พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 277 ท่านอ๋องไล่ออกมา
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 277 ท่านอ๋องไล่ออกมา
เนื่องจากเฟิ่งชิงหัวหลับไปเพราะเมา ดังนั้นตอนที่นางตื่นมาจึงปวดหัวจนหัวแทบร้าว จนนางอยากจะเอาหัวกระแทกสักสองสามครั้งเพื่อเอาของที่วุ่นวายอยู่ภายในรื้อออกมาอีกครั้ง
ก็แค่เหล้าผลไม้ ผลสุดท้ายกลับออกฤทธิ์น่าหวาดกลัวขนาดนี้
พอคิดถึงตรงนี้ นางก็เริ่มรู้สึกระลึกถึงตนเองตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ที่นางเป็นผู้หญิงร่ำรวยที่กินเบียร์เข้าไปมากแค่ไหนก็ทำอะไรนางไม่ได้
แต่หลังจากที่นางย้อนอดีตกลับมา นางยอมไม่กินเนื้อสัตว์ไม่แตะสุราเพราะว่านางต้องการฝึกประสาทสัมผัสที่มีต่อการรับรู้สมุนไพร ตอนนี้นางจึงเป็นเพียงคุณหนูคนหนึ่งเท่านั้น
กว่านางจะได้รับอิสระนั้นไม่ง่าย สุดท้ายกลับโดนเหล้าผลไม้เพียงไม่กี่แก้วทำให้เมาได้ หากเหล่าศิษย์พี่ ศิษย์น้องรู้เรื่องนี้เข้า จะต้องหัวเราะเยาะนางแน่ๆ
“องค์หญิงตื่นแล้วหรือ” เสียงของเหลียนซินดังออกมาจากด้านนอก
“อืม”
เมื่อเหลียนซินได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว นางก็เดินถือถ้วยเข้ามา “องค์หญิง นี่คือยาแก้เมา ดื่มแล้วจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว”
หลังจากเฟิ่งชิงหัวดื่มเข้าไปแล้วก็เอ่ยว่า “เมื่อวานหลังจากที่ข้าดื่มจนเมาแล้วไม่ได้ก่อเรื่องอะไรใช่หรือไม่”
เหลียนซินได้ยินดังนั้นตัวจึงแข็งทื่อขึ้นมาและตอบอย่างระมัดระวังว่า “องค์หญิงจำไม่ได้แล้วจริงหรือเจ้าคะ”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมา “ข้าทำอะไรหรือ”
เหลียนซินได้ยินดังนั้นก็กล่าวอย่างรู้สึกลำบากใจขึ้นมา “คงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง”
“ไหนเจ้าลองอธิบายมาให้ละเอียดทีซิ”
เหลียนซินเล่าเรื่องที่ตนเองรู้ออกมา พอเฟิ่งชิงหัวได้ยินว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปกอดจ้านเป่ยเซียวเองและบอกว่าจะแกล้งเขา หลังนางก็แข็งทื่อขึ้นมา “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
เหลียนซินส่ายหน้า
เฟิ่งชิงหัวถอนใจ ยังดี แค่นี้ยังไม่นับว่ายากต่อการรับมือเท่าไหร่นัก
หลังจากนั้นเหลียนซินก็เอ่ยออกมาอีกว่า “หลังจากนั้นก็หายไปกับท่านอ๋อง แล้วบอกว่าจะพานางไปทำเรื่องที่มีความสุขด้วยกัน บ่าวไม่วางใจจึงแอบตามไปดู หลังจากนั้นจึงเห็นว่าพวกท่านไปที่ห้องพระเครื่องต้นด้วยกัน แต่บ่าวอยู่ไกลมากเลยมองไม่เห็น แต่ว่าหลังจากนั้นไม่นานบ่าวก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องพระเครื่องต้นว่า “จับโจร” บ่าวกลัวว่าจะมีคนเห็นก็เลยกลับไปที่วังลั่วเซี๋ยหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามท่านอ๋องก็อุ้มองค์หญิงออกมาเจ้าค่ะ”
ในหัวของเฟิ่งชิงหัวว่างเปล่า ทุกอย่างที่เหลียนซินเล่าให้ฟังนั้น นางนึกอะไรไม่ออกเลยแม้แต่เรื่องเดียว
ด้วยเหตุนี้ นางจึงอยู่กับจ้านเป่ยเซียวเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นบ้าง
