พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 202 เผ่าเซียนเปย์
เฟิ่งชิงหัวเดินตามสตรีสองสามนางเข้าไปพลันได้ยินเสียงคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูด้วยรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์แล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้า นี่คือคนของพวกเราที่ได้รับการฝึกอบรมมาใหม่ ท่วงท่าในการร่ายรำนั้นสวยงามมาก เร็วเข้า รีบไปเต้นให้ใต้เท้าดูเร็วเข้า”
จากนั้น สตรีสองสามนางก็เริ่มร่ายรำขึ้นมา เฟิ่งชิงหัวที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็ร่ายรำด้วย โชคดีที่นางไม่ได้แสดงท่าทางพิรุธออกไป นางร่ายรำไปพลางฟังบทสนทนาของพวกเขาไปด้วย
เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขาก็รู้ว่าไม่ใช่ภาษาของคนเทียนหลิง แววตาของเฟิ่งชิงหัวจึงเกิดประกายประหลาดใจเกิดขึ้น
เพราะนั่นเป็นภาษาของเผ่าเซียนเปย์
แคว้นของเผ่าเซียนเปย์ คือแคว้นหวยซัง เมื่อร้อยปีก่อนโดนแคว้นอื่นๆ โจมตีจนล่มสลายไปแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาที่เหลืออีกพันกว่าคนก็หายตัวไปภายในชั่วพริบตาโดยไม่รู้ว่าหายไปไหน จึงไม่คาดคิดว่าจะเจอพวกเขาอยู่ที่นี่
ที่เฟิ่งชิงหัวรู้จักภาษาของเผ่าเซียนเปย์เป็นเพราะว่าบังเอิญได้รับบันทึกประวัติศาสตร์ของเผ่าเซียนเปย์มา และด้านในมีการบันทึกภาษาของพวกเขาเอาไว้ด้วย
แม้ว่าภาษาที่ลึกซึ้งมากกว่านี้นางอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่หากเป็นภาษาง่ายๆ ไม่ซับซ้อนนางยังพอจะฟังออกอยู่บ้าง
ในตอนนั้นนางก็ได้ยินผู้ชายสองสามคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ ภาษาที่พวกเขาใช้นั้นหยาบคาย เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกลอกตา
นางคิดไม่ถึงว่าการกระทำของนางจะมีคนเผ่าเซียนเปย์มองเห็น เขาชี้มาที่นาง เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะรู้ตัว องครักษ์ที่เฝ้าประตูอยู่ก็เดินเข้ามาเรียกนาง “ใต้เท้าให้เจ้าไปปรณนิบัติ เจ้ายังไม่รีบเข้าไปอีก”
เฟิ่งชิงหัวเดินก้มหัวเข้าไปอย่างระมัดระวัง ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ คนคนนั้นหลีกทางให้ เฟิ่งชิงหัวจึงเดินเข้าไปแทนที่ตำแหน่งของนางและเริ่มช่วยเขาเทเหล้า
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า เมื่อครู่นี้นางจ้องมองมาที่ข้า พอเข้ามาดูใกล้ๆ กลับไม่เห็นจะมองเลย” ชายที่อยู่ข้างๆ เฟิ่งชิงหัวเอ่ยปากขึ้น
“สนใจนางใช่หรือไม่ หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจก็ควักลูกตานางออกเสียสิ” ชายอีกคนเอ่ยขึ้นเช่นนี้
ริมฝีปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุก มิน่าเล่านางถึงเคยได้ยินว่าคนเผ่าเซียนเปย์มีนิสัยดุร้าย ความคิดอ่านไม่เหมือนอย่างคนทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า “เถื่อน”
“ไม่ๆๆ ข้าคิดว่านางน่าสนใจดี ข้าอยากเก็บนางเอาไว้”
“เก็บเอาไว้? เจ้าลืมภารกิจที่พวกเรามาในครั้งนี้แล้วหรือ?”
ภารกิจ? เฟิ่งชิงหัวรีบเงี่ยหูฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ
“ไม่ลืมแน่นอน ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องไปอยู่ดี ข้าขออยู่เล่นกับนางให้นานๆ หน่อย โอกาสก็จะยิ่งมากไม่ใช่หรือ”
“อย่างไรตัวเจ้าก็จำเอาไว้ให้ดีก็แล้วกันว่าภารกิจของตัวเองคืออะไร พวกเราคงช่วยเจ้าทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกเราเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย”
เฟิ่งชิงหัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็ยิ่งรู้สึกสับสน ที่พวกเขามาในครั้งนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่ ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นเรื่องสำคัญมาก ในเมื่อเป็นเรื่องสำคัญและต้องอยู่ที่นี่ แถมยังเรียกผู้หญิงมากมายมาคอบดูแลรับใช้เช่นนี้อีก?
แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าใกล้ แต่ชายเผ่าเซียนเปย์ผู้นั้นก็ไม่ได้ยื่นมือมาเกาะแกะนางก่อนเช่นกัน ดวงตาทั้งสองของเขาจ้องมาที่นางราวกับกำลังแอบมองนางอยู่
ไม่นานนัก ชายที่เหลืออีกสามคนก็พาสตรีของพวกเขาออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงเขาคนเดียวและสตรีที่ที่เหลืออีกสิบกว่าคน
“ให้พวกนางออกไปเถิด ข้าไม่ชิน” ชายคนนั้นใช้ภาษาเผ่าเซียนเปย์เอ่ย
ไม่นานนัก องครักษ์คนนั้นก็พาสตรีคนที่เหลือออกไปอย่างนอบน้อม
เฟิ่งชิงหัวแสร้งนั่งลงบนเบาะอย่างว่าง่าย พลางแอบเหลือบตามองคนที่อยู่ตรงหน้า หากมองแค่นี้ก็พอเดาได้ว่าชายคนนี้ไม่ค่อยมีวรยุทธ์เท่าไหร่นัก
เมื่อได้ยินสำเนียงการพูดของเขา ก็พอจะเดาได้ว่ายังเป็นเด็กอยู่
ตอนที่เขาไม่ทันสังเกต เฟิ่งชิงหัวเตรียมจะใช้ยานอนหลับกับเขาอยู่นั้นก็ได้ยินชายคนนั้นเอ่ยภาษาเทียนหลิงออกมาอย่างไม่ค่อยคล่องแคล่วเท่าไหร่นัก “เจ้า ไม่ ต้องกลัว ข้า เป็นคน อ่อนโยน”
พูดภาษาเทียนหลิงได้ด้วยแฮะ
สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวปรากฏอาการประหลาดใจออกมา จากนั้นจึงถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วตะโกนว่า “ใต้เท้าอย่าเข้ามาเจ้าค่ะ”
คนผู้นั้นราวกับต้องการจะพิสูจน์อะไรบางอย่างจึงรีบเอ่ยปากออกมาว่า “ข้า ข้า ข้าไม่ใช่ คนเลว”
ระหว่างที่กล่าวก็ถอดเสื้อคลุมสีดำด้านนอกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์เป็นพิเศษของเขา
เขาสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลวดลายในแบบของชนต่างถิ่น บนศีรษะของเขายังคงใส่หมวกที่มีขนนกอยู่ห้อยอยู่ด้วย หูของเขายังใส่ห่วงกลมที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นของเด็ก ใบหน้าของเขามีสีขาวซีดราวกับไม่โดนแดดมาเป็นเวลานานอย่างน่าสะพรึงกลัว
ใบหน้าของชาวเผ่าเซียนเปย์แตกต่างจากชาวเทียนหลิงรวมทั้งชาวเมืองอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มองเพียงแว็บเดียวก็ดูออก ไม่แปลกที่พวกเขาจะต้องมีสิ่งของบดบังใบหน้าเอาไว้
ชายคนนั้นที่ดูเป็นวัยรุ่นมองเฟิ่งชิงหัวที่กำลังมองสำรวจตัวเองอยู่ แล้วเอ่ยปากอธิบายว่า “ชื่อของข้า คือปี่ซ่า ข้าชอบเจ้า เจ้า ยอมเป็นผู้หญิงของข้าหรือไม่”
เรื่องอะไรกัน นี่ต้องการจะขอความรักกันแล้วหรือ?
ปี่ซ่าพยายามอธิบายอย่างระมัดระวัง “เจ้า คือ ผู้หญิงคนแรก ข้าสามารถ ขอร้อง ผู้อาวุโส ให้ ไว้ชีวิต เจ้ารวมทั้ง ลูกของพวกเรา”
แม้ว่าจะเป็นคำพูดง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยค แต่ในหัวของเฟิ่งชิงหัวกลับเกิดความคิดกล้าหาญบางอย่างขึ้นมา
นั่นก็คือ คนสี่คนในคืนนี้เป็นชาวเผ่าเซียนเปย์ ซึ่งเผ่าเซียนเปย์ได้ล่มสลายไปเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว แต่พวกเขาไม่กี่คนกลับยังมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างแข็งแกร่ง และหลังจากนั้นพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะมีแผนการบางอย่างโดยพยายามเริ่มใช้สายเลือดพิเศษของตนเอง และเริ่มให้ผู้หญิงจากแคว้นอื่นตั้งท้องเด็กที่มีสายเลือดของพวกเขา
ผู้หญิงทั้งหมดในคืนนี้ ล้วนเป็นผู้หญิงที่พวกเขาหามาทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้หนานกงลู่ซิ่วก็ได้พบกับเผ่าเซียนเปย์มาก่อน แต่น่าจะใช่คนกลุ่มนี้ คนพวกนี้น่าจะมาในคราวหลัง ในทุกๆ ครั้งในแต่ละช่วงเวลาพวกเขาจะเปลี่ยนกลุ่มกันมา
