟิ่งชิงหัวที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นท่าทีของฮองเฮาแล้วก็รู้สึกขัน เมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้านางยังมีท่าทีสูงส่งอยู่เลย
หญิงในวังหลังใครบ้างที่ไม่พึ่งพาฮ่องเต้ แค่ฮองเฮาคนเดียวยังคิดจะควบคุมนาง คงคิดว่าตนเองสำคัญมากเกินไปแล้ว
ทำเอาทุกคนตกใจไปตามๆกัน เฟิ่งชิงหัวจึงพูดขึ้นอย่างไม่เร่งร้อนว่า “ฮ่องเต้เพคะ ลูกคิดว่า ฮองเฮาจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก่อนที่ซุนผินเหนียงเหนียงจะเกิดเรื่องขึ้นข้างกายกลับไม่มีนางกำนัลอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว นี่มันก็ไม่ปกติอยู่แล้ว อีกทั้งในตำหนักบรรทมของฮองเฮาก็มีคนมากมายขนาดนี้ ต้องมีคนเคยพบเห็นซุนผินเหนียงเหนียงก่อนเกิดเหตุแน่ เวลาที่เกิดเหตุน่าจะอยู่ภายในหนึ่งชั่วยามนี้ สามารถให้องครักษ์ตามสืบจากเบาะแสนี้เพื่อค้นหาตัวบุคคลที่น่าสงสัยรวมถึงพยานบุคคลด้วย”
ด้วยความคุ้นเคยของฆาตกร มักจะมีนิสัยหวนกลับมาดูสถานที่เกิดเหตุเพื่อความมั่นใจ ไม่รู้ว่าฆาตกรในสมัยโบราณจะมีนิสัยไม่ดีเช่นนี้หรือไม่