พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 231 ถูกทุบตีอยู่ทั้งคืน
บรรดาองครักษ์ลับยืนอยู่ทั้งสี่ทิศของเรือนจ้องมองการณ์พัฒนาของสถานการณ์ตาเขม็ง
บัดนี้นายท่านได้ถูกจุมพิตไปเสียแล้ว ถูกจุมพิตก็ถูกจุมพิษสิ แต่ละวันทั้งสองคนนี้ก็จุมพิตกันบ่อยครั้งอยู่แล้ว
แต่พวกเขายังคงต้องจับตามองให้ดี ถ้าหากพระชายาเกิดห้ามใจไม่ได้ขึ้นมาจับนายท่านทานแล้วไม่รับผิดชอบจะทำเช่นไร พวกเขาจะต้องห้ามเอาไว้อย่างแน่นอน
สำหรับการชิงจูบในตอนนี้ พวกเขาจะถือว่าช่วยคนก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ยังจะสามารถทำอะไรได้อีกเล่า
แต่ทว่า ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามทำใจยอมรับอยู่นั้น ก็ได้เห็นว่าสตรีที่เดิมทีเลิกจูบไปแล้วนั้น ได้เงยหน้าขึ้นและจูบลงไปอีกที
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มองดูพระจันทร์กลม ๆ น้ำตาได้แอบร่วงหล่นลงมา
นายท่าน ต้องลำบากแล้วนะ
นายท่าน บ่าวทั้งหลาย ผิดต่อนายท่าน ไม่สามารถปกป้องความบริสุทธิ์ของท่านเอาไว้ได้
หลังจากที่ได้ทำการผายปอดอยู่หลายครั้ง เฟิ่งชิงหัวก็ได้จับชีพจรให้จ้านเป่ยเซียวต่อไป มั่นใจว่าชีพจรของเขาได้ทำงานตามปกติ ในร่างกายไม่มีการสะสมของอากาศที่ตกตะกอนอยู่แล้วถึงได้วางใจลง
ถอดเสื้อผ้าที่แปดเปื้อนของบุรุษหนุ่มออก และอุ้มเขาไปวางลงบนเบาะหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง
เฟิ่งชิงหัวนอนลงข้าง ๆ และหอบหายใจอย่างแรงในทันที
มันช่างเหนื่อยมากเลยจริง ๆ
เสื้อผ้าบนร่างกายของเฟิ่งชองหัวนั้นได้ถูกห้องอบแห้งอบจนแห้งไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้นอนอยู่บนเบาะนุ่ม ๆ ไม่อยากจะขยับเลยสักนิด เดิมทีอยากจะพักผ่อนสักพัก แต่ทว่ากลับหลับไปอย่างไม่ทันระวัง
ในตอนที่จ้านเป่ยเซียวฟื้นขึ้นมา สิ่งที่เขามองเห็นก็คือเฟิ่งชิงหัวนอนหลับอยู่ที่ข้างกายตนเองโดยที่ยังสวมเสื้อผ้าตามปกติ ใบหน้าแดงระเรื่อ ท่าทางเหนื่อยเป็นอย่างมาก
เขาเหลือบตามองพื้นแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของตนได้ถูกโยนทิ้งเอาไว้บนพื้น บนร่างของตัวเอง มีเพียงกางเกงชั้นในเหลืออยู่เพียงตัวเดียว ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว จ้องมองตาเขม็ง ราวกับกำลังมั่นใจอะไรบางอย่างอยู่อย่างไรอย่างนั้น
จ้านเป่ยเซียวยื่นมือออกไป เตรียมที่จะผลักปลุกเฟิ่งชิงหัวให้ตื่นขึ้น ทว่ายังไม่ทันจะเคลื่อนไหว หลิวหยิ่งที่อยู่ด้านนอกก็ได้กระโจนเข้ามา
“นายท่าน อย่าปลุกพระชายานะขอรับ อย่าเด็ดขาด” หลิวหยิ่งกล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“เรื่องมันเป็นเช่นไร?”
