พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 191 คุณหนูพอประมาณ
เฟิ่งชิงหัวนวดขมับอย่างอดไม่ได้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกกลับไปทางเดิมจนได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสถานที่เพิ่งจะแยกจากจ้านเป่ยเซียวเมื่อครู่นี้นั้น ข้างเสาระเบียงแห่งหนึ่งมีร่างสีดำสูงยางร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
ผู้ชายคนนั้นสวมชุดเพ้าดำทั้งตัว มือทั้งสองข้างเอาประสานกันไปด้านหลัง ได้ยินเสียงฝีเท้า หันหลังกวาดสายตามองไปยังเฟิ่งชิงหัว
คนผู้นี้ทำไมจึงยังอยู่ที่เดิม หรือว่ากำลังรอนาง?
ในหัวสมองเพิ่งจะมีความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นก็ถูกเฟิ่งชิงหัวลบเลือนทิ้งไป คนผู้นี้อย่างมากก็น่าจะหลงทาง เหตุใดเขาจึงใจดีที่จะรอนาง เขาไม่มีทางทราบว่าตนจะกลับมาหาเขาได้หรอก
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวก็กลับหลังหันแล้วก็เดินไปอย่างตัดใจ ยังไงนางก็กล่าวไว้แล้วว่าพูดกับเขาอีกก็เท่ากับว่าเป็นหมู
นางยืนอยู่ไม่ขยับไปไหน จ้านเป่ยเซียวก็ไม่ขยับเช่นกัน ทั้งสองคนยืนอยู่กลางสายลมยามค่ำคืน เจ้ามองข้า ข้าก็มองเจ้า
ใครก็ไม่เคลื่อนฝีเท้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว
เฟิ่งชิงหัวโมโหขึ้นมาเล็กน้อย คนผู้นี้ยืนบื้ออยู่ทำไมกัน ก็รีบไปสิ เป็นไปไม่ได้ที่เขาก็ไม่รู้ทางเช่นกันงั้นเหรอ
วังหลวงโดยปกติองครักษ์เยอะจะตายไป เหตุใดจะต้องไม่มีในเวลานี้ด้วย ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นเวลาลาดตระเวนหรอกหรือ?
ภายในวังหลวงก็ยังกล้าที่จะอู้งานเช่นนี้อีกหรือ?
และในตอนที่เฟิ่งชิงหัวหันหลังไปคิดอยากจะพึ่งพาตนเองในการเดินออกจากวังน่าพิศวงนี้ไป ทางด้านหลังจู่ๆ ก็มีเสียงที่น่าตกใจดังขึ้นมา: “พี่เจ็ด พวกท่านยังไม่ไปเหรอ กำลังรอข้างั้นเหรอ?”
ร่างทั้งร่างของท่านอ๋องสิบสองราวกับนกน้อยที่ดีใจตัวหนึ่งก็ไม่ปาน กางมือออกทั้งสองข้างแล้วกระพือมาอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองคน รอยยิ้มดูสดใสประกาย ดวงตาสว่างไสว
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวก็ยากที่จะเห็นคนที่ยังมีชีวิตที่สามารถพูดได้คนหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างซาบซึ้งน้ำตารวยรินว่า: “น้องชายใหญ่ไปด้วยกันเถอะ”
จ้านชิงอิงกลับมองมาทางเฟิ่งชิงหัวอย่างเปี่ยมไปด้วยรังเกียจ: “ใครเป็นน้องชายคนโตของเจ้า ข้าเป็นลุงเล็กของเจ้า”
เฟิ่งชิงหัวปาดเหงื่อบนใบหน้าออก สีหน้าท่าทางพยายามสุภาพที่สุด: “คุณลุงเล็ก ไปด้วยกันนะ”
จ้านชิงอิงส่ายหัว: “ไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวอึ้งไปอย่างผิดคาด: “ทำไม?”
