พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 193 ของใหม่ที่ใคร ๆ ก็เห่อ
เฟิ่งชิงหัวกลายเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในดีที่เกิดขึ้นนี้ไปโดยปริยาย ไม่มีตำแหน่งทางราชสำนักอะไรทั้งสิ้น ยิ่งไม่มีประสบการณ์ใดๆ ด้วย ที่พอดีก็ประมาณว่ามีเพียงหัวโขนที่เป็นท่านอ๋องเจ็ดผู้นี้ ดังนั้นนางเตรียมตัวขึ้นตำแหน่งใหม่นี้ที่ใครๆ ก็เห่อ เอาไฟกองนี้ไปสุมเผาจวนเฉิงเซี่ยงก่อนเลย
ใช้ป้ายติดตัวที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองให้นางระดมกำลังเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่รวมๆ 300 นาย ล้อมจวนเฉิงเซี่ยงทั้งจวนไว้อย่างแน่นหนา ทั้งรุนแรงซึ่งหน้าและตรงไปตรงมา ทำให้พวกชาวบ้านที่อยู่หน้าประตูจวนเฉิงเซี่ยงต่างพากันคิดว่าเฉิงเซี่ยงต้องโทษความผิดอันใดอะไร เตรียมที่จะถูกยึดทรัพย์
เฟิ่งชิงหัวกวักเรียกคนผู้หนึ่งให้ขึ้นไปเคาะประตู หลังจากพูดกับผู้เฝ้าประตูชัดเจนแล้ว ทางนั้นก็ตอบกลับมาว่าจะไปเรียนให้นายท่านทราบ จากนั้นประตูนั้นก็ไม่ได้เปิดอีกนานมาก
เฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ก็เลยให้คนยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งตัวตรงอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ทางด้านของจวนเฉิงเซี่ยง ในมือถือแส้ที่หาเจอในห้องหนังสือของจ้านเป่ยเซียวหนึ่งเส้นอยู่ อีกทั้งเดี๋ยวกันตวัดออกไปอยู่บ้างเป็นครั้งคราว
ชาวบ้านที่ห้อมล้อมอยู่นั้นยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางด้านหน้าประตูทางเข้า เสียงก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
เฟิ่งชิงหัวชี้มั่วซั่วไปยังคนที่ดูจะพูดจาคล่องแคล่วคนหนึ่งแล้วกล่าวว่า: “เจ้า บอกกับทุกคนหน่อยว่าวันนี้พวกเรามาทำอะไรกัน”
“ขอรับ” องครักษ์นั้นจัดแจงชุดเกราะบนร่างทั้งร่าง แล้วก็กล่าวด้วยเสียงดังกระจ่าง
“เมื่อวานใต้เท้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และใต้เท้าเหยียนแห่งศาลาว่าการพระนครพบศพหลายศพเข้าด้วยกัน ศพพวกนี้ต่างตายเพราะถูกพิษ ในขณะเดียวกัน ฝ่าบาทสงสัยว่าคุณหนูสามแห่งจวนเฉิงเซี่ยงก็ถูกพิษด้วยเช่นกัน ฝ่าบาททรงมีความห่วงใย เลยให้คุณหนูสามเข้าไปอยู่ในวังเพื่อให้หมอหลวงทำการวินิจฉัย แต่จวบจนตอนนี้ ทั้งตระกูลเฉิงเซี่ยงไม่ได้ส่งคนเข้าวังหลวงเลย ไม่เพียงเท่านี้ ประตูจวนก็ปิดสนิท ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่”