เบ้าตาของหลิวหยิ่งแฝงไปด้วยความแดงก่ำ ถ้าหากเป็นสตรีละก็ ไม่แน่ว่าวินาทีต่อมา อาจจะมีหยดน้ำตาที่โศกเศร้าแต่งดงามหลั่งไหลลงมาก็เป็นได้ ทว่าหลิวหยิ่งได้กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก: “นายท่าน อย่าได้ปลุกพระชายาอย่างเด็ดขาด ท่านถูกนางทุบตีมาตลอดทั้งคืนแล้ว ถ้าหากปลุกนางขึ้นมา แล้วนางตีท่านอีก บ่าว บ่าวก็ไม่สามารถที่จะช่วยท่านได้”
ว่ากันว่าขุนนางสุจริตก็ยากที่จะตัดเรื่องราวในครอบครัวได้ เขาที่เป็นผู้ใต้บังขับบัญชา จะให้ช่วยผู้เป็นนายทุบตีภรรยาอย่างนั้นหรือ?
มันไม่เท่ากับเลวกว่าผู้ชายเลวอีกหรอกหรือ?
“เรื่องมันเป็นเช่นไรกันแน่ พูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย” ดวงตาทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวลึกล้ำ รัศมีอันเย็นยะเยือกแผ่ซ่านอยู่รอบกาย
หลิวหยิ่งเล่าเรื่องราวที่ตนได้เห็นออกมาในทันที แม้กระทั่งเรื่องที่ผู้เป็นนายของตนถูกจับจุมพิตไปกี่ครั้งก็ยังได้บอกออกมาอย่างละเอียด
จ้านเป่ยเซียวมองดูเฟิ่งชิงหัวที่อยู่ด้านข้างสักพักหนึ่ง ยื่นมือโบก เป็นสัญลักษณ์ให้หลิวหยิ่งออกไป
หลิวหยิ่งกล่าวเสียงเบา: “นายท่าน ฝ่าบาทได้สั่งให้ทหารจำนวนมากค้นหาท่านอยู่ในแม่น้ำ จะต้องกลับไปกราบทูลข่าวคราวใด ๆ หรือไม่ขอรับ?”
ตอนนี้ผู้เป็นนายไม่ได้พูดอะไร หลิวหยิ่งก็เข้าใจความหมายของเขา รีบถอยออกไปโดยเร็ว พร้อมกับปิดประตูลง
จ้านเป่ยเซียวยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว ผิวสัมผัสนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แฝงไปด้วยความร้อนระอุแผ่ซ่านมายังมือของเขา
“ในเมื่อเจ้าเอาตัวเข้ามาส่งเอง เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” จ้านเป่ยเซียวกล่าว จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากอันบอบบางของสตรี
เฟิ่งชิงหัวฝันเห็นตัวเองนั่งอยู่บนเรือล่องลอยไปไร้ที่ประคับประคอง จากนั้นก็ได้ถูกม้วนเข้าไปในพายุหมุน หมุนเอาร่างของนางขึ้นมา กดทับนางเอาไว้ให้นางไม่สามารถขยับได้ นางอยากจะร้องขอความช่วยเหลือ ทว่ากลับได้มีลมหลั่งไหลเข้ามาในปาก และไม่สามารถเอ่ยใด ๆ ออกมาได้เลย
“กรี๊ด!” เฟิ่งชิงหัวลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน พบว่าตนเองได้ถูกตรึงเอาไว้ ก้มหน้ามองลงดู ก็ได้พบว่าแขนยาว ๆ ข้างหนึ่งได้กอดตัวเองเอาไว้แน่น ขาของนางถูกขาข้างหนึ่งคีบเอาไว้ นางเป็นเหมือนกับของเล่นที่ได้ถูกอีกฝ่ายกอดเอาไว้แน่น
เฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นเพื่อที่จะพลักเขาออก กลับพบว่าเสื้อผ้าของตนเองได้ถูกบุรุษหนุ่มจับเอาไว้แน่น
“จ้านเป่ยเซียว ปล่อยนะ” เฟิ่งชิงหัวนอนหลับไม่เต็มที่ อารมณ์ก็ไม่ดีเช่นเดียวกัน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แต่ได้ออกคำสั่งออกมาโดยตรง
ทว่าดวงตาทั้งสองข้างของบุรุษหนุ่มกลับปิดสนิท มีท่าทางเหมือนกับกำลังสลบอยู่
เฟิ่งชิงหัวได้ลองคำนวณดูเวลา เวลานี้ เขาควรจะฟื้นขึ้นมาตั้งนานแล้ว
หรือว่าเขาจะเสแสร้ง?
