พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 24 ขอตราสัญลักษณ์ท่านอ๋อง
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 24 ขอตราสัญลักษณ์ท่านอ๋อง
เวลานี้จ้านเป่ยเซียวถือว่าอารมณ์ดีไม่น้อย คนก็ค่อนข้างคุยง่ายเช่นกัน ได้ยินคำถามของเฟิ่งชิงหัวก็กล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบ: “นั่นคือสัตว์เลี้ยงที่จิ่งยี่เลี้ยงเอาไว้ ปกติกินแต่ยาบำรุงกำลังถั่งเช่า คุณภาพเนื้อย่อมดีกว่าสัตว์ปีกทั่วไปอยู่แล้ว
เฟิ่งชิงหัวเข้าใจในทันที: “มิน่าล่ะ แต่ว่า เต็มลานนั่นเลยหรือ? ข้าว่าอย่างน้อยก็เป็นร้อยตัวเลยใช่ไหม?”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว ไม่ปริปากพูดว่าถูกหรือไม่
เฟิ่งชิงหัวยักไหล่: “กินก็กินไปแล้วยังจะคายออกมาได้อยู่อีกหรือ อีกอย่าง ตัวเขาเองก็กินไปไม่น้อย”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้พูดอะไร ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น สายตากวาดมองไปรอบๆเรือน
เฟิ่งชิงหัวเม้มริมฝีปาก: “เอิ่ม ท่านอ๋อง กินก็กินไปแล้ว ท่านควรกลับไปแล้วใช่ไหม?”
“เจ้าจะไล่ข้าไปหรือ?” แววตาของจ้านเป่ยเซียวขรึมลงเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว ราวกับว่าหากนางกล้าตอบว่าใช่คำเดียว เขาก็จะหักคอนางซะ
เฟิ่งชิงหัวยิ้มอย่างประจบประแจง: “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว ในลานข้าก็โกโรโกโส จะต้อนรับท่านอ๋องได้อย่างไร?”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเย็นชา: “นี่คือจวนอ๋องของข้า แม้แต่เจ้าก็เป็นของข้า ข้าอยู่ตรงไหน จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติของเจ้าด้วยหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูด กล่าวขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อยทันที: “หรือว่า คืนนี้ท่านอ๋องต้องการจะค้างที่นี่? เข้าหอกับข้า?”
พูดไป แล้วก็ใช้สายตาที่เขินอายและเร่งรีบมองดูจ้านเป่ยเซียวครู่หนึ่ง สบตาเข้ากับสายตาของชายหนุ่มก็รีบเก็บสายตากลับไปทันที แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองไปอย่างเขินอายอีกครู่หนึ่ง มือทั้งสองข้างพัวพันกันอยู่ด้านหน้า
“ในเมื่อ ในเมื่อท่านอ๋องต้องการ เช่นนั้น เช่นนั้นข้าก็จะเปลื้องผ้าให้ท่านอ๋องตอนนี้เลยดีไหม? เพิ่งจะทานอาหารเสร็จ ก็ควรจะคลายกล้ามเนื้อครู่หนึ่ง” เฟิ่งชิงหัวพูดไป ก็เดินไปทางชายหนุ่ม ยื่นมือจะไปปลดสายคาดเอวของชายหนุ่ม
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อ ในดวงตาแฝงความชุ่มชื้นเล็กน้อย เต็มไปด้วยเสน่ห์
เพียงแต่ว่ามือเพิ่งจะยื่นไปถึงกลางอากาศ ก็ถูกเขายกมือขึ้นมาตีตกลงไป: “ไม่จำเป็น!”
พูดจบ ก็เลื่อนเก้าอี้เข็นจากไป ตอนที่ไปถึงข้างประตู ก็หันมองไปทางเฟิ่งชิงหัว: “พรุ่งนี้ต้องไปสอบสวนคดีที่กรมคลัง ข้าจะส่งคนส่งเจ้าไป”
พูดจบ ก็จากไปอย่างไม่หันกลับมามองเลย ราวกับด้านหลังมีน้ำป่าไหลหลากและสัตว์ร้ายอะไรอยู่
นานพักใหญ่ เฟิ่งชิงหัวที่ยืนอยู่ที่เดิมเท้าเอวแล้วก็หัวเราะขึ้นมา นึกถึงท่าทางที่ถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ของชายหนุ่ม ก็รู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
หลังจากที่หัวเราะแล้ว เฟิ่งชิงหัวเดินไปถึงข้างโต๊ะ สีหน้ากลับไปเป็นสงบนิ่งเหมือนเดิม หยิบพู่กันที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาเขียนข้อความ
ใส่กระดาษข้อความเข้าไปในหลอดไม้ไผ่เล็กๆอันหนึ่ง แล้วเดินมาถึงตรงหน้าต่าง นิ้วมือแนบไปที่ข้างริมฝีปากแล้วส่งเสียงนกร้องออกมาเบาๆ ชั่วครู่ต่อมา นกน้อยตัวหนึ่งก็บินลงมา จิกลงไปบนนิ้วมือของนางอย่างสนิทสนม
เฟิ่งชิงหัวผูกหลอดไม้ไผ่ไปบนขาของมัน นกน้อยก็บินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ทำให้ใครเกิดความสนใจทั้งนั้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฟิ่งชิงหัวกำลังฝึกซ้อมมวยในลาน หลิวหยิ่งก็พาองครักษ์สองคนเข้ามา
“พระชายา ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยส่งท่านไปที่กรมคลัง”
“อ้อ ตกลง”
หลิวหยิ่งก้าวเข้ามาข้างหน้า ส่งชุดเสื้อผ้าสวยหรูที่ประณีตมาหนึ่งชุด เป็นชุดผู้ชาย
เมื่อเห็นว่าสายตาของเฟิ่งชิงหัวหยุดอยู่บนเสื้อผ้า จึงกล่าวอธิบายว่า: “กรมคลังมีคนมากมายหลากหลาย พระชายาเปลี่ยนเป็นชุดนี้จะทำงานได้สะดวกกว่า”
“อ๋อ เพียงแต่ว่าข้ายังไม่ได้ทานอาหารเลย”
“ท่านอ๋องได้จัดเตรียมเอาไว้ให้พระชายาแล้ว ขอพระชายาได้โปรดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเร่งเดินทางเถอะ รถม้ารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว” หลิวหยิ่งกล่าวอย่างจริงจังเป็นระบบระเบียบ
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้วกลับไม่ได้จะรีบออกไป แต่กล่าวถามว่า: “ท่านอ๋องล่ะ?”