เฟิ่งชิงหัวได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า แสดงความยอมรับในความสามารถของการกล่าวอธิบายออกมาของคนผู้นี้
พวกชาวบ้านโดยรอบต่างเริ่มวิจารณ์เสียงเบาๆ ขึ้นมา
“เช้านี้พวกเราก็ได้ยินว่า ที่บอกว่ารูปร่างหน้าตาของศพหลายศพนั้นก็ไม่ชัดเจนนัก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีญาติมารับไปเลย”
“ใช่แล้วล่ะ พิษนั้นดูรุนแรงมาก ตามที่ได้ยินมีคนที่ใจกล้าปลอมเป็นคนในครอบครัวไปดูแล้ว พอเห็นสภาพแล้วก็ตกใจไปเลย”
“งั้นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีนะ ในเมื่อคุณหนูสามก็ถูกพิษ งั้นก็ควรจะเข้าวังไปรักษาสิ ไม่แน่ว่ายังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
“คุณหนูสามผู้นั้นหากอยู่ในจวนดีๆ ไม่ได้ไปไหนแล้วจะถูกพิษได้อย่างไรกันเล่า ศพหลายศพนั้นที่พบต่างก็เป็นผู้ชายหมด ก็มีเพียงเขาที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลเฉิงเซี่ยงคิดที่จะปกปิดอะไรอยู่? อีกอย่างข้าได้ยินว่าคุณหนูสามนิสัยไม่มีเหตุผลเอาแต่ใจ ไม่แน่ว่าก็อาจจะไปล่วงเกินใครเข้า ตระกูลเฉิงเซี่ยงรู้สึกว่านางทำให้ขายหน้า ไม่ยอมส่งเข้าวังน่ะสิ”
“แต่นี่มันคืออะไรขายหน้าไม่ขายหน้าเหรอ? ข้าได้ฟังศาลาว่าการพระนครทางนั้นกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าถูกพิษอะไรเลย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมียาถอนพิษ คุณหนูสามผู้นี้เข้าวังก็เท่ากับว่าหนีเสือปะจระเข้ ไม่แน่ว่าก็เพียงแค่ลองยาเท่านั้น พ่อแม่คนเขาก็เลยทำใจไม่ได้”
“แต่ว่าหากนางไม่ไป งั้นก็ไม่ใช่ว่ารอแค่เพียงความตายหรอกเหรอ? หากสามารถขจัดพิษออกอย่างง่ายดายเช่นนั้น นั่นก็ยังต้องเข้าวังอีกหรือ?”
“ปัญหาที่ข้าเป็นกังวลมากที่สุดคือ คุณหนูแห่งตระกูลเฉิงเซี่ยงคนคนเขาสามารถได้รับพระมหากรุณาธคุณจากฮ่องเต้ให้เข้าวังถอนพิษได้ หากหาคนที่บงการวางยาพิษเบื้องหลังไม่เจอ คนอย่างพวกเราพวกนี้ที่เป็นประชาชนธรรมดาถูกพิษขึ้นมาก็จะต้องรอความตายเพียงอย่างเดียวให้หรือเปล่า?”
“ดังนั้นควรจะให้คุณหนูหนานกงเข้าวังไปดักว่าเนอะ? หากสามารถหายาถอนพิษเจอได้ งั้นหากพวกเราถูกพิษ ก็ไม่เท่ากับว่าต้องรอความตายนะ?”
