พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 263 ป้อนอาหาร
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 263 ป้อนอาหาร
“ไม่ใช่เจ้าให้ข้ากลับไปกินเองหรือ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่พูดอยู่ก็มาอยู่ที่ข้างกายของนาง แหวกชุดเพ้าออกแล้วนั่งลงข้างกายนาง
แก้มของเฟิ่งชิงหัวปูดโปน ไม่ง่ายเลยที่จะกลืนลงไปได้ กลืนเข้าไปทั้งดุ้นและกล่าวว่า: “ไม่อยากกิน? งั้นเจ้ากลับไปเถอะ ยังไงข้าก็สามารถกินจนหมดได้”
จ้านเป่ยเซียวจ้องไปยังเฟิ่งชิงหัว: “เจ้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ความอยากอาหารมากมายขนาดนี้มาจากไหน? เมื่อก่อนต่างก็กินข้าวไม่อิ่มงั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า
จ้านเป่ยเซียวจู่ๆ ก็เกิดอาการเป็นห่วงขึ้นมา มองดูแขนและขาที่ผอมแห้งของนาง สันนิษฐานโดยอัตโนมัติว่าชีวิตของนางไม่ดีตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเมื่อเห็นอาหารก็เลยเกิดอาหารรุนแรงเกินขอบเขต
“เจ้ากินช้าหน่อยก็ได้ ไม่ดีต่อกระเพาะ”
“เคยชินแล้ว หากความเร็วช้า ไม่รอให้กินข้าวถ้วยที่สองกับข้าวก็หมดแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าวไปพล่อยๆ เท่านั้น
“คนที่แย่งอาหารของเจ้ามากมายงั้นเหรอ?”
“เยอะสิ เพื่อเนื้อชิ้นเดียวสามารถตีกันได้ทั้งวันเลย” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ ก็หยุดไปพักหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา: “ช่างน่าสลดจริงๆ เลย”
มิน่านางก็เลยชอบกินเนื้อสัตว์เช่นนี้ ที่แท้ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้กินเท่าไร
“งั้นเจ้ากินเยอะหน่อย” จ้านเป่ยเซียวก็ไม่ควบคุมนางแล้ว ก็นั่งลงด้านข้างเช่นนี้แล้วก็ดูนางกิน
อาหารในวังเดิมก็ประณีต ปริมาณน้อย ก็เกลี่ยออกเป็นชั้นเดียวเท่านั้นเอง ถูกเฟิ่งชิงหัวคีบไปไม่กี่รอบก็หมดไปแล้วหนึ่งจาน
ท่าทางการรับประทานอาหารแม้ว่าจะองอาจผึ่งผาย แต่กลับไม่ได้จะไร้มารยาทอะไร อีกทั้งในทางตรงกันข้ามคนที่มองดูยังเกิดความอยากอาหารไปด้วย
เฟิ่งชิงหัวกินจนดึงสติกลับมาได้แล้ว ตนเองกินอยู่เช่นนี้ คนอื่นก็จ้องมองอยู่ เหมือนกับว่าดูไม่ค่อยดีเท่าไร ก็เลยกล่าวถามว่า: “ไม่มีจานแบ่ง หากเจ้าไม่ถือสาอะไรก็กินกับข้าวสักสองคำก่อนไหม?”
ในขณะที่พูดอยู่ก็เอาตะเกียบกลางที่อยู่ด้านข้างส่งให้เขา แต่ว่าจ้านเป่ยเซียวไม่ได้รับ เพียงแค่ตวัดสายตามองไปที่นางครู่หนึ่ง
ความหมายในนั้นดูเหมือนว่ากำลังบอกว่า ตอนนี้ถึงจะมานึกถึงข้า สายไปแล้ว
สายตานั้นต้องการความมหยิ่งทะนงเท่าไรก็มีให้เท่านั้นเลย
เฟิ่งชิงหัวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถูกเช่นกัน ตนเองต่างก็กินไปครึ่งหนึ่งแล้ว คนที่มองดูจะเสียใจมากเท่าไร หากเปลี่ยนเป็นนางก็คงจะฉีกโต๊ะออกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว
ดังนั้นก็เลยถือตะเกียบกลางขึ้นมา คีบชิ้นไก่ขึ้นมาหนึ่งชิ้น มือข้างหนึ่งประคองไว้ แล้วส่งไปยังข้างริมฝีปากของจ้านเป่ยเซียว กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มตาหยี: “เด็กดี พี่สาวมาป้อนให้เจ้ากินแล้วนะ อ้าปาก อ้ำ”
ดวงตาที่ล้ำลึกคู่นั้นของจ้านเป่ยเซียวมองไปยังเฟิ่งชิงหัวเช่นกัน เฟิ่งชิงหัวตกใจจนทำให้ชิ้นเนื้อที่อยู่บนตะเกียบสั่นเกือบตก
“พอแล้ว ไม่ล้อเล่นก็ได้ วันนี้เจ้าก็ยังไม่ได้ทานข้าวเช่นกัน? ทานอะไรรองท้องก่อนเถอะ ดื่มแต่น้ำชาบ่อยๆ ก็ไม่ดีนักนะ”
เดิมทีมือทั้งสองข้างที่ใช้แรงกดเบาๆ กดอยู่บนหัวเข่าทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียว นิ้วมือเกร็งเมื่อย แต่ว่าบนใบหน้ากลับไม่ได้มีอาการตอบสนองใดๆ ค่อยๆ อืมออกมาหนึ่งคำ ค่อนข้างว่าง่ายอยู่บ้าง ค่อยๆ อ้าปากออกมาอย่างช้าๆ แล้วก็กัดเนื้อไก่ที่มีขนาดใหญ่เท่าถั่วลิสงชิ้นนั้นเข้าปากลงไป
เคี้ยวอยู่ระหว่างริมฝีปากและฟันอย่างปนกันสองคำแล้วก็กลืนลงไป เส้นเลือดที่ช่วงหูแดงเรื่อจนลากยาวมายังส่วนคอ แม้แต่ทั้งร่างกายก็ร้อนไปหมด
“รสชาติน่าจะพอได้นะ? มา ลองชิมรากบัวอันนี้ดูอีก” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ก็คีบรากบัวขึ้นมาหนึ่งชิ้น แต่กลับเห็นฝ่ายชายรีบลุกขึ้นมาอย่างไว แล้วรีบเดินเข้าไปห้องด้านในเลย
เฟิ่งชิงหัวสงสัยอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าจะไม่หิวจริงๆ?
