พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 26 ฝึกม้า
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 26 ฝึกม้า
เห็นเฟิ่งชิงหัวยื่นมือจะไปดึงบังเหียน หลิวหยิ่งอยู่ด้านข้างกล่าวเตือนสติว่า: “นิสัยของเพียวเสว่แปลกประหลาด นอกจากท่านอ๋องแล้วก็ไม่เชื่อฟังใครทั้งนั้น พระชายานั่งรถม้าไปดีกว่า”
ทันทีที่เฟิ่งชิงหัวได้ยิน ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกาย
ม้าที่มีนิสัยแข็งแกร่งถึงจะถือว่าเป็นม้าดี ม้าประเภทที่ได้แต่เชื่อฟังปล่อยให้คนเฆี่ยนตีก็ไม่มีอารมณ์เลยแม้แต่น้อยแบบนั้นนางไม่ชอบ
เท้าเหยียบไปบนที่วางเท้า พลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้าอย่างปราดเปรียว
ในชั่วพริบตาที่นางขึ้นไป เพียวเสว่ที่ซึ่งเดิมทีหยิ่งทะนงจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นกระสับกระส่ายอย่างมาก กีบเท้าหน้าถีบยกขึ้นมา ต้องการจะเหวี่ยงตัวเฟิ่งชิงหัวลงไป
ขาทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัวหนีบท้องม้าเอาไว้แน่น มือทั้งสองข้างจับบังเหียนเอาไว้แน่นป้องกันไม่ให้นางถูกเหวี่ยงลงมา
เพียวเสว่รู้สึกได้ถึงการต่อต้านของผู้หญิงที่อยู่บนตัว ก็ยกกีบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันกับที่กีบหน้าลงสู่พื้นกีบหลังสองข้างก็กระโดดขึ้นมาเช่นกัน
สองมือของเฟิ่งชิงหัวกอดตัวม้าเอาไว้แน่น คนทั้งคนราวกับติดอยู่บนตัวของมัน ไม่ว่ามันจะสะบัดจะเหวี่ยงอย่างไรก็เกาะติดเอาไว้อย่างแน่นหนา
เพียวเสว่เป็นม้าที่ดุร้าย ส่วนเฟิ่งชิงหัวก็มีนิสัยดื้อรั้น หนึ่งคนหนึ่งม้าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันและกันอยู่หน้าประตูจวนอ๋อง แลกเปลี่ยนกันไปมา หลิวหยิ่งที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
จู่ๆตกจากหลังม้าลงมาเช่นนี้ แล้วถูกเหยียบซ้ำตรงไหน นั่นมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
“พระชายา ท่านจับเอาไว้ให้แน่นๆ ข้าน้อยจะไปช่วยท่านเดี๋ยวนี้แหละ” ขณะที่พูดไปหลิวหยิ่งก็กำลังจะเข้าไป เพียงแต่ว่าเพิ่งจะเดินได้สองก้าวก็ถูกเฟิ่งชิงหัวหยุดเอาไว้
“เจ้าอย่าเข้ามา!”
