พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 288 จุดอ่อนของเฟิ่งชิงหัว
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 288 จุดอ่อนของเฟิ่งชิงหัว
ความอ่อนโยนบนใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวแทบจะห้ามไม่อยู่
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ จ้านเป่ยเซียวกำลังจ้องนางนิ่ง เมื่อนางกล้าที่จะหลุดเสียงหัวเราะ จ้านเป่ยเซียวจะบีบคอนางจนตายทันที
เฟิ่งชิงหัวแสดงสีหน้าเฉยเมย เขย่งเท้าดันไหล่จ้านเป่ยเซียวเพื่อให้เขานั่งลง หยิบผ้าและเริ่มเช็ดเลือดบนนั้น
ขณะที่กำลังเช็ดอยู่นั้นก็พูดว่า “เมื่อบวมยิ่งเม้มปากก็จะยิ่งบวม และจะยังมีเลือดออกเหมือนที่เป็นอยู่”
จ้านเป่ยเซียวจ้องดวงตาของเฟิ่งชิงหัว สายตาของเขาเหมือนจะพูดว่า ทำไมมันถึงบวม และใครเป็นต้นเหตุ
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกผิดจนนางไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของจ้านเป่ยเซียว นางช่วยเขารักษาบาดแผลด้วยใจจริง จากนั้นก็หยิบยาออกมาทาให้เขา
เนื้อสัมผัสของยานี้คล้ายกับลิปบาล์ม หลังทาแล้วจะรู้สึกสดชื่น เย็น และยังให้ความชุ่มชื้นอีกด้วย
เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างจริงจัง “อันที่จริง ริมฝีปากอวบอิ่มจะดูเซ็กซี่มาก เป็นริมฝีปากอิ่มในตำนาน ซึ่งเย้ายวนมาก”
“เจ้าคิดว่ารูปลักษณ์ของข้าเซ็กซี่มากหรือ?” ในที่สุด จ้านเป่ยเซียวก็เอ่ยคำแรกกับเฟิ่งชิงหัวตั้งแต่ที่นางเข้ามา
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่”
“ถ้างั้นจงทำตัวให้เหมือนข้าในตอนนี้ซะ แล้วข้าจะเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูด” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงเรียบ
มุมปากของเฟิ่งชิงหัวกระตุกเล็กน้อย นางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เหมาะ ข้าไม่ใช่คนเซ็กซี่ สิ่งนี้ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน”
อุณหภูมิรอบตัวจ้านเป่ยเซียวต่ำกว่าศูนย์ เขาไม่เชื่อคำพูดไร้สาระของเฟิ่งชิงหัวเลย
เฟิ่งชิงหัวปวดหัวทันที นางไม่คาดคิดจริงๆ นางแค่คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าจะแกล้งเขา นางสาบาน
นางคิดว่าจ้านเป่ยเซียวจะรู้ทันทีหลังจากทานแรก แต่ใครจะรู้ว่าเขาสามารถกินทั้งชามด้วยท่าทางเงียบ ๆ จึงทำให้เกิดผลที่ตามมาแบบนี้
เฟิ่งชิงหัวอ้าปากเพื่อจะขอโทษ แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางมองเห็นริมฝีปากที่แดงก่ำและเป็นมันวาวอวบอิ่มของจ้านเป่ยเซียวภายใต้หน้ากากของเขา ซึ่งตรงกันข้ามกับออร่าโดยรวมของเขาอย่างมาก
เดิมที ริมฝีปากของจ้านเป่ยเซียวเป็นสีชมพูและบาง เขาดูเย็นชาและไร้ความรู้สึก
แต่ตอนนี้ กลายเป็นรอยยิ้มริมฝีปากทันที
นัยน์ตากำลังปล่อยลูกธนูเย็นชา แต่มุมปากยกขึ้นอย่างอารมณ์ดี เมื่อรวมกันแล้วมันก็เป็นแค่เรื่องขบขัน