เฟิ่งชิงหัวก็เลยฉวยโอกาสยัดแผ่นรากบัวเข้าไปในปากเลย เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่ใช้อยู่เป็นตะเกียบกลาง ก็เลยเอาวางไว้ด้านข้าง แล้วใช้ตะเกียบเดิมของตนเองกินต่อไป
เมื่อเห็นว่าเวลาก็จวนเจียนแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจ้านเป่ยเซียวก็ย้ายชุดชงชาชุดหนึ่งออกมาจากด้านใน แล้วเริ่มชงชา
ความเร็วของเฟิ่งชิงหัวก็ช้าลงมาแล้ว พลางถือน่องไก่ไว้ แล้วก็พลางชื่นชมท่าทางเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำไหลเย็นของฝ่ายชาย
ท่าทางการม้วนแขนเสื้อดูไร้ตัวตนดั่งเทพ ตอนที่หยิบจับยกถ้วยก็ดูห้าวหาญมั่นใจ ล้างใบชาลวกถ้วยก็มีการเคลื่อนที่นุ่มนวลมาก
เฟิ่งชิงหัวก็รู้สึกว่าตนเองจับน่องไก่อยู่เช่นนี้ ดวงตาก็มองไปยังท่าทางการกระทำของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่กะพริบเลยแม้แต่นิด มันช่างไม่งามอยู่บ้างเล็กน้อย
ผ่านไปไม่นานก็กินน่องไก่ให้หมดแล้วก็เช็ดมือไปมา คราวนี้จึงนั่งไปยังตรงนั้น มือทั้งสองข้างประสานกันแล้วเท้าคางไว้จ้องไปยังจ้านเป่ยเซียว จากนั้นเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า: “จ้านเป่ยเซียว ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเคยเป็นชายในฝันของหญิงสาวนับไม่ถ้วนในนครหลวงแล้วล่ะ”
แค่รูปร่างท่าทางก็สุดยอดแล้ว ต่างชวนให้หญิงสาวนับไม่ถ้วนแหงนหน้ามอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา ความสามารถของเขา ยังมีข่าวลือรูปโฉมที่งดงามยิ่งกว่าจ้านถิงเฟิงอีกด้วย
จ้านเป่ยเซียวกลับขมวดคิ้วขึ้น: “ข้าก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเช่นนี้เสียหน่อย”
“ทำไม? ผู้ชายไม่ใช่ต่างก็ชอบให้ผู้หญิงไล่ตาม ถูกผู้หญิงนับไม่ถ้วนมองว่าเป็นวีรบุรุษไม่ใช่หรือ?” เฟิ่งชิงหัวสงสัย สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะพูดเท็จเสียเมื่อไหร่ แม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองสามท่านนั้น แต่ละคนก็พราวไปด้วยเสน่ห์ทั้งนั้น
“เอะอะโวยวายน่ารำคาญ”
“งั้นเป็นเจ้าที่เก็บตัวเกินไป” เฟิ่งชิงหัวกล่าวแล้วก็เบะปาก
จ้านเป่ยเซียวหลยสายตา และไม่พูดอีก ตั้งใจชงชาต่อ
จมูกของเฟิ่งชิงหัวสูดเข้าไปครู่หนึ่งก็กล่าวออกมาด้วยความสงสัยว่า: “ชานี้ทำไมถึงไม่ใช่แบบนั้นที่ปกติเจ้าชง?”
