พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 21 อาหารหมูทั้งโต๊ะเลย
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 21 อาหารหมูทั้งโต๊ะเลย
ภายในห้อง เฟิ่งชิงหัวรีบปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว จ้องมองอาหารเลิศรสโต๊ะใหญ่ด้วยดวงตาเป็นประกาย
อาหารที่นางทำวันนี้ล้วนมีรสชาติเผ็ดหวานทั้งนั้น
เนื้อสัตว์ตุ๋น
ต้มเลือดเผ็ด
ขาหมูตุ๋นซอส
ไก่หั่นเต๋าผัดเผ็ด
หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน
หมูเส้นผัดซอสปักกิ่ง
หมูนึ่งข้าวคั่ว
งานเลี้ยงเนื้อ มองดูก็ทำให้ความอยากอาหารของคนเพิ่มมากขึ้น
ดีที่จ้านเป่ยเซียวไม่ได้ให้คนเอาส่วนผสมไป นางถึงได้ทำอาหารเลิศรสเช่นนี้ออกมาได้
ถือตะเกียบเอาไว้ เฟิ่งชิงหัวตื่นเต้นจนมือสั่น ในขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะลงมือคีบอาหารจานไหนกินก่อนดี ก็ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้นมา และประตูทั้งบานก็ถูกเตะลอยออกไป
เฟิ่งชิงหัวตกใจจนเกือบจะกระโดดตัวลุกขึ้นมา หรี่ตามองไปทางหน้าประตูเล็กน้อย
เห็นเพียงตรงหน้าประตู หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยสองคนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองประตู ดวงตาทั้งคู่จ้องมองนางอย่างคุกคามและเย็นชา
เฟิ่งชิงหัวตกใจจนแม้แต่เหงื่อเย็นก็ไหลออกมาแล้ว เพิ่งจะบอกว่าตัวเองยอมรับโทษจะขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อพิจารณาความผิด วินาทีต่อมาก็ถูกคนจับได้ว่ากินล้างกินผลาญอยู่ที่นี่ หนังหน้าหนาขนาดไหนก็รู้สึกต้านเอาไว้ไม่อยู่เล็กน้อยแล้ว
โดยเฉพาะตอนนี้สายตาของจ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ไม่ใช่แค่ร้อนเหมือนไฟแผดเผาธรรมดา บีบจนเฟิ่งชิงหัวรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
ควรจะพูดอย่างไร อธิบายอย่างไร หรือจะบอกว่าอาหารโต๊ะนี้คือภาพลวงตาของพวกเขา?
ประเด็นคือ ตอนนี้นางจะปกป้องอาหารโต๊ะนี้อย่างไรดี นางใช้เวลาทำไปมากมายขนาดนั้น นี่ก็คือชีวิตของนางนะ!
“หนานกงเยว่ลั่ว เจ้าถึงกับกล้าแอบกินลับหลังท่านอ๋องหรือ!” จู่ๆจิ่งยี่ก็ส่งเสียงออกมากะทันหัน
คำพูดประโยคนี้ เหมือนกับเป็นการฉีกผ้าที่ใช้ปกปิดความอับอายออก แม้แต่จ้านเป่ยเซียวก็ยังเบนสายตาไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารนั่น
เปลือกตาของเฟิ่งชิงหัวกระตุกขึ้นมา รีบกระโดดตัวลุกขึ้นมาขวางอยู่หน้าโต๊ะ รีบร้อนโบกมือแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งรีบ: “ไม่ได้แอบกินไม่ได้แอบกิน”
