พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 2 ถูกขวางไม่ให้เข้าจวน
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 2 ถูกขวางไม่ให้เข้าจวน
หนางกงลู่ซิ่วยิ้มอย่างอวดดีกว่าปกติ “ไม่ พี่ใหญ่ วันหน้าข้าจะไปรบกวนพี่รองที่จวนอ๋องบ่อยๆเลยทีเดียว เวลาที่พี่น้องสองเราจะได้อยู่ด้วยกัน ยังมีอีกมากโขเลย”
ว่าแล้ว ก็สะบัดแส้ในมือขึ้นมา ฟาดไปทางเฟิ่งชิงหัวอย่างแรง
เฟิ่งชิงหัวมุมปากกระตุก การเคลื่อนไหวรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ คว้าหมับไปที่มือของหนานกงลู่ซิ่วทันที จากนั้นก็สะบัดไปมาสองที
ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด หนานกงเยว่หลียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าเกิดความเจ็บปวดที่แผ่นหลังราวกับมีเข็มนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงอยู่
เฟิ่งชิงหัวแสร้งเอามือปิดปากทำเสียงตกใจว่า “น้องสาม เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจที่ปกติแล้วพี่ใหญ่ชอบเรียกใช้เจ้าราวกับเป็นบ่าวรับใช้ แต่เจ้าก็ไม่ควรจะทำร้ายพี่ใหญ่เช่นนี้ ถ้าท่านแม่รู้เข้าคงจะถลกหนังเจ้าออกมาแน่”ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเป็นคนนิสัยดุร้ายที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง คนในบ้านไม่มีใครไม่กลัวนาง
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว หนานกงลู่ซิ่งก็รู้สึกตื่นตระหนกมาก “ไม่ใช่ข้าไม่ใช่ข้า เป็นเจ้า เจ้าต่างหากที่ทำร้ายพี่ใหญ่”
“ข้าตีหรือ แต่แส้อยู่ในมือเจ้าตลอดเลยมิใช่หรือ”เฟิ่งชิงหัวพูดยิ้มๆ
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปประคองหนางกงเยว่หลีที่ล้มอยู่บนพื้นขึ้นมา จงใจยื่นมือออกไปลูบหลังให้กับนาง ทำเอานางเจ็บปวดจนเป็นลมหมดสติไป จากนั้นก็ปล่อยให้นางล้มลงกับพื้น ชายกระโปรงสีขาวกลายเป็นสีฝุ่นไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวคนนี้เป็นคนมีนิสัยประหลาด รำคาญคนใส่ชุดสีขาวที่สุด คุณหนูใหญ่คนนี้กระตุ้นจุดนั้นของนางเข้าอย่างไม่รู้ตัว จึงต้องเจ็บตัวโดยที่ไม่รู้ว่าผิดอะไร
เมื่อหนานกงลู่ซิ่วเห็นดังนั้นก็อยากจะวิ่งหนี เฟิ่งชิงหัวสะบัดแขนเสื้อ หนานกงลู่ซิ่วจึงพุ่งตรงไปชนเข้ากับกระถางดอกไม้ในสวนจนสลบไป
เมื่อเฉิงเซี่ยงพาคนเข้ามาและเห็นลูกสาวทั้งสองคนของตนเองเป็นลมหมดสติอยู่ที่พื้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า “เฟิ่งชิงหัว เจ้าตกลงกับข้าแล้วว่าจะไม่ก่อเรื่องในจวนเฉิงเซี่ยง”
เฟิ่งชิงหัวเอียงหน้าเล็กน้อย “แต่ว่าตอนนี้ข้าเป็นหนานกงเยว่ลั่วนี่นา อีกอย่าง วันนี้เป็นวันมงคลของข้า จะก่อเรื่องอะไรได้ ก็แค่แกล้งพวกนางเล่นๆเท่านั้น”
เฉิงเซี่ยงได้ยินดังนั้น ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สั่งให้บ่าวรับใช้นำตัวคุณหนูทั้งสองไปรักษาตัว จากนั้นจึงเอ่ยอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “เกี้ยวเจ้าสาวของจวนอ๋องไม่มา แต่ถ้าหากการแต่งงานวันนี้ไม่สำเร็จลุล่วง ฮ่องเต้คงจะทรงกริ้วมากแต่ก็คงไม่ทำอะไรท่านอ๋อง แต่เกรงว่าจะโทษจวนเฉิงเซี่ยงของข้าแทน”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้น “แล้วยังจะรออะไรเล่า เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปพบสามีของข้าเอง”
เกี้ยวเจ้าสาวของจวนเฉิงเซี่ยงมีดนตรีประกอบตลอดทางไปจนถึงหน้าประตูจวนอ๋อง แต่ประตูกลับปิดสนิท แม้แต่องครักษ์ที่เฝ้าประตูสักคนก็ไม่มี
บนถนนมีชาวบ้านที่สอดรู้สอดเห็นไม่น้อยมารอดูละครฉากเด็ด และกำลังวิพากษ์วิจารณ์ขบวนเจ้าสาวอยู่
“คนที่อยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวเป็นลูกสาวของรองของเฉิงเซี่ยงแห่งราชวงศ์ปัจจุบันหนานกงเยว่ลั่ว เดิมทีได้หมั้นหมายกับองครัชทายาทแล้ว แต่ภายหลังเพราะไร้ซึ่งความสามารถและคุณธรรมจึงถูกประทานให้แต่งกับท่านอ๋องเจ็ด คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ท่านอ๋องเจ็ดที่ตอนนี้นอนซมอยู่บนเตียงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ก็ยังไม่ยินดีจะเอาคุณหนูรอง ถึงกับปฏิเสธอย่างเปิดเผย แม้แต่เกี้ยวแต่งงานก็ไม่ส่งไปรับ”
“จะว่าไปแล้วท่านอ๋องเจ็ดก็ช่างเป็นดาวเคราะห์เสียจริง คาดว่าคงจะสร้างบาปกรรมไว้มาก ไม่เช่นนั้นเขาที่มีอายุแค่ยี่สิบกว่าเท่านั้นในตอนนี้ ทำไมจึงไม่มีพระชายาเลยแม้แต่คนเดียว หญิงสาวเหล่านั้นถ้าไม่ใช่เพราะป่วยตาย ก็เป็นบ้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ช่างน่ากลัวเสียจริง”
“แต่คุณหนูรองคนนี้ถูกส่งมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว เขาก็ยังไม่เอา ถ้าหากเป็นข้า ถูกดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ คงจะเอาหัวชนกำแพงตายไปตั้งนานแล้ว แค่ได้ยินข้ายังรู้สึกอับอายเลย”
เฟิ่งชิงหัวที่อยู่ในเกี้ยวได้ยินคำพูดนี้เข้า ก็ยิ้มออกมา
ขายหน้า ประเดี๋ยวใครกันแน่ที่จะต้องอับอายขายหน้า
เลิกผ้าม่านของเกี้ยวขึ้น เห็นเพียงผ้าคลุมศีรษะเจ้าสาวที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว ใบหน้าที่งดงามประณีตนั้นเต็มไปด้วยความเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกสักนิดที่ถูกบ้านสามีปฏิเสธไม่ให้เข้าบ้านเช่นนี้
“เด็กๆ กระแทกประตูจวนอ๋องให้เปิดออกเดี๋ยวนี้”