พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 148 จ้านชิงอิง
เฟิ่งชิงหัวหันมองชายหนุ่มโดยไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่า ลมหายใจของจ้านเป่ยเซียวกำลังพ่นลงบนใบหน้าของตนเองอยู่
แววตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มลึกซึ้งและเฉียบคม ตอนนี้กำลังจับจ้องมาที่นางตาเขม็ง อารมณ์บนใบหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน จากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็ค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ใกล้จนกระทั่งเฟิ่งชิงหัวมองเห็นตัวเองในแววตาคู่นั้น
ตอนนี้เอง เฟิ่งชิงหัวก็ขยับถอยหลังไปทันที แล้วยื่นมือออกไปปิดริมฝีปากของตนเองเอาไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนก : “ท่านอย่าทำอะไรมั่ว ๆ นะ”
จ้านเป่ยเซียวทำหน้านิ่ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ : “ถ้าแค่อยากเห็นใบหน้าของคนที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิดเช่นเจ้าเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะจูบเจ้าหรือ ?”
สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนไปในทันที นางจ้องมองจ้านเป่ยเซียว แล้วแทงเข่าไปยังจุดที่บอบบางที่สุดในร่างกายของเขา
จ้านเป่ยเซียวไม่คิดเลยว่า เฟิ่งชิงหัวจะทำอะไรเหนือความคาดหมายเช่นนี้ จึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และงอตัวลงทันที
เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาจากเตียงของจ้านเป่ยเซียวอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยืนอยู่ตรงหัวเตียงแล้วก้มมองลงมายังชายหนุ่มที่กำลังขดตัวอยู่ในทีท่าประหลาด จากนั้นจึงกัดฟันพูดว่า : “บอกว่าข้าอาย ? ข้านะหรือจะรู้จักอาย ? หึ ?”
ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ รับลมเย็น ทำให้ความโกรธที่ครุกรุ่นอยู่ในหัวของเฟิ่งชิงหัว เบาบางลงไปบ้าง
แต่ไหนแต่ไร นางเกลียดการที่ถูกคนใส่ร้ายที่สุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าพูดว่านางคิดจะทำมิดีมิร้ายเขา หากไม่สั่งสอนเขาสักหน่อย คิดว่านางอับอายจริง ๆ
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวไม่รู้สึกง่วงนอนอีก จึงนั่งลงที่โต๊ะหินภายในสวน แล้วเริ่มทำสมาธิปรับลมปราณ
ใช้กำลังภายในไปไม่น้อย สองสามวันนี้คงออกไปข้างนอกไม่ได้เป็นการชั่วคราว ดูเหมือนว่าบางเรื่องคงต้องถูกเลื่อนออกไปก่อนเสียแล้ว
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละนิด ๆ ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวค่อย ๆ สว่าง มีกลีบดอกไม้ดีชมพูอ่อนร่วงลงมาบนหัวสองสามกลีบ
เฟิ่งชิงหัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าในร่างกายเบาบางลงไม่น้อย
เฟิ่งชิงหัวบิดขี้เกียจแล้วกระโดดลงมาจากโต๊ะหิน จากนั้นจึงหันมองไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ ก็ถ่มน้ำลายออกมา แล้วเดินกลับไปยังห้องของตนเองทันที โดยไม่หันหน้ากลับไปมองสักนิด
ทันทีที่เข้าไปในห้อง เฟิ่งชิงหัวก็ต้องรู้สึกแสบตาเพราะความสว่าง จึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นบังสายตาเอาไว้ เมื่อดวงตาเริ่มปรับแสงได้ จึงหันมองไป พบว่าภายในห้องมีปะการังสีแดงที่พบในฉีเป่าเจเมื่อวานนี้ วางตระหง่านอยู่
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ พบว่าปะการังต้นนี้สูงเกือบจะเท่าไหล่ของนาง สีสันงดงามสดใส ราวกับสามารถส่องแสงได้