คำถามนี้ดังสะท้อนอยู่ในหัวของเฟิ่งชิงหัวตลอดเวลา สะท้อนดังก้องวกวน แม้แต่ตอนที่นางออกไปนอกวังแล้ว จิตใจของนางก็ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย
เฟิ่งชิงหัวเข้าไปในเรือนด้านหลังตามลำพังเช่นเดิม ส่วนคนในวังที่เหลือก็พากันรออยู่ด้านนอก
อู่ตู๋จื่อเวลานี้รออยู่ที่ประตูแล้ว “อาจารย์ย่า สืบเจออะไรบ้างหรือไม่”
“อืม ก็พอได้เบาะแสมาบ้าง ช่วงนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกหรือ”
“ยัง หมดสติอยู่ตลอดเลย คาดว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามถึงจะตื่น”
“เอาล่ะ งั้นที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของเจ้า ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำอีก ขอตัวก่อน”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็กลับไปที่จวนอ๋องเจ็ด องครักษ์ของจวนอ๋องต่างพากันทำความเคารพนาง แววตาที่มองมาที่นางเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ได้ทันถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลิวหยิ่งก็เดินโซเซเข้ามาหา ใบหน้าของเขามีรอยเขียวช้ำ เห็นได้อย่างขัดเจนว่าเป็นแผลที่เกิดเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้
“พระชายากลับมาเสียที” หลิวหยิ่งกล่าวอย่างดีใจ
“ที่จวนโดนโจมตีหรือ ทำไมหน้าของเจ้าถึงเป็นแบบนี้ ไหนจะยังองครักษ์คนอื่นๆ อีก ทำไมถึงเดินด้วยท่าทางแปลกประหลาดแบบนั้น” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยความสงสัย นางหายไปแค่สามวันทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้
หลิวหยิ่งส่ายหน้า แล้วถอนใจราวกับไม่อยากพูดถึงอดีต “สรุปแล้วการที่พระชายากลับมาได้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว วันหน้าหากท่านมีธุระอะไรสั่งให้พวกเราไปทำได้เลยนะขอรับ พระชายาจะได้ไม่เหนื่อย” และท่านอ๋องจะได้ไม่โมโหเพราะท่านอีก
“ท่านอ๋องล่ะ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ย จากคำบอกเล่าของเหลียนซินแล้ว เมื่อวานตอนที่นางหลับ จ้านเป่ยเซียวน่าจะอยู่ข้างๆ นาง
“นายท่านอยู่ที่ห้องทรงอักษรขอรับ”
“อ่อ อย่างนั้นข้าขอไปดูท่านแม่สักหน่อย” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยพลางเดินไปทางด้านในจวนของตัวเอง
หลิวหยิ่งมองนางที่เดินไปด้วยท่าทางสบายๆ และก็รู้สึกจนปัญญา หากนายท่านรู้จะต้องไม่ชอบใจแน่ๆ
หลายวันที่ผ่านมานี้ ม่านเฉ่าเป็นคนที่คอยดูแลท่านแม่ตลอด ตอนที่เฟิ่งชิงหัวเข้าไป ม่านเฉากำลังถือถาดใบหนึ่งออกมา เมื่อเห็นนางจึงรีบทำความเคารพ
“ฮูหยินหลายวันที่ผ่านมานี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“สองสามวันที่ผ่านมานี้มีตื่นขึ้นมาบ้างเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นก็หมดสติไปอีก บ่าวทำตามวิธีที่พระชายาสอนในการป้อนข้าวต้มไปบ้าง ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ทำตามปกติ” ม่านเฉาเอ่ยและมีท่าทีลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า ท่านอ๋องก็แวะมาเยี่ยมด้วยสองครั้งเจ้าค่ะ”
“เขามาทำอะไร” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว
