พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 221 เจ้าจะลงมือก่อนได้อย่างไร
เฟิ่งชิงหัวไม่รู้เกี่ยวกับสงครามน้ำลายที่เกิดจากการที่นางไม่อยู่ในขณะนี้ แต่ฟังการสนทนาของคนเหล่านี้อย่างเพลิดเพลิน
“ครั้งนี้ผู้นำของเราคือเทพเจ้าสงคราม ท่านอ๋องเจ็ด ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะพาเราไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างอดีตได้หรือไม่”
“นึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอ๋องเจ็ดเมื่อสี่ปีที่แล้ว ชายหนุ่มในตอนนั้นมีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ คมดุจดาบคม แค่คิดถึงฉากในตอนนั้นใจของข้าก็ยังเต้นรัวอยู่”
“ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นใครที่ซ่อนเสาไว้ใต้น้ำ และเรือผ่านไปไม่ได้เลย ท่านอ๋องเจ็ดกระโดดลงไปฟันเสาเหล่านั้นจนไม่เหลืออย่างง่ายดาย ตอนนั้นเราตามหลังอยู่ด้านหลังช้า ๆ และในที่สุดก็ได้ที่หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ข้าเป็นผู้ชายไม่เช่นนั้นข้าคงยกชีวิตให้ท่านอ๋อง”
“ใช่ ท่านอ๋องเจ็ดเป็นเทพสงครามของเทียนหลิง เขาไม่เคยแพ้มาก่อน ตราบใดที่มีเขาอยู่ก็จะไม่มีวันพ่ายแพ้”
เฟิ่งชิงหัวฟังคำเยินยอของพวกเขาอยู่ข้างๆ แม้ว่านางจะไม่รู้เหตุการณ์สำคัญในตอนนั้น แต่นางก็รู้สึกเป็นเกียรติ
ในขณะที่กำลังภูมิใจ นางได้ยินเสียงหึหึจากคนที่อยู่ข้างๆ แสดงความดูถูกเหยียดหยามในสิ่งที่พวกเขาพูด
เฟิ่งชิงหัวหันหลังไปมอง เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อสีแดง กอดอกแสดงความรังเกียจต่อพวกเขาอย่างเต็มที่
“สมัยของท่านอ๋องเจ็ดผ่านไปแล้ว เหลือแต่พวกเจ้าที่ยังชื่นชมอยู่ที่นั่น มีความหมายอะไร? พวกเจ้าจะโม้แค่ไหน ตอนนี้เขาก็เป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง”
“ถูกต้อง ใครจะไม่รู้ว่าขาของท่านอ๋องเจ็ดพิการมาสองปีแล้ว และตอนนี้แม้จะดีขึ้น แต่เขาสูญเสียการต่อสู้ทั้งหมดของเขาไป ไม่มีแม้แต่ศิลปะการต่อสู้แม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะยืนหยัดบนเรืออย่างมั่นคงได้หรือไม่ พาพวกเจ้าที่เป็นกลุ่มคนชรา อ่อนแอ ป่วย และพิการ จะต้องได้อันดับสุดท้าย!”