เฟิ่งชิงหัวลองลูบดู กลับพบว่าปะการังต้นนี้มีไอเย็นแผ่ซ่านออกมาเล็กน้อย และรู้สึกชื้น
นี่นับเป้นเครื่องทำความเย็นและเพิ่มความชื้นในอากาศที่ดี
เฟิ่งชิงหัวเล่นอยู่สักพัก ก็ให้ม่านเฉ่าตักน้ำมาให้นางอาบน้ำสระผม
หลังจากกินอาหารเช้าอย่างง่ายเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็พิงตัวลงบนเก้าอี้สำหรับเอนกายที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างแล้วอ่านหนังสือ เป็นหนังสือภาพที่หน้าเบื่อเล็กน้อย สำหรับฆ่าเวลาโดยเฉพาะ และถือโอกาสผึ่งเส้นผมที่ยังเปียกอยู่ให้แห้ง
ผ่านไปไม่นานนัก ม่านเฉาก็นำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่ง ด้านบนไม่มีชื่อเขียนเอาไว้ และได้ยินนางพูดว่า : “พระชายาเพคะ ที่คือจดหมายที่นายท่านให้หม่อมฉันนำมามอบให้พระองค์ บอกว่าพระองค์จะต้องทรงอ่านให้ได้ เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่ง”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วแล้วหันมองม่านเฉ่า เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ทำให้ม่านเฉ่าคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกใจทันที
“พระชายาทรงอภัยด้วย จดหมายฉบับนี้ นายท่านส่งมาโดยอ้างชื่อคนในครอบครัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่รู้อะไรด้วยเลยจริง ๆ เมื่อครู่เพิ่งพบเข้าตอนที่จัดของ จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพคะ” ม่านเฉ่ารีบอธิบาย
เฟิ่งชิงหัวมองดูการแสดงออกทางสีหน้าของนาง เมื่อมั่นใจว่านางไม่ได้โกหกจึงพูดขึ้นว่า : “ลุกขึ้นเถอะ”
หนานกงจี๋รีบร้อนหานางเช่นนี้ มีเรื่องอะไรร้ายแรงกันแน่ ?
จุดไฟเผาเฟยเก๋อหลิวตันให้นางกลับมาก่อน จากนั้นก็ส่งคนมาเชิญ ตอนนี้แม้กระทั่งวิธีการลักลอบส่งจดหมายเข้ามา ก็ยังคิดออกมาได้
เฟิ่งชิงหัวเปิดจดหมายออกดูอย่างใจลอยเล็กน้อย เมื่อเห็นข้อความบรรทัดแรก ใบหน้าก็ถอดสีทันที
กระเด้งตัวตรงขึ้นมา : “ม่านเฉ่า ช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“เพคะ” ม่านเฉ่ารีบไปหยิบชุดมา
เครื่องประดับทั้งหมด เฟิ่งชิงหัวไม่ใช้แม้เพียงชิ้นเดียว นางเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายที่สุด จากนั้นจึงใช้ผ้าผูกผมสีแดงเส้นหนึ่งรวมผมเอาไว้ แล้วออกจากลานไป
จากลานที่นางอยู่ในตอนนี้จะต้องเดินผ่านตำหนักใหญ่ ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ ทันทีที่นางเดินไปถึงประตูตำหนักใหญ่ ก็ถูกจ้านเป่ยเซียวที่กำลังกินอาหารสังเกตเห็นเข้า และสั่งให้คนเข้ามาขวางเอาไว้
“หลีกไป” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างเย็นชา
“พระชายา ท่านอ๋องมีคำสั่งว่า ประองค์จะเสด็จออกจากจวนตามลำพังไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานท่านอ๋องเพิ่งจะตรัสไว้……” หลิวหยิ่งโน้มน้าวด้วยความลำบากใจ
“หลีกไป !” ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวแสดงความดุดันอย่างที่หลิวหยิ่งไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา ทำให้จู่ ๆ เขาก็เกิดความกลัวขึ้นมา เหมือนเวลาที่เห็นท่านอ๋องของตนเองโกรธจัด
“พระชายา พระองค์จะเสด็จไปไหนก็ทรงเข้าไปทูลกับท่านอ๋องก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเขา จึงสะบัดมือ จากนั้นก็ปรากฏด้ายสีเงินออกมา ตรงปลายด้ายมีลูกบอลเหล็กหนึ่งลูก แล้วซัดเข้าใส่ใบหน้าของหลิวหยิ่งทันที
หลิวหยิ่งปลีกตัวหลบ แต่กลับพบว่าเฟิ่งชิงหัววิ่งตรงไปยังประตูจวนแล้ว
“ขวางพระชายาเอาไว้ !”