สองมือสองเท้าของเฟิ่งชิงหัวจับตัวม้าเอาไว้อย่างแน่นหนา ขยับไปทางหัวม้าอย่างลำบาก ในที่สุดก็เข้าไปใกล้หูของเพียวเสว่แล้วพูดไปสองสามคำ
และในตอนนี้ ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เห็นม้าที่เดิมทียังแข็งแกร่งอย่างมากจู่ๆก็เหมือนกับถูกคนจับจุดอ่อนเอาไว้ ค่อยๆสงบลงมาช้าๆ ส่งเสียงร้องออกมาสองสามเสียง และยืนตัวตรงอยู่กับที่
เฟิ่งชิงหัวเช็ดเหงื่อที่อยู่ตรงหน้าผาก ตบไปที่หัวม้าของมันเบาๆ มันยังหันกลับมามองนางอย่างเชื่อฟังครู่หนึ่ง
“เป็น เป็นไปได้อย่างไร?” หลิวหยิ่งขยี้ตา สงสัยว่าเพราะตัวเองประหม่าเกินไปเลยเกิดภาพลวงตาหรือไม่
“ไปกันเถอะ” เฟิ่งชิงหัวส่งสัญญาณมือให้กับหลิวหยิ่ง ตัวเองควบม้านำหน้าไปก่อน
หลิวหยิ่งรีบขึ้นหลังม้าตามไปทันที
เดิมทีจวนอ๋องเฉินก็ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในเมืองหลวงอยู่แล้ว กรมคลังในฐานะที่เป็นสถานที่ที่ใช้สืบสวนคดีขนาดใหญ่โดยเฉพาะ แยกแยะได้ง่ายมาก เฟิ่งชิงหัวไม่ต้องถามหลิวหยิ่งเลยด้วยซ้ำ ก็หาประตูสีแดงชาดนั่นเจอด้วยตัวเอง
เวลานี้ยังเช้าอยู่ มีเจ้าหน้าที่เดินเข้าไปในกรมคลังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และตรงหน้าประตู มีชายชุดขาวอีกกลุ่มยืนเรียงกันเป็นแถวต่างหาก
บนไหล่ของผู้ชายแบกกล่องใบใหญ่เอาไว้ แต่กลับไม่บั่นทอนบุคลิกท่าทางที่หล่อเหลาของเขา แผ่นหลังของเขาตั้งตรง ราวกับว่ากล่องที่อยู่บนไหล่เป็นเพียงแค่สายรัดเข็มขัดเส้นหนึ่งเท่านั้น
“พี่ไป๋มาเช้าขนาดนี้เลยหรือ?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋จื่อหยางก้าวเข้าไปข้างหน้ากำลังเตรียมจะคำนับก็ถูกเฟิ่งชิงหัวยกมือขึ้นมาโบกแส้ม้า เห็นเขาค่อยๆเก็บมือทั้งคู่ยกขึ้นมา
“ตอนนี้เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องคำนับเช่นนี้” ขณะที่กล่าวไป ก็กระโดดลงมาจากหลังม้าอย่างห้าวหาญ
ไป๋จื่อหยางมองดูหญิงสาวที่ต่างไปจากเมื่อวานเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย: “เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่เกรงใจแล้ว”
ถึงแม้ไป๋จื่อหยางจะเป็นเพียงขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่ง แต่เพราะในตระกูลล้วนเป็นขุนนางชันสูตรศพมาแล้วสามชั่วอายุคน และเคยไขคดีใหญ่มาแล้วนับไม่ถ้วน ดังนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนจึงเคยพระราชทานตำแหน่งตระกูลขุนนางชันสูตรศพขั้นแปดให้กับตระกูลไป๋ รับเงินเดือนของราชสำนัก คำว่ากระหม่อมไม่ได้ถือว่าเกินจริงไป
เพียงแต่ว่าสถานที่อย่างเมืองหลวง ทับตายสะเปะสะปะสองสามคนก็ล้วนเป็นขุนนางขั้นห้าขั้นหกทั้งนั้น เขาที่เป็นขั้นแปดคนนี้ กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก
โชคดีที่วันนี้นางยืมของดีมาจากจ้านเป่ยเซียวแล้ว
เฟิ่งชิงหัวพาไป๋จื่อหยางเดินเข้าไปในกรมคลัง
เวลานี้ใต้เท้าเว่ยที่เป็นขุนนางหลักในการไต่สวนของกรมคลังยังมาไม่ถึง มีเพียงจู่ปู้ของกรมคลังแล้วก็กุนซือที่จัดการเอกสารราชการอยู่เท่านั้น มองเห็นฟ้าหนึ่งขาวหนึ่งเดินเข้ามา แม้แต่ตาก็ขี้เกียจจะลืมขึ้นมา งีบหลับบนโต๊ะต่อไป
เฟิ่งชิงหัวกวาดมองไปรอบๆ ทั่วทั้งห้องโถงว่างเปล่า
เฟิ่งชิงหัวเคาะไปบนโต๊ะ: “ตื่นได้แล้ว”
“ต้องการจะเยี่ยมนักโทษก็รออีกหนึ่งชั่วยาม มีเรื่องร้องทุกข์ก็รอให้ใต้เท้ามาก่อนค่อยว่ากัน ไปรออยู่ด้านข้างเถอะ” จู่ปู้ไม่แม้แต่จะมองทั้งสองคนเลย ทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่งก็นอนหมอบบนโต๊ะต่อไป