พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 176 คำปฏิเสธ
ไป๋จื่อหยางได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ลำบากใจประสานมือกล่าวว่า “พระชายา ข้าน้อยเกรงว่าจะต้องทำให้ความไว้วางใจของพระชายาต้องเสียเปล่าแล้ว ที่ศาลาว่าการพระนครแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจศพหรือการผ่าชันสูตร อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการชันสูตรจะต้องได้รับหนังสืออนุญาตจากใต้เท้าเหยียนก่อน ต่อให้ข้าน้อยอยากตรวจ หรือกล้าตรวจก็ตามก็คงไม่สามารถผ่านด่านของใต้เท้าไปได้ ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี”
เฟิ่งชิงหัวหันไปมองจ้านเป่ยเซียว “เขาพูดความจริงหรือไม่ ยุ่งยากขนาดนี้เชียวหรือ”
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า “กฎของเทียนหลิงเป็นเช่นนี้เพราะต้องการช่วยคุ้มครองศพไม่ให้มีคนไม่หวังดีมาทำลายร่าง”
“แล้วถ้าหากเป็นคำสั่งของท่านล่ะ ไม่ได้เชียวหรือ” เฟิ่งชิงหัวจ้องไปที่ริมฝีปากของจ้านเป่ยเซียวรอให้เขาพูดเปรยออกมา
แต่ในใจของนางแอบคิดว่ามีอะไรบ้างที่จ้านเป่ยเซียวไม่กล้าทำ เพราะปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรต้องคอยมองหน้าคนอื่นก่อนอยู่แล้ว มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่ต้องมองหน้าเขาก่อน
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
เขากล่าวอย่างหนักแน่นและจริงจัง
เฟิ่งชิงหัวจับมือของจ้านเป่ยเซียวแกว่งไปมาแล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน “แม้แต่ท่านอ๋องก็ไม่มีทางหรือ”
ไป๋จื่อหยางเห็นสองสามีภรรยาหยอกเย้ากันราวกับไม่มีใครอยู่ด้วยเช่นนี้ ก็ก้มหน้าลงโดยสัญชาตญานแสร้งทำเป็นว่าตนเองไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
ริมฝีปากของจ้านเป่ยเซียวหยักยิ้มก่อนจะกระแอมเบาๆ สองครั้ง แล้วหันไปจ้องเฟิ่งชิงหัว “ต่อหน้าคนตั้งมากมาย เจ้าไม่กลัวว่าจะได้รับผลกระทบบ้างหรืออย่างไร”
เฟิ่งชิงหัวเห็นเขากล่าวเช่นนี้ก็ยิ่งแกว่งมือของเขาแรงขึ้น แขนเสื้อของเขาปลิวสะบัดไปมาท่ามกลางท้องฟ้า เกิดเป็นเสียงแกว่งไกวเบาๆ
จ้านเป่ยเซียวหรี่ตามองนางแล้วเอามือข้างหนึ่งไขว้ไปข้างหลัง จากนั้นโบกมือ ทันใดนั้นเองก็มีองครักษ์ลับสองสามนายปรากฎตัวออกมาทันที แล้วเอาศพห่อใส่ผ้าขาวแล้วหามออกไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา คนอื่นที่เหลือยังไม่ทันจะตั้งสติได้
เฟิ่งชิงหัวยิ้ม คนคนนี้ไม่เคยใช้วิธีการธรรมดาจริงๆ
“เอาล่ะ เจ้าไปชันสูตรได้แล้ว” เฟิ่งชิงหัวมองไปทางไป๋จื่อหยาง
ไป๋จื่อหยางพยักหน้าแล้วรีบมุ่งหน้าตามไปยังทิศทางที่องครักษ์ลับวิ่งห่างออกไป
เมื่อร่างของไป๋จื่อหยางหายเข้าไปในกอต้นกกแล้ว ฝูงชนที่เหลือก็วิ่งเข้ามา
“ท่านอ๋อง พระชายา เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ พวกท่านจะเอาศพไปที่ไหนกัน”