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไปผลักเขา: “จ้านเป่ยเซียว อย่าเสแสร้งอีกเลย ข้ารู้ว่าท่านตื่นแล้ว ถ้าหากยังไม่ตื่นเชื่อไหมว่าข้าจะอัดท่านเสีย!
ตอนนี้นางได้อาศัยว่าร่างกายของจ้านเป่ยเซียวกำลังอ่อนแออยู่ถึงได้กล้าร้องโวยวายเช่นนี้
ทว่าว่าบุรุษหนุ่มกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อน มือข้างนั้นยังคงกอดนางเอาไว้แน่น
เฟิ่งชิงหัวเองก็ไม่เกรงใจ ยกมือขึ้นและเหวี่ยงหมัดไปที่หน้าออกของบุรุษอย่างแรง
พบว่าเฟิ่งชิงหัวกำลังจะแกว่งหมัดเข้ามาอีกครั้ง หลิวหยิ่งที่เฝ้าอยู่ที่ด้านนอกได้กระโจนเข้ามาอีกครั้ง
“พระชายา นี่ท่านทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้นายท่านกำลังบาดเจ็บอยู่ ทนรับการทุบตีของท่านไม่ไหวแน่”
เฟิ่งชิงหัวชี้ไปที่จ้านเป่ยเซียวกล่าว: “เจ้าคิดว่าข้าอยากจะทุบตีเขาหรือ? เจ้ารีบให้เขาปล่อยมือเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้ายังจะทุบตีเขาอีก!”
หลินหยิ่งมองดูการเคลื่อนไหวของผู้เป็นนายของตนเองด้วยความสงสัย มือนั่นกอดเอาไว้แน่น แค่มองก็รู้สึกว่าออกแรงไม่น้อย
นายท่านกำลังสลบอยู่จริง ๆ หรือ?
แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เชื่อ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพระชายาผู้แสนเจ้าเล่ห์
“นาท่าน ท่านปล่อยมือเถอะขอรับ พระชายาลงมือไม่รู้จักหนักเบา ถ้าหากทุบตีจนท่านเป็นอะไรขึ้นมาจะทำเช่นไร?”
เฟิ่งชิงหัวมุมปากกระตุก คุกเข่าอยู่บนเบาะนุ่มและเตรียมที่จะออกแรงกระชาก ทว่ามือของบุรุษกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อน ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดจะฉีกเสื้อผ้าออกนั่นเอง ก็ได้ยินหลิวหยิ่งกล่าวขึ้นมา: “พระชายา หรือไม่ก็ท่านช่วยอยู่กับนายท่านต่อเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ เพื่อพระชายาแล้ว นายท่านได้ลากเรือที่จมลงไปแล้วขึ้นมา เรือลำใหญ่เช่นนั้น แทบจะเอาชีวิตคนคนหนึ่ง เห็นแก่ที่เพื่อท่านแล้วนายท่านไม่ห่วงแม้กระทั่งชีวิตอยู่เป็นเพื่อนนายท่านเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เรือนั่น จมแล้วหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ แม้แต่เสากระโดงเรือก็ยังได้จมลงไปด้วย นายท่านกลับพยายามลากขึ้นมา ถึงได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้: “ก็ได้ เจ้าไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้กับนายท่านของเจ้า ข้าเห็นแล้วทนมองไม่ได้”
หลิวหยิ่งพยักหน้า กลับได้พึมพำออกมาเบา ๆ : “ทั้ง ๆ ที่เพราะเมื่อคืนนิสัยสัตว์ป่าของท่านได้ระเบิดออกมาถึงได้ถอดออก เหตุใดตอนนี้ถึงทนมองไม่ได้เสียแล้วเล่า”
เฟิ่งชิงหัวหูดีบังเอิญได้ยินเข้า เส้นเลือดที่ขมับเต้นอย่างรุนแรง
ไม่นานนัก ภายในห้องเหลือเพียงเฟิ่งชิงหัวและจ้านเป่ยเซียวสองคน ชายเสื้อของเฟิ่งชิงหัวยังคงถูกบุรุษจับเอาไว้แน่น
เฟิ่งชิงหัวถลึงตาใส่จ้านเป่ยเซียว: “ตอนนี้ท่านดีใจแล้วสินะ? ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก!”