“ชายหญิงสนิทใกล้ชิดกันไปไม่ได้ อีกอย่างท่านเป็นสะใภ้เจ็ดของข้า เดินไปด้วยกันมันใช่เรื่องที่ไหนกันเล่า ข้าไม่อยากมีข่าวลือฉาวโฉ่วในวันพรุ่งนี้ว่าสะใภ้อะไรหนีไปตามลำพังกับลุงเล็ก” ในขณะที่จ้านชิงอิงพูดอยู่นั้นยังแสดงท่าทางออกมาอยู่ในระยะที่ห่างจากเฟิ่งชิงหัวหลายฟุตอยู่ ค่อนข้างอยู่ใกล้กับจ้านเป่ยเซียวเสียมากกว่า
“พี่เจ็ดกลับจวนด้วยกันนะ” ต่อจ้านเป่ยเซียวแล้ว จ้านชิงอิงกลับแสดงสีหน้าท่าทางที่สนิมชิดเชื้อออกมา หากบอกว่าเป็นขาสุนับก็ยังบอกว่าได้เลย
ดวงตาของจ้านเป่ยเซียวตวัดไปมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง จ้านชิงอิงหดคอลงทันที ที่ตรงนั้นดูเย็นเยือกขึ้นมาเล็กน้อย ยังรู้สึกด้วยว่าร่างกายค่อนข้างหนาวขึ้นมา
“พี่เจ็ด ท่านเกลียดเสด็จย่าก็เอาไว้ก่อนเถอะ ข้าเป็นถึงน้องสิบสองสุดที่รักที่สุดของท่านเชียวนะ อย่าได้ปลดปล่อยธนูเย็นของท่านออกมาต่อข้าเลยนะ?” จ้านชิงอิงกล่าวออกมาด้วยถ้อยวาจาที่น่าสงสาร
“ไปให้พ้น” ฝ่ายชายกลัวดอกพิกุลจะล่วงเอา ก็เลยทิ้งตัวอักษรไว้ให้เขาหนึ่งคำทันที
จ้านชิงอิงรู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จับไปยังหน้าอกของตนเองแล้วทำท่าทางผิดหวังเสียใจออกมา: “พี่เจ็ด ท่านนับวันจะยิ่งเย็นชา เมื่อก่อนก็จะบอกให้ข้าหลีกไป ตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าเฉยชาจนมีเพียงแค่คำว่าไปให้พ้น เป็นอะไรกันที่มาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของพวกเรา? เป็นเวลา? หรือว่าระยะทาง? จะว่าไปเอาข้าจำเป็นจะต้องไปพำนักอยู่ที่จวนอ๋องของท่านชั่วคราวเพื่อบ่มเพาะความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเราแล้วล่ะ”
จ้านชิงอิงพูดออกมาเป็นกองเยอะแยะเต็มไปหมด แต่กลับพบว่าในครั้งนี้สายตาของพี่เจ็ดไม่มีเขาเลย แต่กลับมองเลยเขาไป มองไปยังสะใภ้เจ็ดที่อยู่ด้านหลังเขา
จ้านชิงอิงไม่พอใจเล็กน้อย มองไปยังจ้านเป่ยเซียว: “พี่เจ็ด เป็นข้าที่กำลังพูดกับท่านอยู่ ในสายตาของท่านเห็นข้าบ้างหรือปล่า?”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างใจเย็นออกมาอยู่ด้านข้าง: “ไม่ต้องตะโกนไปหรอก เขาหูหนวกไปแล้ว ข้าได้ลองแล้ว”
“ไร้สาระ พี่เจ็ดของข้าหูตาเป็นเลิศเชียวนะ หูของเขาสามารถได้ยินนกร้องที่อยู่บนท้องฟ้าหลายร้อยฟุตได้ ดวงตาสามารถพอที่จะเห็นเป้าธนูที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยฟุตได้ ร้ายกาจไหมล่ะ” จ้านชิงอิงเริ่มอวดพี่เจ็ดของตนข่มขึ้นมา ท่าทางน้องผู้หลงใหลที่ทะนงตัวเช่นนั้น ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนกันไม่มีผิดเลยเหมือนดั่งสายตาของพวกศิษย์หลานพวกนั้นของนางมองไปยังนางไม่มีผิด
เพียงแค่เขาแน่ใจเหรอว่าที่เขายกตนข่มนั้นไม่ได้ขี้โม้เกินไปน่ะ นั่นก็ย่อมไม่ใช่ว่าเป็นตาทิพย์ไปแล้วหรอกเหรอ?