“ตอนที่ท่านอ๋องมา บ่าวเฝ้าอยู่ด้านนอกเลยไม่แน่ใจเท่าไหร่เจ้าค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปพลางจับชีพจรให้ท่านแม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าร่างกายของนางไม่มีอะไรผิดปกติก็รู้สึกเบาใจลง
“ดูแลฮูหยินดีๆ ด้วยนะ”
ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็เดินไปที่ห้องทรงอักษร จากนั้นจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องทันที
เวลานี้ในมือจ้านเป่ยเซียวถือที่คั่นหนังสือของเฟิ่งชิงหัวอยู่ เสียงประตูทำให้เขาตกใจ เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงหัวเข้ามาก็รีบเอาที่คั่นหนังสือยัดเข้าไปในหนังสือแล้วปิดหนังสือลง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่ชอบใจว่า “ทำไมไม่เคาะประตู”
“ท่านไปหาแม่ของข้าหรือ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยถามไปตามตรง
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว “ไปมาสองครั้ง”
“ท่านไปทำอะไร นางเป็นแค่คนป่วยธรรมดา ท่านอยากได้ข้อมูลอะไรจากนาง” คำพูดของเฟิ่งชิงหัวแสดงความก้าวร้าวออกมาอย่างชัดเจน สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวที่เดิมทีนิ่งสงบกลับเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำลง
“เจ้าคิดว่า ข้าไปเพราะมีแผนการบางอย่างงั้นหรือ”
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะอะไรล่ะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวโพล่งออกไป
แม้ว่าเฟิ่งชิงหัวจะเคยบอกจ้านเป่ยเซียวว่านางคือแม่ของตน แต่นางกลับไม่เคยบอกฐานะของตัวเองออกมาอย่างชัดเจนเลย ดังนั้นการที่จะมีคนสงสัยในตัวนางก็เป็นเรื่องปกติ และการที่จะไปลงมือกับแม่ของนางแทนก็เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งกว่า
โดยเฉพาะจ้านเป่ยเซียวที่ต้องเดาถูกอย่างแน่นอนว่าแม่ของนางถูกช่วยออกมาจากจวนเฉิงเซี่ยง
จ้านเป่ยเซียวยิ้มเย็นๆ ออกมาเพราะคำพูดเอาเรื่องที่เฟิ่งชิงหัวที่เดาไปเอง “ข้าไม่ควรค่าให้เจ้าเชื่อถือเลยหรือ คนอย่างข้าหากอยากรู้เรื่องอะไร คงไม่ถึงกับต้องไปสืบจากผู้หญิงคนหนึ่งหรอก!”
“อย่างนั้นท่าน……”
“ออกไปให้พ้น!”
เฟิ่งชิงหัวคิดจะถามต่อแต่กลับถูกจ้านเป่ยเซียวเอ่ยไล่
เฟิ่งชิงหัวเม้มปากและไม่พูดอะไรอีก นางหันหลังวิ่งออกไปด้านนอกทันที
“พระชายาจะไปไหนหรือ” หลิวหยิ่งกำลังจะเข้าไปรายงานข่าวพอดีก็เห็นเฟิ่งชิงหัววิ่งออกมาอย่างหัวเสีย
“ท่านอ๋องของเจ้าไล่ให้ข้าออกไป ข้าก็ต้องออกมาสิ!” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างโมโหจัด
หลิวหยิ่งขมวดคิ้ว “จะเป็นไปได้อย่างไร หลายวันมานี้ที่ท่านอยู่ในวัง นายท่านรอพระชายาอยู่ที่จวนทุกวันเลย นายท่านจะไล่พระชายาได้อย่างไร”
“ข้าได้ยินด้วยหูทั้งสองข้างของข้าเอง มันจะไม่ใช่เรื่องจริงได้อย่างไรล่ะ” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“พระชายาทำอะไรหรือ ถึงทำให้นายท่านโกรธมากขนาดนี้ ทุกครั้งที่ท่านอ๋องเจอหน้าพระชายาจะอารมณ์ดีทุกครั้งเลยนะขอรับ” หลิวหยิ่งเกิดรู้สึกสงสัยขึ้นมา