“ยังจะเถียงข้างๆคูๆอีก!” จิ่งยี่ยิ้มเย้ยหยัน: “ไม่ได้แอบกินเจ้าทำอาหารมาเต็มโต๊ะทำไม ดูเฉยๆหรือไง?”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกกังวลเล็กน้อย นึกถึงว่าจ้านเป่ยเซียวคนนี้พูดคำไหนคำนั้น รู้ว่าตัวเองขัดคำสั่งเขายังไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ถ้าหากใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างยุติข้อตกลงของพวกเขาลง เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถให้คำอธิบายต่อหนานกงจี๋ได้จริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็รีบร้อนกล่าวว่า: “ไม่ๆๆ ข้าก็แค่ ก็แค่ ทำเล่นๆเท่านั้น มันก็แค่ดูดีแค่เปลือกนอกเท่านั้น ความจริงแล้วมันกินไม่ได้เลย ไม่อร่อยเลยสักนิด ข้าที่เป็นกุลสตรีผู้มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะคนหนึ่ง จะทำอาหารอะไรเป็นกันล่ะ เพราะกลัวว่าท่านอ๋องจะรังเกียจ ถึงได้ปิดประตูเอาไว้ไม่อยากให้พวกท่านเห็น จริงๆนะ ข้าสาบานได้ ข้าหนานกงเยว่ลั่วไม่ได้โกหกเลยแม้แต่คำเดียว”
อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่ร่างหลัก สาบานก็สาบานสิ
ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงหัว ทั้งสองคนเบนสายตาไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านหลังนางอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นทั้งหมด แต่ว่ากลิ่นหอมนั่นก็อบอวลไปทั่วทั้งห้องแล้ว ยั่วให้คนรู้สึกอยากกินขึ้นมา
จิ่งยี่ไม่เชื่อ: “กลิ่นแบบนี้ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่อร่อย?”
“นี่ เรื่องกลิ่น ก็เพื่อให้มันสมจริงน่ะ เพื่อทำให้มันดูน่าอร่อยหน่อยเท่านั้น ความจริงแล้วรสชาติแย่มากๆ แทบจะกลืนไม่ลงเลย! นี่มันคืออาหารหมูโต๊ะหนึ่งชัดๆ!” เฟิ่งชิงหัวลดคุณค่าอาหารที่ตัวเองทำให้ต่ำลงอย่างสุดกำลัง ก็เพื่อจะให้ทั้งสองคนเชื่อ
พูดไป ยังกล่าวถามขึ้นมาอย่างหยั่งเชิง: “ไม่เชื่อ พวกท่านก็ลองชิมดูสิ?”
นางรู้จักจ้านเป่ยเซียวดี อาหารการกินของเขาค่อนข้างจืดชืด ต้องไม่มีความสนใจใดๆกับอาหารพวกนี้แน่นอน
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในดวงตาของจ้านเป่ยเซียวมีการปฏิเสธแวบผ่านไป ถึงแม้จะมองการแสดงออกทางสีหน้าของเขาไม่ชัดเจน แต่ริมฝีปากที่เผยออกมากลับเม้มขึ้นมาอย่างรังเกียจโดยสัญชาตญาณ
เฟิ่งชิงหัวยิ้มสู้แล้วกล่าวว่า: “ข้าทำให้ดวงตาของท่านอ๋องแปดเปื้อน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ท่านอ๋องต้องกลับไปเตรียมรับประทานอาหารแล้วใช่ไหม?”
จิ่งยี่ได้ยินคำพูด ก็ก้าวเดินเข้าไปสองก้าว เดินอ้อมไปข้างกายของเฟิ่งชิงหัว กล่าวขึ้นมาอย่างรังเกียจ: “ข้าก็ยังไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าจะจิตใจดีขนาด เพิ่มบทลงโทษของตัวเอง?”
ขณะที่พูดไปก็หยิบตะเกียบขึ้นมาจากด้านข้างแล้วคีบหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวานขึ้นมากัดไปหนึ่งคำ
ทันใดนั้น การกระทำที่กำลังเคี้ยวของผู้ชายก็หยุดลง วินาทีต่อมาก็แสดงสีหน้าคล้ายจะอาเจียนออกมา
นี่มันอาหารอะไรเนี่ย เปรี้ยวมาก แถมยังรู้สึกฉุนจมูกเล็กน้อย แต่ว่าหลังจากนั้นก็รู้สึกหวานเล็กน้อย แล้วก็ยังหอมมาก
จิ่งยี่ใส่อีกครึ่งชิ้นที่เหลือเข้าในปาก แล้วกินต่อไปอย่างมีความสุข
“เป็นอย่างไร?” เสียงที่ทุ้มต่ำเย็นชาของจ้านเป่ยเซียวดังมา