เฟิ่งชิงหัวนึกถึงภาพนั้นก็สำลักเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
จ้านชิงอิงกล่าวออกมาอย่างไม่ยินดีนัก: “เจ้าขำอะไร? เจ้าไม่เชื่อ?”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหัวออกมาอย่างตั้งใจมาก: “ข้าไม่เชื่อ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะพิสูจน์ให้ข้าเห็น”
“พิสูจน์ยังไง?”
“เอางี้ พวกเราไปที่หน้าประตูวังหลวง หากเจ้าตะโกนร้องเรียกเขาอยู่ตรงนั้นแล้วเขาสามารถได้ยิน ข้าก็จะเชื่อที่เจ้าพูด”
“นั่นมีอะไรยากเล่า? ไปเลยสิ!” ในขณะที่พูดอยู่ จ้านชิงอิงก็หันหน้ากลับมา ตบหน้าอกตนเองและมองไปยังจ้านเป่ยเซียวด้วยท่าทางเชื่อมั่นและคึกคะนอง จากนั้นกล่าวว่า: “พี่เจ็ด ท่านรออยู่ที่นี่เดี๋ยวเดียว ข้าจะไปพิสูจน์ให้นางดูเดี๋ยวนี้ว่าท่านร้ายกาจขนาดนี้ องอาจขนาดนี้!”
ในใจของเฟิ่งชิงหัวยินดีอย่างยิ่งยวด กวาดสายตามองไปเห็นสายตาที่ฝ่ายชายมองมาที่ตนยิ่งลึกล้ำมากขึ้นภายใต้แสงรำไรนั้น เฟิ่งชิงหัวแหงนศีรษะขึ้น เตรียมที่จะตามหลังจ้านชิงอิงไปอย่างทะนงตัวมาก
จากนั้นนางก็รู้สึกถึงว่าด้านหลังของนางมีแสงกระจุกตัวกันแน่นิ่งที่ร้อนผ่าวอยู่บนหลังของนาง อันตรายราวกับว่าสามารถทะลุทะลวงนางได้
รอจนตอนที่เลี้ยวไปตรงมุม ลำแสงนั้นจึงหายลับไป เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะถอนหายใจออกมา แต่ยังไม่ทันได้รอจนลมหายใจนั้นหมดจด ก็รู้สึกว่ามีความขนลุกขึ้นที่ด้านหลัง กลับเป็นจ้านเป่ยเซียวที่ติดตามมาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล
เหตุใดจ้านชิงอิงจึงไม่ได้สังเกตเห็นอย่างไม่คาดคิดด้วย เดินไปพลางแล้วก็ยังพูดคุยกับเฟิ่งชิงหัวไปพลางด้วย
“ข่าวลือเป็นเรื่องจริง” จ้านชิงอิงจู่ๆ ก็กล่าวออกมา
เฟิ่งชิงหัวจงใจไม่ให้ความสนใจหางนั้นที่ตามติดมาด้านหลัง มองมาที่จ้านชิงอิงอย่างสงสัย: “ข่าวลืออะไร?”
“ก็ที่บอกว่าเจ้ารูปลักษณ์ก็พอดูได้ พรสวรรค์ก็พอประมาณ นิสัยก็พอประมาณ เป็นคุณหนูพอประมาณ” ในขณะที่พูดอยู่จ้านชิงอิงยังมองสังเกตเฟิ่งชิงหัวตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าเพื่อให้ความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าที่ตนเองพูดนั้นไม่ผิด แล้วก็พยักหน้าตามเรื่องที่กล่าวไป
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะออกมา: “ข้าขนาดนี้ยังบอกว่าพอประมาณงั้นหรือ? เกรงว่าเจ้าจะยังไม่เคยพบเจอแม่นางน้อยมากเสียเท่าไร? ยังมีหน้ามาวิจารณ์ข้าเช่นนี้?”
