พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 262 นักต้มตุ๋นน้อยผู้นี้
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 262 นักต้มตุ๋นน้อยผู้นี้
“ใช่แล้วล่ะ เจ้าไม่ใช่บอกว่าเจ้าให้คนไปซุ่มจับตาดูไว้? เป็นไปไม่ได้ว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรขึ้นอีก?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว แล้วมีท่าทีประมาณว่าเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่กันแน่ออกมา
จ้านเป่ยเซียวถูกท่าทางที่สมเหตุสมผลของนางเช่นนี้ทำให้โมโหจนขำออกมา ยื่นมือไปดีดปลายจมูกของนางเล็กน้อย: “ดูท่าทางมั่นใจของเจ้าเช่นนี้ที่มาเรียกใช้ข้า ใครไม่รู้ยังคิดว่าเจ้าเป็นนายท่านของข้า เป็นองค์หญิงไปสองวัน ไม่ได้เรียนรู้มารยาทเลย กิริยาท่าทางขององค์หญิงต้องวางมาดทำเป็นนิ่งๆ”
ปลายนิ้วของฝ่ายชายเย็นเล็กน้อย ในอากาศร้อนเช่นนี้ช่วงหน้าร้อนพาดผ่านความเย็นสบายไป เปรียบดั่งเกล็ดหิมะร่วงลงมาแตกอยู่ที่ปลายจมูก ค่อนข้างคันเล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวลูบจมูกไปมาแล้วกล่าวเสียงกระแอมออกมา: “นี่ข้าไม่ได้วางมาดเลย”
“งั้นคืออะไร เอาผู้ชายของเจ้าเรียกใช้เป็นบ่าว?” จ้านเป่ยเซียวตวัดสายตามองไปยังนางครู่หนึ่ง
“หรือว่าไม่ใช่ว่ามีใครบางคนบอกเองว่าได้ส่งคนไปซุ่มดูไว้แล้ว ให้ข้าอดใจรอไว้?”
“ใครบางคนคือใคร?”
“ใครบางคนก็คือเจ้า!”
“เจ้าเป็นใคร?”
“จ้านเป่ยเซียว! นี่เจ้ากำลังเล่นเกมอักษรคำกับข้าใช่ไหม?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยความโมโห: “ได้ เจ้าไม่จัดการก็ช่างมัน ข้าไปจับตาดูไว้เองก็ได้!”
เฟิ่งชิงหัวพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืนจะเดินออกไปด้านนอก เพิ่งจะลุกขึ้นจากบนเก้าอี้ก็ถูกจ้านเป่ยเซียวยื่นมือค่อยๆ ออกมาดึงที่ขาไว้แน่น มือทั้งของขาก็โอบนางไว้ในอ้อมอก แล้วกดศีรษะยัดเข้าไปในอ้อมอก
อ้อมอกของฝ่ายชาสั่นสะเทือน คำพูดแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะดังมาจากด้านบนศีรษะของนาง: “ล้อเล่นบ้างไม่ได้เลยหรือ? เหมือนเสือดาวน้อยเลย”
จากนั้นเฟิ่งชิงหัวก็ทุบกำปั้นไปบนอ้อมอกของฝ่ายชาย: “เจ้าขำบ้าอะไร! มีอะไรน่าขำนักเหรอ”
มองไม่เห็นสีหน้าของฝ่ายชาย แต่อ้อมอกที่สั่นสะเทือนนั้นกลับยิ่งดูน่ายินดีมากขึ้นเรื่อยๆ บังเอิญเผยให้ได้ยินเสียงหัวเราะที่อู้อี้เล็กน้อยออกมา
เฟิ่งชิงหัวอยากจะเงยศีรษะขึ้น กลับถูกฝ่ายชายกดศีรษะลงมาไว้ใต้คางแน่น นางยิ่งเดือดดาลมากขึ้น ยื่นมือออกมาบีบแบนของจ้านเป่ยเซียว แล้วก็กล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียวว่า: “ไม่อนุญาตให้ขำแล้ว! มีอะไรน่าขำฮะ! จ้านเป่ยเซียว เจ้าเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาแล้วหรือไง!”
เฟิ่งชิงหัวอยากจะให้การตักเตือนแก่เขาเล็กน้อย แต่นิ้วมือของนางที่บีบอยู่บนแขนที่กล้ามเนื้อเต่งตรึงของฝ่ายชายก็เหมือนดั่งว่าบีบท่อนไม้ท่อนหนึ่งอยู่ก็ว่าได้ ไม่มีความสยบเลยแม้แต่นิด
เฟิ่งชิงหัวโมโหจนอยากจะซัดคน
“เจ้าปล่อยข้า เชื่อไหมว่าข้าจะพ่นพิษใส่เจ้า!”