“ข้าผิดไปแล้ว คิก” เฟิ่งชิงหัวขอโทษได้ครึ่งหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
แม้ว่าเขาจะสวมหน้ากาก แต่เฟิ่งชิงหัวก็ยังเห็นสีหน้าจ้านเป่ยเซียวเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียว และในที่สุดก็กลายเป็นดำด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เฟิ่งชิงหัวเองก็หมดหนทางเช่นกัน นางต้องการควบคุมตัวเองจริงๆ แต่นางไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ และนางก็หมดหวังเช่นกัน
นางยิ้ม แต่ในใจนางกำลังร้องไห้เหมือนหมา
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ดีว่าจะต้องใช้เลือดน้ำตามากแค่ไหนเพื่อตอบแทนเสียงหัวเราะในตอนนี้
เฟิ่งชิงหัวสิ้นหวัง เดิมทีนางก้มหลังอยู่ตอนนี้ก็คุกเข่าลงบนเตียงทันที กอดเอวแน่นของจ้านเป่ยเซียวด้วยร่างกายที่สั่นเทา
หากไม่มีเสียงหัวเราะ นางสามารถแสร้งทำเป็นว่านางเสียใจ แต่เสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายนั้นทำให้นางเองก็น่าตบเหลือเกิน
เส้นเลือดที่หน้าผากของจ้านเป่ยเซียวเต้นแรง “ออกไปให้พ้น!”
เฟิ่งชิงหัวกอดจ้านเป่ยเซียวแน่น “จ้านเป่ยเซียว เจ้าเชื่อข้า เจ้าเชื่อข้า ข้ารู้ว่าข้าคิดผิดไปแล้วจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เสียงหัวเราะนี้ เสียงหัวเราะนี้ไม่ได้เยาะเย้ยเจ้า จริงๆแล้วข้ากำลังร้องไห้ ข้าเสียใจมาก”
จ้านเป่ยเซียวนั่งอยู่บนขอบเตียงกับมีกขนาดใหญ่ มองดูเฟิ่งชิงหัวคุกเข่าพร้อมกอดตนเองแล้วหัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าของเขาไม่มีการแสดงออกพิเศษ
เขาเริ่มคิดในใจว่าเขาชอบผู้หญิงคนนี้ตีงไหนกัน?
หน้าตา?
ธรรมดาเกินไปและไม่โดดเด่นแม้แจะโยนเข้าไปในฝูงชนก็ไม่โดดเด่นอะไร
นิสัย?
เสียงดัง ตรงข้ามกับบุคลิกของเขาอย่างสิ้นเชิง และชอบสร้างความเสียหายเล็กน้อยเสมอ
แม้แต่ความคิดและวิธีการปฏิบัติตนก็แตกต่างจากเขามาก
ยิ่งคิด จ้านเป่ยเซียวยิ่งทำอะไรไม่ถูก ในที่สุด เขาก็โกรธต่อไปไม่ลง
มองนางอย่างสงบ “เจ้าหัวเราะพอหรือยัง?”
เฟิ่งชิงหัวโผล่ออกมาจากอ้อมแขนของเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่อยากหัวเราะจริงๆ แต่ท้องของข้ายังแข็งอยู่”
จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงต่ำ “หัวเราะเถอะ ถ้าเจ้าหัวเราะมากพอแล้ว ก็ร้องไห้”
เสียงหัวเราะของเฟิ่งชิงหัวหยุดลงทันที นางมุดเข้าไปในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเซียวและฝังตนเองไวในอ้อมแขนของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงอู้อี้ก็ดังออกมา “เจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไร”
แต่ในใจได้แต่ถอนหายใจ ทำไมนางถึงอยู่อย่างสงบสุขกับจ้านเป่ยเซียวไม่ได้ ทำไมนางต้องแขวนคอตายตรงหน้าเขา
มีเสียงเรียบของชายฟนุ่มดังมาจากเหนือศีรษะ “เจ้าเลือกเองเถอะ”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกประหลาดใจ นางเลือกด้วยตัวเอง ดีแบบนี้เลย?”