อายุในภพชาตินี้ของเฟิ่งชิงหัวเพียงแค่โตกว่าจ้านชิงอิง 2 ปีเท่านั้น ถูกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งมาวิจารณ์ตนเองว่าพอประมาณ นี่มันไม่ใช่เรื่องควรค่าที่จะไปคุยโวโอ้อวดได้นะ
จ้านชิงอิงกระแอมออกมาอย่างเย็นชา: “ที่ข้าพบเจอมาก็ไม่ได้มากมาย แต่ว่าผู้หญิงที่เคยมาห้อมล้อมพี่เจ็ดของข้าแต่ละคนนั้นก็สวยกว่าและมีพรสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเช่นนี้ ไม่มีโอกาส อย่าคิดจะมาดึงความสนใจจากพี่เจ็ดของข้าเลย เพื่อเลี่ยงที่จะไม่ให้เจ้าต้องไปนั่งน้ำตาอาบแก้มในภายภาคหน้า
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น: “ดวงตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าข้าดึงความสนใจจากพี่เจ็ดของเจ้างั้นหรือ?”
“อย่าปกปิดอีกเลย ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบพี่เจ็ดของข้า เพื่อเขาแล้วไม่ใช่จะเป็นจะตายเอาให้ได้ก็ไม่แต่งเลยตลอดชีวิต เพียงแค่พูดถึงท่านนั้นที่อยู่ในจวนของเขา จนบัดนี้ก็ไม่ยอมออกจากจวนอ๋องเสียที”
“คนนั้นเหรอ” เฟิ่งชิงหัวลูบคลำคางครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “เพียงแต่ว่าตอนนี้นางถูกกักขังเอาไว้ เดาว่า 3-5 ปีก็ออกมาได้กระมัง”
“ขังเอาไว้เหรอ? เป็นแผนชั่วของเจ้าน่ะสิ? คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงเช่นนี้อย่างเจ้าจะมีกลอุบายอยู่บ้าง งั้นก็ไม่เป็นไร ยังมีอีกมากมาย ตระกูลรองเจ้ากรมท่านนั้นเป็นถึงกิ่งทองใบหยกของพี่เจ็ดข้า รูปลักษณ์ความสามารถต่างสูงส่ง ตอนนี้ยังไม่ได้แต่งเลย ก็เป็นเพราะเฝ้ารอพี่เจ็ดของข้าอย่างใจจดจ่ออยู่”
“ท่านนั้นน่ะเหรอ รูปลักษณ์ก็ไม่เลว เพียงแต่ได้ยินว่าครั้งก่อนจงใจไปทำเป็นบังเอิญเจอกับองค์รัชทายาท เช่นนี้ก็นับว่ารออย่างบ้าคลั่งเหรอ? รอไปพลางแล้วก็หาคนใหม่ไปพลางงั้นเหรอ? นี่นับว่าเป็นการขี่ลาหาม้าหรือเปล่า?”
จ้านชิงอิงอึ้งไปครู่หนึ่ง: “งั้นยังมีองค์หญิงเป่ยเว่ยท่านนั้นล่ะ เพื่อพี่เจ็ดของข้าแล้วจะตายให้ได้เลย บัดนี้ยังอยู่ในวังหลวงไม่ยอมจากไปไหนเลย!”
“ไม่ใช่ว่านางเสียโฉมไปแล้วหรือ? ตอนที่นางยังไม่ได้เสียโฉมเอาความตายมาบีบคั้นพี่เจ็ดของเจ้ายังไม่ยอมรับปากจะแต่งนางเลย ตอนนี้เสียโฉมไปแล้ว พี่เจ็ดของเจ้าจะยังตกลงปลงใจเพราะนางเสียโฉมอีกงั้นหรือ?”