“ใช่ แม้ว่าเราจะไม่ใช้ไม้พาย แต่เราก็สามารถเอาชนะพวกเจ้าได้ด้วยการพายด้วยมือของเรา”
เฟิ่งชิงหัวหยั่งเชิง คนฝั่งตรงข้ามส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดมีพื้นฐานศิลปะการต่อสู้และได้รับการปรนนิบัติ เมื่อมองไปที่ฝ่ายจ้านเป่ยเซียว โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะอยู่ในวัยสามสิบปี น่าจะเป็นคนที่เคยติดตามจ้านเป่ยเซียวในการแข่งขัน
รู้จักกันมานาน ในที่สุด เฟิ่งชิงหัวก็ค้นพบว่าจ้านเป่ยเซียวเป็นผู้ชายที่ปากไม่ตรงกับใจ แต่แท้จริงแล้วเขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าใครๆ
ทุกคนรู้ว่าการพายเรือมังกรต้องใช้คนที่อายุน้อย แข็งแกร่ง และระเบิดกำลังออกมาได้ แต่เขากลับใช้คนเก่าที่เคยแข่งขันเหล่านี้ และตามที่พวกเขาบอก เขาไม่ได้แข่งขันมาสี่ปีแล้ว ประสบการณ์และความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาเกรงว่าจะเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงหน้าที่กำลังส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย
เมื่อทีมดำได้ยินสิ่งที่ทีมเขียวพูด พวกเขาทั้งหมดต่างพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะพูดอย่างไร นอกจากหน้าแดงและพูดว่าหุบปากก็พูดอะไรไม่ได้อีก
อย่างไรก็ตาม ทีมสีแดงยังคงไม่เลิกพูด เยาะเย้ยและพูดว่า “นายท่านเป็นคนพิการ ลูกน้องก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน ดูใบหน้าพวกเจ้าก็เป็นใบหน้าอันดับสุดท้าย แข่งอะไรอีก? กระโดดลงไปในแม่น้ำแล้วยอมแพ้เถอะ”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างเย็นชา “มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ต่อว่าผู้คนเก่ง ถ้าเก่งก็ใช้กำลังสิ มาดูกันว่าใครกำปั้นจะแข็ง?”
ฝ่ายตรงข้ามผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าคนที่พูดเป็นเพียงกุ้งตัวเล็กที่ผอมและอายุไม่ถึงยี่สิบ พวกเขาก็กุมท้องหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าฮ่า ทุกคน ข้าเพิ่งได้ยินอะไรมา?”
“เมื่อกี้ยุงหึ่งใช่ไหม ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย”
เฟิ่งชิงหัวกอดอกและพูดอย่างเย่อหยิ่ง “ใช่ สัตว์อย่างเจ้าไม่เข้าใจภาษามนุษย์อย่างแน่นอน และข้าไม่โทษเจ้าถ้าเจ้าไม่ได้ยิน”
“เจ้าพูดอะไรนะ! เจ้าพูดว่าใครเป็นสัตว์ ไอ้หนู เจ้าออกมา ดูว่าข้าจะไม่ตีเจ้าจนลุกไม่ขึ้น”
เฟิ่งชิงหัวก้าวไปข้างหน้าทันที “มาสิ ข้าพูดว่าเจ้าก็คือสัตว์ ทำไม เจ้าไม่ยอมรับ? ออกมาท้าทายตัวต่อตัวสิ”
ทันใดนั้นก็มีคนจับนางจากด้านหลังและพูดเสียงต่ำ “นี่ลูกน้องของเอี้ยนเซียว อ๋องสุกุลอื่น พวกเขาทั้งหมดหยิ่งยโส และชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกมากที่สุด น้องชาย เจ้าจะเดือดร้อนถ้าเจ้าออกไป”
“ใช่ ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไปสนใจพวกเขาทำไม อันที่จริงสิ่งที่พวกเขาพูดก็ถูก ท่านอ๋องเจ็ดไม่ใช่ท่านอ๋องเจ็ดผู้นั้นอีกต่อไป ถ้าท่านอ๋องเจ็ดไม่เกิดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนทีมสีดำต่างก็โศกเศร้า
ใครบอกว่าจ้านเป่ยเซียวเป็นฝันร้ายของทุกคน และทุกคนในเทียนหลงต่างก็หวาดกลัว?
เห็นได้ชัดว่ามีคนมากมายที่รู้สึกสงสารและเอ็นดูเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
สำหรับคนเหล่านี้ที่คิดถึงจ้านเป่ยเซียวอยู่ในใจเสมอ เฟิ่งชิงหัวไม่สามารถทำให้พวกเขาผิดหวังได้
จ้านเป่ยเซียวเคยเป็นพระเจ้าในใจของพวกเขา เขาไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังมาก่อน และตอนนี้เขาก็จะไม่ทำทำให้ผิดหวังเช่นกัน!