“ชานี้ช่วยในการย่อย”
“อ๋อ”
หลังจากชาเสร็จแล้ว เฟิ่งชิงหัวเป็นฝ่ายรุกที่จะไปยกขึ้นมาถ้วยหนึ่ง สุดท้ายถ้วยชาลวกมือเกินไป จู่ๆ ก็ทำพลิกคว่ำไปบนโต๊ะ น้ำชารดลวกถูกหลังมือของเฟิ่งชิงหัว ลวกจนนางชักมือกลับไปอย่างกะทันหัน
ในตอนนี้ก็ทำให้น้ำตาของเฟิ่งชิงหัวบีบไหลออกมาได้เลย
จ้านเป่ยเซียวรีบยื่นมือไปดึงข้อมือของนางไว้ ดึงนางมายังบนชั้นวางกะละมังล้างหน้า ตักน้ำสะอาดใส่เข้าไปในกะละมัง แล้วเอามือของนางวางเข้าไป คราวนี้ก็เลยกล่าวสั่งสอนต่อว่าออกมา: “ความเคยชินที่สะเพร่าเช่นนี้ของเจ้าเมื่อไหร่จะแก้ไข?”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก: “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันจะลวกขนาดนั้น ปกติไม่ใช่ว่ายกแบบนี้หรือ?”
“น้ำชาโดยปกติข้าใช้กำลังภายในช่วยลดอุณหภูมิให้เจ้าแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าติดว่าเจ้าจะสามารถยกข้ามมือไปแล้วดื่มได้เลยหรือ?” จ้านเป่ยเซียวโมโหอย่างมากจริงๆ จ้องไปยังน้ำที่ค่อยๆ พองขึ้นมาบนหลังมือของนางอยู่ ดวงตามืดมน เปี่ยมไปด้วยความกลัดกลุ้มหลายเท่า
เฟิ่งชิงหัวก้มศีรษะลง เสียงอ่อนลง: “ข้าผิดไปแล้ว”
คนเขาใจดีชงชาย่อยอาหารให้นาง ถูกทำให้สิ้นเปลืองไปเช่นนี้ อารมณ์แน่นอนว่าไม่ดี ในตอนนี้เฟิ่งชิงหัวก็เลยเกิดการสำนึกผิดในใจขึ้นมาบ้าง คราวนี้ก็เลยไม่ดื้อดึงอีก ก็เลยปล่อยให้จ้านเป่ยเซียวด่าว่าตามใจอย่างสงบเสงี่ยม
หากในใจของจ้านเป่ยเซียวรู้สิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะซัดมาหนึ่งฝ่ามือมายังท้ายทอยของนางโดยตรงเลยก็ได้ แล้วก็ผสมความฉลาดทางอารมณ์และความคิดของนางเข้าด้วยกัน
หลังจากแช่ไปสักพักแล้วก็แช่อีกรอบหนึ่ง มือก็ถูกน้ำแช่จนเย็นไปหมดจนขาวซีดไปเล็กน้อย เฟิ่งชิงหัวตวัดสายตามองไปยังจ้านเป่ยเซียวครู่หนึ่ง แล้วกล่าวพึมพำออกมาเสียงเบาๆ : “น้ำนี้ไม่หอมเลย”
“ในตอนนี้ไม่ว่างจะทำน้ำพลัมหิมะให้เจ้า” จ้านเป่ยเซียวไม่ได้อารมณ์ดีเท่าไรนัก ลวกจนน้ำพองขึ้นมาขนาดนี้แล้วยังจะมีกะจิตกะใจไปกังวลว่าจะใช้น้ำอะไรอีก ทำไมเขาถึงไม่รู้เลยว่านางจะพิถีพิถันเช่นนี้
“อ๋อ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวรับคำออกมาอย่างเชื่อฟัง
จ้านเป่ยเซียวหยิบผ้าขนหนูให้นางเช็ดมือให้แห้ง หลีกเลี่ยงบริเวณบาดแผล อีกทั้งยังดึงนางเดินเข้าไปด้านในห้องด้วย หยิบกล่องยาออกมา แล้วหยิบเอาเข็มเงินออกมา เริ่มทิ่มไปยังน้ำที่พองของนาง
ตอนที่จ้านเป่ยเซียวลงเข็มไปก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงจะแทงลงไปได้ จากนั้นก็กล่าวถามว่า: “เจ็บหรือเปล่า?”
เฟิ่งชิงหัวอยากจะกลอกตามองบนไปทางเขาจริงๆ เจ็บอะไรกันเล่า เลือดที่ไหลยังน้อยอยู่ไหม บาดแผลเล็กแค่นี้มันจะเกิดอะไรขึ้น?
แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาที่จริงจังของฝ่ายชาย ยังมีท่าทางเม้มปากนั้น เฟิ่งชิงหัวได้เพียงกล่าวเสียงอ่อนโยนออกมาว่า: “พอได้”
บีบน้ำออกมา อีกทั้งยังหยิบครีมโอสถทาลงไป เมื่อเห็นว่าเขายังคิดที่จะหยิบผ้าพันแผลอีก มุมปากของเฟิ่งชิงหัวก็ค่อยๆ กระดกขึ้น: “ก็แค่น้ำพองไม่กี่ที่เอง ไม่ต้องพันผ้าพันแผลหรอกมั้ง?”
“มือทั้งสองข้างของเจ้านี้ก็นับว่าไม่เลว ถ้าเกิดทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้จะทำยังไง?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาเสียงเข้ม