“ร่างพวกนั้นน่าจะเป็นโรคติดต่อ พวกเจ้าไม่เป็นห่วงประชาชนบ้างหรืออย่างไร”
คนพวกนั้นตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นสายตาอันแข็งกระด้างของเขา พวกเขาก็ได้กลืนคำพูดของตนเองลงคอไป
“ไปกันเถิด” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงแข็ง แล้วจูงมือเฟิ่งชิงหัวเดินจากไป
เฟิ่งชิงหัวกลับยิ้มแล้วหันไปมองคนพวกนั้น “พวกเจ้ารีบกลับกันไปเถิด จริงสิ ทางที่ดีพวกเจ้าควรกักตัวเอาไว้บ้าง เพราะหากเป็นโรคติดต่อจริง เมื่อครู่นี้พวกเจ้าอยู่ห่างจากข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่แน่พวกเจ้าอาจจะติดเชื้อแล้วก็ได้”
เมื่อกล่าวจบ ทั้งสองก็เดินจากไปทิ้งให้พวกเขายืนอย่างระส่ำระสายอยู่ตรงนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหยียนหรูชิงก็พาพวกของตนเองไปยังจวนเฉิงเซี่ยง เมื่อคนเฝ้าประตูจวนเห็นว่าคนจากศาลาว่าการพระนครมุ่งหน้ามาด้วยท่าทางเอาเรื่องเช่นนี้ก็รีบไปรายงานหนานกงจี๋
ในเวลานั้น หนานกงจี๋ที่กำลังร้อนใจเพราะทำคนหายเมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์สีหน้าก็เคร่งเครียด “เหยียนหรูชิงจากศาลาว่าการพระนคร เขามาทำอะไร”
หนานกงจี๋เป็นคนมีนิสัยลื่นไหล ส่วนเหยียนหรูชิงเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมา ปกติแล้วคนทั้งสองมักจะไม่ชอบหน้ากันอยู่แล้ว การที่เขามาอย่างกะทันหันเช่นนี้จะต้องไม่ได้เป็นเพราะมากินข้าวดื่มน้ำชากันดีๆ อย่างแน่นอน
“ใต้เท้าเหยียนบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากพบใต้เท้าขอรับ เขาพาเจ้าพนักงานมาอีกหลายคนราวกับว่าจะมาตรวจสอบบางอย่าง” องครักษ์กล่าว
“ตรวจสอบ?” หนานกงจี๋คลางแคลงใจ “ให้เขาเข้ามาสิ”
หนานกงจี๋เพิ่งจะเดินไปถึงห้องโถง เหยียนหรูชิงก็เดินอย่างเลือดร้อนเข้ามาแล้ว ยังไม่ทันจะนั่งเขาก็กล่าวว่า “ใต้เท้าหนานกง ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาสืบคดี ได้ยินมาว่าคุณหนูสามของจวนท่านโดนยาพิษ ตอนนี้หมดสติอยู่ เกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงหรือไม่”
หนานกงจี๋ชะงัก สีหน้าของเขาแสดงอาการประหลาดใจออกมา “นางอยู่ในจวนจริงๆ แต่เรื่องโดนยาพิษนั้นเกรงว่าจะมีอะไรเข้าใจผิดแล้วกระมัง”
“ใต้เท้าหนานกงอย่าปิดบังข้าเลย ข้าต้องการการยืนยัน หากคุณหนูสามไม่เป็นอะไรจริงๆ ช่วยเชิญนางออกมาให้ข้าได้เห็นหน่อยเถิดว่าจริงหรือเท็จ”
“ใต้เท้าเหยียนหมายความว่าอย่างไร ท่านเป็นชายนอกจวน มีที่ไหนให้ผู้หญิงออกมาให้ท่านตรวจสอบ” สีหน้าของหนานกงจี๋เคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“หากไม่สะดวก ใต้เท้าหนานกงได้โปรดนำทาง ข้าน้อยจะไปพบคุณหนูสามด้วยตนเอง” เหยียนหรูชิงไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของหนานกงจี๋ก็เอ่ยขึ้นทันที