ทว่าคนพวกนี้มีความข้องเกี่ยวกับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่หายตัวไปและโดนยาพิษอย่างไร หรือว่าสตรีเผ่าเซียนเปย์ก็กำลังตามหาผู้ชายอยู่เช่นกัน
เฟิ่งชิงหัวกำลังตกใจกับความคิดที่แปลกประหลาดของตัวเองอยู่
ในขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์นั้น ชายหนุ่มผู้นั้นก็เข้ามาใกล้เฟิ่งชิงหัว แล้วมองเฟิ่งชิงหัวด้วยสายตาหลงไหลเคลิบเคลิ้ม “เจ้า ชื่อ อะไร”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวโดยสัญชาตญาณ “เซียวเซียว”
ปี่ซ่าอมยิ้ม “เป็นชื่อ ที่ไพเราะมาก”
ระหว่างที่กล่าวก็ค่อยๆ เดินเข้ามา เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไปกดไหล่ของเขาเอาไว้ด้วยท่าทางเขินอายแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่อยากทำที่นี่”
ปี่ซ่าถูมืออย่างเขินอาย “ขอโทษ ข้า ข้า ค่อนข้าง ตื่นเต้น พวกเขา เตรียมห้องไว้แล้ว ข้าจะพาเจ้าไป”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าแล้วเดินขึ้นหอไปพร้อมกับเขา
ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว บนพื้นบางพื้นที่เริ่มแห้งแล้ว
ทั้งสองเดินอ้อมทางเดินไปยังห้องนอนห้องหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวจัดการทำให้ปี่ซ่าหมดสติไปโดยทันทีเมื่อก้าวเข้าไปในห้อง และแสร้งทำท่าทางเช่นเขาและเปลี่ยนไปใส่เสื้อคลุมของเขาและเดินออกไป
เนื่องจากมีชุดชุดนี้เป็นตัวช่วย นางจึงเดินออกไปข้างนอกอย่างไร้อุปสรรค ไม่มีใครขวางกั้นนาง และไม่มีใครสังเกตนางด้วย
ในขณะที่นางตั้งใจจะกลับอยู่นั้น ก็เห็นองครักษ์ที่เตรียมผู้หญิงมาปรณนิบัติปี่ซ่าเมื่อครู่นี้รีบร้อนเดินออกมา เมื่อเห็นนางก็เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ใต้เท้า ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เฟิ่งชิงหัวใช้ภาษาเซียนเปย์ถามกลับ “แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
องครักษ์เอ่ยอย่างเคารพ “เฉิงเซี่ยงมาที่นี่ ตอนนี้กำลังเตรียมเรือนหน้าต้อนรับขอรับ”
“ที่ไหน พาข้าไปดูหน่อย”
“ขอรับ”
องครักษ์พาเฟิ่งชิงหัวไปยังเรือนด้านหน้า คนที่นั่งอยู่ในโถงคือหนานกงจี๋จริงๆ ตอนนี้เขากำลังสั่งการคนที่อยู่ตรงหน้าเขาบางอย่าง เมื่อเห็นเขามาถึงก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ “ใต้เท้า ข้ามารบกวนท่านหรือไม่”
เฟิ่งชิงหัวไม่รู้ว่าปกติแล้วทั้งสองเจอหน้ากันปฏิบัติต่อกันอย่างไร จึงไม่กล้าตอบแบบส่งๆ ออกไป ได้แต่ส่งเสียงตอบรับคำหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง หนานกงจี๋ก็เอ่ยออกมาอย่างละอายใจ “ขอโทษด้วย ใต้เท้าของข้า ท่านยังมีเวลาอีกสิบวัน หวังว่าท่านจะมีเวลาเสพย์สุขในช่วงเวลานี้”
องครักษ์แนะนำตัวเองต่อหน้าหนานกงจี่ เฟิ่งชิงหัวจึงเห็นว่าสีหน้าของหนานกงจี๋แสดงอาการเคารพออกมา นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ทำไมหนานกงจี๋ผู้นี้ถึงเคารพคนเผ่าเซียนเปย์มากขนาดนี้?
แถมยังช่วยหาผู้หญิงมาให้คนเผ่าเซียนเปย์ อีก เห็นได้ชัดว่าทำหน้าที่ได้ดีเสียยิ่งกว่าแม่สื่อที่อยู่ที่หอสตรีเสียอีก
“ใต้เท้า หากมีอะไรไม่พอใจรีบบอกข้าได้เลย ข้าจะหาวิธีทำให้ท่านพอใจให้ได้ทุกอย่าง” หนานกงจี๋เอ่ย
เฟิ่งชิงหัวคิดแล้วลองหยั่งเชิงถามเขา “เจ้ามาดึกดื่นป่านนี้ มีเรื่องอะไรหรือ”
จึงเห็นว่าหนานกงจี๋ถอนใจ “เรื่องนี้ต้องโทษที่ข้าดูแลไม่รอบคอบที่ทำตัวนำยาพวกนั้นหายไป”