“เจ้าก็มีความสามารถแค่จะข่มขู่ข้าเท่านั้นเอง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเย็นชาออกมา ก้มศีรษะจ้องไปยังดวงตาของเฟิ่งชิงหัว: “เผชิญกับปัญหาอย่าร้อนรน เจ้าตั้งใจรอเป็นชาวประมงก็เท่านั้นเอง”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็ไม่เอะอะ เห็นเขากล่าวออกมาอย่างตั้งใจ ก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า: “ข้าเป็นชาวประมง งั้นเจ้าล่ะ? เป็นนกอีก๋อยหรือหอย?”
จ้านเป่ยเซียวก้มศีรษะแล้วก็จูบเบาๆ ลงไปบนริมฝีปากของเฟิ่งชิงหัว: “เด็กโง่ ข้าไม่ใช่นกอีก๋อย แล้วก็ไม่ใช่หอย เป็นพระสวามีของเจ้า”
หว่างคิ้วเผยให้เห็นรอยยิ้ม มีความรักที่อบอุ่นเปี่ยมไปทั้งดวงตา
เฟิ่งชิงหัวเอนศีรษะ ใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวนวลก็ค่อยๆ แดงขึ้น ยื่นมือไปลูบผมของตนเองอย่างเขินอาย แล้วกล่าวพึมพำออกมา: “เจ้าจะเป็นการเป็นงานหน่อยได้ไหม”
ในแววตาของจ้านเป่ยเซียวแอบซ่อนความปรนเปรอเอาไว้ ปล่อยเฟิ่งชิงหัวออก: “ไม่ใช่จะทานอาหารหรือ? ทานเสร็จก็นอนพักกลางวันเร็วหน่อย ตอนกลางคืนมีงานเลี้ยงในวัง”
เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว: “เหตุใดจึงมีงานเลี้ยงในวังได้?”
“ในวังมีงานเลี้ยงขึ้นไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องปกติเหรอ ก็แค่หาข้ออ้างไปตามสะดวกเท่านั้นเอง”
“งี่นเมื่อก่อนทำไมข้าจึงไม่ได้มาเข้าร่วมตั้งหลายครั้ง?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว
“เพราะว่าข้าไม่ชอบ” เขาไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าก็ย่อมไม่พานางไป
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า แล้วก็อ๋อออกมาคำหนึ่ง
“เจ้าชอบ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น
“อาหารในวังก็ค่อนข้างอร่อยนะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างตรงประเด็น
“หรือว่าข้าทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมงั้นหรือ? พ่อครัวที่จวนอ๋องไม่อร่อยหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวเบะปากแล้วก็เริ่มชี้แจงอย่างละเอียด: “ยังจะกล้าพูดออกมาอีก ข้าแตงเข้ามาวันแรกก็กินไม่อิ่ม วันที่สองเข้าวังก็พบกับคดีความ วันนั้นเจ้าก็ลงโทษข้าไม่อนุญาตให้กินข้าว วันที่สามรับประทานมื้อเที่ยงด้วยกันเจ้ายังรังเกียจว่าข้ากินเยอะ วันที่สี่”
เฟิ่งชิงหัวกำลังยืมเอาความทรงจำที่ยอดเยี่ยมของตนหวนคิดไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่พบเจอตั้งแต่ที่เข้ามาในจวนอ๋องเฉิน ทันใดนั้นก็ถูกจ้านเป่ยเซียวอุดปากเอาไว้แน่น แน่นอนว่าที่ใช้ก็คือปาก
รอจนนางดิ้นหลุดออกมาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อเต็มใบหน้าอย่างไม่ง่ายเลย จ้องไปยังจ้านเป่ยเซียวอย่างบันดาลโทสะ แต่กลับถูกฝ่ายชายกมือบดบังดวงตาเอาไว้อีก
“พอแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าหวงอาหาร ต่อไปอยากกินอะไรก็จะซื้อให้เจ้า”
เฟิ่งชิงหัวดึงมือของจ้านเป่ยเซียวออก กล่าวออกมาอย่างอารมณ์ไม่ดี: “อย่ามามองว่าข้าเป็นเด็กน้อยที่จะโอ๋ได้ ข้าไม่กินไม้นี้” ถึงจะแปลก
“อืม เจ้าไม่ใช่เด็กน้อย เป็นองค์หญิงน้อยที่หยิ่งยโส”
“เจ้าถึงจะหยิ่งยโส หน้าตาเย็นชาอย่างกับเป็นอัมพาต เชิญรักษาท่าทางเย็นชาเย่อหยิ่งของเจ้าไว้ต่อไป เช่นนั้นถึงจะค่อนข้างหล่อเหลา”
“เจ้าชอบเช่นนี้หรือ?”