องครักษ์ที่ลาดตระเวนอยู่ในจวนค่อย ๆ กรูกันเข้ามา เฟิ่งชิงหัวสะบัดแขนเสื้อกว้าง จากนั้นก็มีควันฟุ้งกระจายออกมา เมื่อบรรดาองครักษ์เหล่านี้สูดดมเข้าไป ก็ค่อย ๆ ไร้เรี่ยวแรงและล้มลงกับพื้นทีละคน
เฟิ่งชิงหัวฉวยโอกาสวิ่งออกจากประตูใหญ่ไป โดยเตะประตูจนกระเด็น และขึ้นนั่งหลังม้าของชายคนหนึ่ง แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็วจนไม่เห็นฝุ่น
ชายคนนั้นลุกยืนขึ้นจากพื้น จากนั้นจึงปัดฝุ่นที่อยู่บนตัว แล้วหันมองจวนอ๋องเจ็ดด้วยสีหน้าจนใจ : “คนที่ออกมาจากจวนอ๋องเจ็ดแต่ละคน เป็นคนประเภทไหนกันแน่ เป็นพวกหัวขโมยอย่างนั้นหรือ ไม่ได้ ข้าไม่มีทางให้อภัยแน่ ข้าจะต้องหาคนมาชดใช้ความเสียหายให้ข้าให้ได้ !”
ชายหนุ่มเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในประตูใหญ่ของจวน แต่กลับพบกับองครักษ์ที่นอนเรียงรายอยู่บนพื้นไม่มีใครขวาง เขาจึงเดินเข้าไปด้านในโดยสะดวก เมื่อเห็นจ้ายเป่ยเซียวที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในห้องโถงหลัก ก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้วยความโมโหยิ่งขึ้น
“ท่านพี่เจ็ด ! ท่านดูคนของท่านสิว่าป่าเถื่อนขนาดไหน จู่ ๆ ก็วิ่งออกมาแล้วถีบข้า จากนั้นก็ชิงม้าของข้าหนีหายไป ท่านบอกมาซิว่าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร !” ชายหนุ่มไม่ได้หันมองจ้านเป่ยเซียวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่กลับเดินตรงไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ด้วยทีท่าถามหาความรับผิดชอบ
“อ๋องสิบสอง ตอนนี้ท่านควรอยู่เรียนศิลปะอยู่ที่เหมยซานไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ทำไมจึงเดินทางเข้ามาเมืองหลวงตอนนี้ได้ ?” หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้น
“เฮ้อ นี่ไม่ใช้เพราะเสด็จพ่อเห็นว่า วันครบรอบวันเกิดของข้ากำลังจะมาถึงแล้วหรือ ข้ากับอาจารย์จึงลาหยุดมาครึ่งเดือน ใครจะไปรู้ว่า เพิ่งจะเข้ามาในเมือง เมื่อผ่านจวนอ๋องเจ็ดกลับถูกโจรปล้นตอนกลางวันแสก ๆ เสียแล้ว เจ้าบอกมาซิว่า คนที่ออกไปเมื่อครู่คือใคร ! รอให้ข้าจับตัวนางได้ก่อน ข้าจะถลกหนักและตัดเอ็นของนาง จากนั้นให้เสด็จพ่อทรงประหารชีวิตนางเก้าชั่วโคตร !” อ๋องสิบสองพูดขึ้นด้วยความโมโห
หลิวหยิ่งได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะเยาะออกมา : “อ๋องสิบสอง เมื่อครู่นั้นคือ……”
“แย่งม้าของเจ้าแล้วอย่างไร ?” ตอนนี้เอง จ้านเป่ยเซียวที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงเลิกคิ้วหันมองชายหนุ่ม
อ๋องสิบสองอยู่ในลำดับที่สิบสอง มีนามว่าจ้านชิงอิง ปีนี้มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ตอนอายุ 12 ปี เป็นเพราะป่วยหนัก จึงออกจากวังมาเพื่อรักษาอาการป่วย และเข้าตาเจ้าสำนักเหมยซานเข้า จึงรับตัวเอาไว้เป็นศิษย์ ไปครั้งนี้ก็เป็นเวลาถึงสี่ปี นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาเมืองหลวง
เมื่อจ้านชิงอิงได้ยินคำพูดที่น่ากลัวนี้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก็รู้สึกเสียวกระดูกสันหลังขึ้นมาทันที