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออก กวาดไปฝั่งตรงข้าม เหยียดนิ้วหัวแม่มือลง และทำท่าทางยั่วยุ “ใครจะมา? ไม่ต้องการท่านอ๋องเจ็ด เพียงแค่ข้าคนเดียวที่เป็นคนธรรมดาไร้ชื่อเสียงก็สามารถทุบตีเจ้าทั้งหมดได้”
“ให้ตายสิ เด็กคนนี้จองหองเกินไปแล้วว พวกเจ้าอย่าห้ามข้า ข้าจะสอนบทเรียนให้เขาอย่างหนักแน่นอน!” ขณะที่เขาพูด ชายที่ส่งเสียงดูถูกตั้งแต่แรกก็เดินออกมา พับแขนเสื้อขึ้นและชี้ไปที่เฟิ่งชิงหัว กล่าวว่า “เด็กน้อย ข้ามาสอนเจ้าถึงวิธีการเป็นมนุษย์เอง!”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหัว
ชายหนุ่มได้ใจ “ทำไม? กลัวแล้วหรือ?”
ในขณะที่เขาพูดนั้นเขาก็โชว์แขนของเขา โชว์กล้ามเนื้อบนนั้น กล้ามเนื้อนั้นแข็งแรงมาก
เฟิ่งชิงหัวกล่าว “ข้าเพียงแค่มั่นใจอีกครั้งว่าเจ้าเป็นสัตว์จริงๆ มีเพียงสัตว์เท่านั้นที่ต้องเรียนรู้วิธีการเป็นมนุษย์”
“เจ้าหาเรื่องตาย!” ขณะที่เขาพูด ชายหนุ่มก็พุ่งเข้าหาเฟิ่งชิงหัวพร้อมกับชูหมัดขึ้น
สีหน้าเฟิ่งชิงหัวนั้นสงบและนางไม่ได้หลีกเลี่ยงอีกฝ่ายที่พุ่งมาหา ราวกับว่านางโง่เขลา
ชายผู้นั้นได้ใจมาก ทันใดนั้น หมัดของเขายังไม่ถึงใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว แต่เท้าของเขาดูเหมือนจะถูกบางสิ่งสะดุด มือของเขาหมดเรี่ยวแรง จากนั้นเขาก๋เจ็บท้อง และเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าเฟิ่งชิงหัวโดยตรง
ไม่มีใครเห็นชัดเจนว่าเฟิ่งชิงหัวทำอะไร สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่สถานการณ์ตรงหน้า
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามารถขอโทษเมื่อพูดผิด ก็ไม่เลวนี่ ดูเหมือนว่าเจ้าเข้าใกล้การเรียนรู้การเป็นมนุษย์ไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว”
“ไอ้หนู เจ้าขี้โกง!” ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นจากพื้น จ้องมองเฟิ่งชิงหัวอย่างโหดเหี้ยม
เฟิ่งชิงหัวงงงวย “อะไรนะ? โกงไม่ได้หรอกหรือ? เจ้าไม่ได้บอกข้าล่วงหน้า ขอโทษนะ เจ้าจะลองอีกครั้งหรือไม่?”
“กลัวเจ้าเหรือ? ข้าไม่เชื่อว่าสั่งสอนเจ้าไม่ได้ ข้าบอกเจ้านะว่าถ้าข้าต่อยลงไป เจ้าอาจตายได้” ชายหนุ่มโชว์หมัดขนาดเท่ากระสอบทราย
เฟิ่งชิงหัวตบหน้าอกของตน “ข้ากลัวมากเลย งั้นจะเริ่มหรือยัง?”
“เริ่ม” ชายหนุ่มพยักหน้าและกำลังจะพูด จากนั้น หลังจากที่เขาพูดได้คำหนึ่ง เด็กชายที่อยู่ตรงหน้าเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขา เมื่อเขาตระหนักได้ ท้องที่เพิ่งถูกตีก็ถูกตีอีกครั้งอย่างหนัก
ชายหนุ่มถอยหลังไปสองสามก้าว กุมหน้าท้องและกัดฟันแน่น “ยังไม่เริ่ม เจ้าจะเริ่มก่อนได้ยังไง!”