ไม่ผิดปกติ ต้องมีอะไรแปลกๆ อยู่ในนั้นแน่
ว่าแล้ว ในวินาทีถัดมา ก็ได้ยินจ้านเป่ยเซียวพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าควรจะแขวนเจ้าขึ้นมาแล้วเฆี่ยนเจ้า หรือเพียงแค่แตะจุดลมปราณของเจ้าแล้วปล่อยให้มเจ้าอยู่กลางแดดสักหนึ่งวัน หรือตัดเส้นเอ็นเท้าและมือของเจ้าดี ให้เจ้าทำอะไรไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้าขึ้นทันที “เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า”
จ้านเป่ยเซียวจ้องนางโดยไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาจริงจังมาก
ใจของเฟิ่งชิงหัวเต้นไม่เป็นจังหวะ มือของนางแข็งทื่อ นางพูดว่า “เจ้าล้อเล่นข้าหรือเปล่า?”
“ข้าไม่เคยล้อเล่น” จ้านเป่ยเซียวพูดเสียงเรียบ “ไม่เคยมีใครเหมือนเจ้าที่ล้อเล่นกับข้าเช่นนี้มาก่อน”
เฟิ่งชิงหัวกลืนน้ำลาย “เปลี่ยนวิธีได้ไหม? อย่าเหี้ยมโหดเช่นนี้สิ”
“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นบอกข้าสิว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรแบบไม่เหี้ยมโหดออก แต่ยังมีผลทำให้เจ้ากลัวได้ด้วย?” จ้านเป่ยเซียวพูดพร้อมกับกำลังรอฟังอยู่
ผลทำให้กลัว อันนี้ดูจะยากกว่า
เฟิ่งชิงหัวบ่นอยู่ในใจ
“นึกไม่ออก? งั้นก็ทำตามวิธีของข้า? ไม่ว่าอย่างไร ถ้าเจ้าบาดเจ็บ จวนอ๋องก็มียารักษา และถ้าเจ้าพิการ ข้าก็เลี้ยงดูเจ้าได้จนแก่เฒ่า”
“ไม่ ไม่ ไม่ ข้าคิดว่านี่มันไร้ประโยชน์สิ้นเชิง เพราะข้ามีทักษะทางการแพทย์ ข้ารักษาตัวเองได้ และจะทำให้ความขัดแย้งระหว่างเราสองคนยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เอื้ออำนวยต่อความปรองดองของ จวนอ๋อง เจ้าไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?” เฟิ่งชิงหัวคุกเข่าลงบนพื้น เอนหลัง เอามือวางบนเข่าอย่างเชื่อฟัง เหมือนกับนักเรียนที่ตั้งใจเรียน
จ้านเป่ยเซียวนั่งตัวตรงเหมือนอาจารย์พร้อมกับความกดดันเย็นทั่ว
“งั้นเจ้าบอกข้าสิ เจ้าเองน่าจะรู้จักตัวเองดีที่สุดใช่ไหม?”
เฟิ่งชิงหัวกลอกตา แต่ถ้าวันนี้นางไม่ทำอะไรโหด นางอาจจะไม่สามารถผ่านไปได้
นางกัดฟันพูดว่า “ข้ากลัวการเย็บผ้าที่สุด ข้าเกลียดการเขียน และข้าเกลียดการอยู่คนเดียว”
นี่นับเป็นการเปิดเผยข้อบกพร่องของตนเองหรือไม่?
“การอยู่คนเดียว ไม่เหมาะ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่คนเดียวแล้วจะมีความสุข เขียนหนังสือ? กฎของตระกูลเหล่านั้นถูกลบไปก่อนหน้านี้แล้วและผลก็ช้าเกินไป สำหรับการเย็บผ้า…” จ้านเป่ยเซียวหยุดชั่วคราวเมื่อพูดถึงที่นี่ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของเฟิ่งชิงหัวและเขาเห็นแผ่นหลังของนางสั่นเทา เต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตัดเย็บชุดคลุมให้ข้าชุดหนึ่งก็แล้วกัน กำหนดเวลาคือภายในสามวัน”
“ไม่ใช่มั้ง?” ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวเบิกกว้าง “ข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง?”