คนเหล่านี้ยิ่งพูดก็ยิ่งใจสั่นหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมา ก็กระสับกระส่ายก็ยิ่งขยับเท้าออกไปไม่ได้
เฟิ่งชิงหัวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกว่าเวลาก็น่าจะพอประมาณแล้ว คราวนี้ก็เลยให้คนขึ้นไปเคาะประตูเรียกอีก และกล่าวว่า: “คนที่อยู่ด้านในหากไม่ยอมเปิด พวกเจ้าก็เข้าไปเลย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าที่เป็นพระชายาจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง”
ได้ยินเฟิ่งชิงหัวพูดเช่นนี้ องครักษ์พวกนี้ยิ่งไม่มีความกังวลอะไรเลย พวกเขาเดิมก็เป็นองครักษ์ที่เฝ้าอารักขาพระนครอยู่แล้ว ฟังคำสั่งของฮ่องเต้เซวียนถ่งโดยตรง บัดนี้เฟิ่งชิงหัวมีป้ายสั่งการอยู่ในมือ เป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมฟังนาง
หลังจากเคาะไปที่ประตูหลายครั้งก็ไม่ได้ผล เฟิ่งชิงหัวก็เลยสั่งการออกไปว่า: “บุกเข้าไป”
จากนั้นองครักษ์หลายนานก็พร้อมเพรียงกัน เตะไปยังประตูจวนเฉิงเซี่ยงให้เปิดออกโดยตรงแล้วก็พังประตูเข้าไป
เพิ่งจะบุกเข้ามาแค่ไม่กี่เมตร ฮูหยินเฉิงเซี่ยงและหนานกงเยว่หลีก็นำพาผู้รับใช้หลายคนเดินออกมา
“ที่นี่เป็นจวนเฉิงเซี่ยง ใครให้พวกเจ้าบุกเข้ามา ถอยออกไปให้พ้นให้หมดเลยนะ!” ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกล่าวออกมาด้วยอารมณ์โมโห จากนั้นมองมาทางเฟิ่งชิงหัว แล้วกล่าวออกมาอย่างกราดเกรี้ยวว่า: “หนานกงเยว่ลั่ว ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ยังไงเจ้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในจวนเฉิงเซี่ยงเช่นกัน นำพาคนมาบุกรุกพังประตูจวนเฉิงเซี่ยงเช่นนี้ ที่แท้แล้วเจ้าเห็นหัวข้าบางหรือเปล่า? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าการกระทำของเจ้าเช่นนี้เป็นการกล้าบ้าระห่ำ เป็นคนอกตัญญูอย่างยิ่ง!”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองมาที่ฮูหยินเฉิงเซี่ยง: “ท่านแม่ ข้ายังคิดว่า ในจวนนี้ไม่มีคนเสียอีก”
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงกระแอมเสียงเย็นชาออกมา: “ท่านพ่อของเจ้าเข่วังไปพบฝ่าบาทให้ดึงราชรับสั่งกลับคืนแล้ว ให้น้องสามของเจ้าพักรักษาตัวอยู่ในจวน ที่นี่ไม่มีธุระอะไรของเจ้า พาทหารก้ามปูพวกนี้ของเจ้าไปให้พ้น!”
หนานกงเยว่หลียืนอยู่ด้านข้าง สวมชุดขาวไว้ทั้งตัว ดูสง่างามและสะอาดสอ้าน ตอนที่พูดก็เหมือนว่าจะแฝงไว้ด้วยแสงแห่งวงแหวน ช่างดูเร้าใจคนเป็นพิเศษ
“น้องรอง ไม่ว่าระหว่างเจ้ากับท่านพ่อมีความเข้าใจผิดมากแค่ไหน แค่ยังไงเจ้าก็เป็นคุณหนูรองแห่งจวนเฉิงเซี่ยง เหตุใดเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยก็ตาต่อตาฟันต่อฟันกับท่านพ่อแล้ว บัดนี้ยิ่งอาศัยโอกาสนี้มาเหยียบย่ำจวนเฉิงเซี่ยงด้วย ข้าและท่านแม่ต่างก็เป็นคนในครอบครัวของท่าน นี่เจ้าไม่แบ่งแยกดีชอบแล้วก็มาล้อมบ้านแม่ของตนเองเอาไว้ มันมากเกินไปหรือเปล่า?”
“แม้ว่าเจ้าจะแต่งเข้าไปในจวนท่านอ๋องเจ็ดแล้ว แต่ยังไงพวกเราถึงจะเป็นคนครอบครัวเดียวกัน มีบุญคุณหรือความบาดหมางอะไรที่ไม่อาจแก้ไขได้ แม้ว่าโดยปกติแล้วน้องสามจะไม่ถูกกับเจ้า แต่ว่าเจ้าก็อาจมาปรักปรำว่านางถูกพิษเช่นกัน จะมาพานางออกไปเพื่ออยากจะรังแกนางงั้นเหรอ? ข้าขอร้องเจ้า ปล่อยนางไปเถอะ ได้ไหม?” คำพูดช่วงท้ายของหนานกงเยว่หลียังแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงของการขอร้องอยู่ในนั้นด้วย