“ท่านอ๋องอยู่ที่ลานด้านหน้า”
“ข้าจะไปพบเขา” ขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดไปก็เดินไปทางลานด้านหน้า หลิวหยิ่งรู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ดีที่จะไปขวางเอาไว้อีก ได้แต่ติดตามอยู่ด้านหลังของเฟิ่งชิงหัว
ในลานด้านหน้า จ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งชมดอกไม้อยู่ในลาน ในมือถือม้วนหนังสือเอาไว้ ดูแล้วสบายใจอย่างมาก
“ท่านอ๋อง พระชายาจะพบท่านให้ได้ ข้าน้อยไม่สามารถขวางเอาได้”
จ้านเป่ยเซียวหันหน้ากลับมา มองไปทางเฟิ่งชิงหัว ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
เห็นเพียงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากแดงฟันขาว เดิมทีควรจะเป็นคนอ่อนหวานที่บอบบาง แต่หลังจากที่เปลี่ยนเป็นชุดผู้ชายแล้ว ลักษณะท่าทางของคนทั้งคนดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ท่าทีที่อ่อนแอจางหายไป ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นความมั่นใจที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในจิตใจ สะดุดตาอย่างอธิบายไม่ถูก
เฟิ่งชิงหัวก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว: “ท่านอ๋อง ท่านนี่มันใจร้ายจริงๆ มอบหมายงานแย่ๆเช่นนี้ให้ข้า ตัวเองกลับมาชมดอกไม้อยู่ที่นี่”
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวกล่าวคำพูดนี้ เต็มไปด้วยท่วงท่าที่มีเสน่ห์ของหญิงสาว แต่กลับไม่ได้ดูจงใจจนทำให้คนรู้สึกไม่ชอบใจ
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว: “อย่างไร?”
ข้าจะมีเวลาอยู่ว่างๆสบายๆเช่นนี้ จะทรมานเจ้าให้งานเจ้าไปทำอย่างนี้แหละ เจ้าอยากจะทำอย่างไร
เดิมทีเรื่องที่กรมคลังเป็นเรื่องที่เร่งด่วน แต่ก็ไม่ได้เร่งด่วนจนถึงขั้นจำเป็นต้องเร่งเดินทางไปแต่เช้าโดยไม่มีเวลาสนใจจะกินข้าวเช้าเลย
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับจ้านเป่ยเซียว ที่สิ่งที่คิดซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมองไม่ใช่กลยุทธ์พิชัยสงคราม แต่คิดว่าจะทรมานผู้หญิงคนหนึ่งอย่างไร
คิดพิจารณาซ้ำไปซ้ำมา ให้นางไปถูกปฏิเสธการต้อนรับคนเดียวที่กรมคลังแต่เช้าตรู่ ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไป คว้าแขนเสื้อข้างหนึ่งของชายหนุ่มเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเขย่าเบาๆ: “ท่านอ๋อง อย่างไรเสียท่านก็อยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถ้าอย่างไรท่านไปกับข้าเถอะ?”
ดวงตากลมโตกะพริบไม่หยุด ปล่อยกระแสไฟให้ใบหน้าภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดวงตาของนางเกือบจะเป็นตะคริว แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากลับยังคงรักษาการกระทำตามเดิมเอาไว้ แม้แต่สายตาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
เป็นไปไม่ได้ อุบายนี้ของนางผ่านการทดลองหลายครั้งก็ไม่เคยผิดพลาดเลยนี่นา หรือจะเป็นเพราะใบหน้านี้สวยไม่พอจะดึงดูดใจคนได้?
ก็ได้ยินหลิวหยิ่งกล่าวขึ้นมาจากด้านหลัง: “พระชายา หลังจากที่นายท่านได้รับบาดเจ็บก็ไม่ออกจากจวนแล้ว แม้แต่ในวังก็ไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำพูดก็มองไปทางหน้ากากของชายหนุ่ม ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรท่านอ๋องก็ต้องให้หลักฐานกับข้าหน่อย ถ้าหากคนอื่นเห็นว่าข้าเป็นพระชายาที่ไม่ได้รับความโปรดปรานคนหนึ่ง อาศัยตอนที่ท่านอ๋องไม่อยู่รังแกหม่อมฉันล่ะ เช่นนี้ก็เป็นการทำให้จวนอ๋องเฉินเสียหน้าเช่นกันไม่ใช่หรือ”
หลิวหยิ่งยืนอยู่ด้านข้างเต็มไปด้วยความละอายจนเหงื่อตก รู้สึกเพียงว่าพระชายาช่างกล้าหาญมากจริงๆ
นางไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่ ท่านอ๋องให้นางไปที่กรมคลังเช่นนี้ และยังไม่อนุญาตให้พวกเขาติดตามเข้าไป เพียงแต่ให้รออยู่ข้างนอกเท่านั้น ก็เพื่อที่จะให้คนอื่นรังแกนาง