“นี่มันอะไรกับอะไร ข้าขี้เกียจจะพูดกับเจ้า ข้าจะรับประทานอาหาร”
บังเอิญเหลียนซินที่อยู่นอกประตูก็เคาะประตูขึ้น: “องค์หญิง บ่าวนำอาหารมาให้แล้วเพคะ”
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือดันฝ่ายชายออกไป แล้วลงมาจากร่างของเขา: “เจ้ารีบหลบไป อย่าให้คนเห็นได้”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว: “ข้าก็ยังไม่ได้รับประทานอาหารเลย”
“อยากกินก็กลับจวนอ๋องของเจ้าไปสิ อีกอย่างเจ้าอยู่ในวังนี้ไม่ใช้มีตำหนักของตนหรือ? ที่นี่เป็นบ้านของเจ้า ยังจะขาดตกอาหารสำหรับเจ้ามื้อหนึ่งได้อย่างนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาพล่อยๆ แล้วก็ผลักคนเข้าไปด้านในห้องเลย
จ้านเป่ยเซียวส่ายศีรษะตวัดสายตามองไปยังผู้หญิงตัวน้อยของตนอย่างจนปัญญา ดูยังไงก็หวงอาหาร ยังไม่ยอมรับอีก
“เข้ามาเถอะ”
เหลียนซินหิ้วกล่องอาหารเข้ามา แล้วเอาอาหารออกมาวางเรียงให้ดี กำลังจะถอยออกไป ก็ได้ยินเฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า: “อาหารพวกนี้เป็นเจ้าที่ไปรับด้วยตัวเองหรือ?”
เหลียนซินพยักหน้า: “ใช่แล้วเพคะ ห้องเครื่องทางนั้นได้เตรียมสิ่งที่องค์หญิงทรงโปรดเมื่อก่อนนี้ไว้ บ่าวไปรับกลับมาเอง”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วกวาดสายตามองไปครู่หนึ่ง: “อาหารพวกนี้มีพิษ”
เหลียนซินได้ยินสีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมา รีบคุกเข่าลงทันที: “องค์หญิง ไม่ใช่บ่าวนะเพคะ บ่าวไม่เคยวางยาพิษนะเพคะ”
“ไม่ได้บอกว่าเป็นเจ้า ลุกขึ้นมาเถอะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวสายตามองไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “เจ้าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ไปห้องเครื่องยกเอามาอีกชุดหนึ่ง เลือกที่เป็นรสจืดหน่อยมา พอคนอื่นถามขึ้นมาก็ให้บอกว่าข้าอยากชิมแบบแปลกใหม่หน่อย”
“เพคะ” เหลียนซินลุกขึ้นมามองมายังอาหารทั้งโต๊ะนั้น: “องค์หญิง งั้นกับข้าวโต๊ะนี้เพคะ”
“ข้าจะจัดการเอง เจ้าไปเถอะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
รอจนเหลียนซินถอยออกไป เฟิ่งชิงหัวก็รีบนั่งลงหยิบตะเกียบขึ้นมากิน
ตอนที่ยังไม่เห็นก็ไม่รู้สึกว่าหิว ในตอนนี้พอเห็นกับข้าวเต็มโต๊ะ ท้องก็เริ่มร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเฟิ่งชิงหัวก็เหมือนลมพายุถาโถมขึ้นมา จานทั้งหลายที่วางเรียงรายพวกนั้นก็ถูกนางทำลายความสวยงามอย่างรวดเร็ว
เดิมทีจ้านเป่ยเซียวคิดว่าจะจากไป แต่ได้ยินเฟิ่งชิงหัวพูดว่าในอาหารมีพิษ เป็นกังวลว่าจะเป็นใครในวังที่ไม่ดูตาม้าตาเรือจะทำร้ายนางเข้า รอจนนางในเดินออกไปแล้วก็เดินออกมา ก็เห็นฉากดุเดือดตรงหน้านี้ของนางเข้า
“เจ้าไม่ใช่บอกว่าอาหารถูกคนวางยาพิษ?” ท่าทางที่ดูดื่มด่ำกับสิ่งนั้นอย่างมีความสุขมาก ที่ไหนจะเหมือนว่าเป็นท่าของการหวาดกลัวว่ามีพิษกัน
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วเข้าหากัน นักต้มตุ๋นน้อยผู้นี้
เฟิ่งชิงหัวกลอกตามองบนครู่หนึ่ง: “นี่ข้าทำเพื่อใคร นี่ไม่ใช่ว่าอยากให้เจ้าได้กินข้าวอิ่มสักมื้อไง?”
“เพื่อข้าเหรอ?”
“ใช่สิ หากข้าจะให้เอาอาหารมาอีกหนึ่งชุด แน่นอนว่าก็จะดึงดูดความสงสัยจากคนอื่นได้ ไม่เอาการวางยาพิษมาเป็นข้ออ้าง จะเป็นไปได้ยังไงที่จะให้คนส่งอาหารมาที่นี่?”