จ้านเป่ยเซียวยังคงไม่ขยับเขยื้อน
เฟิ่งชิงหัวเห็นเขาไม่เลิกเสแสร้งสักที จึงได้เหยียบลงไปที่ข้างล่างเบาะนุ่ม ย่อตัวลง และตบเบา ๆ ที่ใบหน้าของจ้านเป่ยเซียว
เฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ถ้าหากท่านยังแกล้งหลับต่อไป ข้าจะถอดหน้ากากของท่านออกเสียและนำท่านไปทิ้งไว้บนถนน อย่างไรเสียลูกน้องของท่านเพียงแค่บอกว่าอย่าให้ท่านตายเท่านั้น เรื่องอื่นพวกเขาจะไม่ยุ่ง”
วินาทีต่อมา จ้านเป่ยเซียวก็ลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองเฟิ่งชิงหัวด้วยความโมโห
แต่ไม่นานนักเขาก็ได้สติกลับคืนมา บรรดาองครักษ์ลับได้ซ่อนตัวอยู่ด้านนอก จะปล่อยให้นางทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร เขาถูกเด็กเจ้าเล่ห์คนนี้หลอกเข้าเสียแล้ว
“หึ” จ้านเป่ยเซียวเห็นว่าความแตกเสียแล้ว ก็เลยเลิกเสแสร้ง แสดงท่าทางอันสูงส่งประดุจดั่งดอกไม้บนยอดเขามิอาจเอื้อม แต่ทว่า มือกลับยังคงจับชายเสื้อของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้แน่น
เฟิ่งชิงหัวกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา: “ท่านอ๋องคิดจะจับอีกนานแค่ไหน?”
“ข้าจับคนที่ลวนลามข้าเอาไว้มีปัญหาอะไรหรือ?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
กล่าวไป ทั้งสองคนก็ได้มองไปยังกล้ามเนื้อที่ผิวพรรณขาวเรียบเนียนของจ้านเป่ยเซียวอย่างแทบพร้อมกัน
เฟิ่งชิงหัวเบิกตาโตมองเขา: “ท่านอย่าพูดจาเหลวไหลได้หรือไม่ ข้าทำเพื่อช่วยท่านนะ”
“ช่วยคนจำเป็นต้องทอดเสื้อผ้า? ข้าเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ข้าบาดเจ็บที่ภายใน” จ้านเป่ยเซียวจับจ้องเฟิ่งชิงหัวด้วยแววตาลึกล้ำ
“เสื้อผ้าของท่านสกปรก ที่ข้าถอดออกก็เพื่อท่าน ใครใช้ให้ท่านรังเกียจความสกปรกเช่นนั้นเล่า” เฟิ่งชิงหัวมือสองข้างเท้าสะเอว รู้สึกเพียงว่าบุรุษผู้นี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
จ้านเป่ยเซียวมองดูด้วยแววตาลึกซึ้ง: “เพื่อข้าหรือ? เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ช่วยคนจะปากประชิดปากหลายครั้งแบบนั้นด้วยหรือ?”