พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 295 กระอักเลือด
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 295 กระอักเลือด
“อาจารย์ย่า อาจารย์ย่า ท่านจะตายไม่ได้ หากท่านตาย ข้าจะบอกทุกคนอย่างไร ท่านต้องผ่านไปให้ได้”
อู่ตู๋จื่อผู้กำยำร้องไห้ได้น่าหวาดกลัว เสียงนั้นราวกับพลังขับเคลื่อนที่ปลุกเฟิ่งชิงหัวซึ่งกำลังหมดสติได้สำเร็จ
“หุบปาก!” เฟิ่งชิงหัวส่งเสียงออกไปด้วยความหงุดหงิด จากนั้นลืมตาขึ้น เพราะแสงสว่างแสบตา นางจึงยกมือขึ้นปิดตา
“อาจารย์ย่า ท่านฟื้นแล้วหรือ? ข้ารู้ ท่านเป็นคนมีวาสนา ไม่มีวันเป็นอะไรแน่นอน”
ขณะพูด อู่ตู๋จื่อผู้กำยำยื่นหน้าเข้าไปใกล้เฟิ่งชิงหัว ถูกนางตบไปไกล
“เจ้าไม่เพียงขวางออกซิเจนของข้าทั้งยังอยากให้ข้าตาบอดหรือ?” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยความทรมาน
อู่ตู๋จื่อกุมหน้า พูดด้วยความน้อยอกน้อยใจ “อาจารย์ย่า ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าข้าน่ารัก เห็นใดตอนนี้จึงบอกว่าข้าขัดตา ข้าน้อยใจยิ่งนัก”
เฟิ่งชิงหัวทนกับการออดอ้อนของเขาไม่ได้ เด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง:“จ้านเป่ยเซียวเล่า?”
“จ้าเป่ยเซียว? ต่อสู้กับเหลียนเจี้ยงที่วรยุทธ์แกร่งกล้ามากขึ้นทั้งที่ตนกำลังบาดเจ็บ เอาไข่ไปสู้กับหินไม่ใช่หรือ?” อู่ตู๋จื่อย่นจมูก
“เข่าเล่า ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อยู่ห้องข้างๆ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าจะมีชีวิตอีกนานไม่เพียงใดยังไม่แน่นอน พิษที่เขาข่มเอาไว้เวลานี้ไม่อาจข่มไว้ได้แล้ว”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ฟัง ลุกขึ้นทันที ทว่าด้วยความไม่ระวังจึงกระทบกับแผลของตนเอง ปวดจนนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
“เหลียนเจี้ยงช่างไม่ใช่ลูกผู้ชายจริงๆ ลงมือกับผู้หญิงอย่างเหี้ยมโหด” เฟิ่งชิงหัวโอดครวญ ยื่นมือไปจับชีพจรของตนเอง กระดูกหักซองซี่ อวัยวะบาดเจ็บ โชคดีที่อู่ตู๋จื่อช่วยนางต่อแล้ว แต่แผลภายในยังต้องค่อยๆ รักษา
“ใช่ เหลียนเจี้ยงนั้นเป็นคนบ้า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เขาหนีไปจากหุบเขาเข้าร่วมกับพวกใด จึงมีบริวารมากขนาดนั้น” อู่ตู๋จื่อที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างเห็นด้วย
เฟิ่งชิงหัวพักครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้น ไปที่ห้องข้างๆ
หลิวหยิ่งและพวกเฝ้าที่หน้าประตู เห็นเฟิ่งชิงหัวเดินมารีบพูดขึ้นทันที “พระชายา บาดแผลของพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก ข้ามาเยี่ยมท่านอ๋อง” เฟิ่งชิงหัวเปิดประตู
ภายในห้อง จ้านเป่ยเซียวนอนบนเตียงอย่างนิ่งสงบ หายใจรวยริน มีเพียงแผงอกที่กระเพื่อจึงพิสูจน์ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เฟิ่งชิงหัวจับชีพจรให้เขา พบว่าอู่ตู๋จื่อไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย
จ้านเป่ยเซียวแผลใหม่กระทบแผลเก่า ราวกับฝืนตนเอง เวลานี้ร่างกายของเขาใกล้จะหมดแรงแล้ว ไม่อาจข่มพิษในร่างกายได้ พิษเหล่านั้นกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ไปถึงหัวเข่าของเขาแล้ว
ระยะนี้ เกรงว่าเขาคงไม่อาจเดินได้
ภายในใจของเฟิ่งชิงหัวรู้สึกผิด เคยเห็นเขาเดินด้วยความมั่นใจ เห็นเขากวัดแกว่งหอกด้วยความทระนง เขาที่เคยเห็นแสงสว่าง เกรงว่าไม่อยากกลับไปสู่ความมืดกระมัง
นางจะบอกเขาอย่างไร เขาในตอนนี้ เท้าทั้งสองข้างไม่อาจเดินได้แล้ว
เฟิ่งชิงหัวเกลียดความมุทะลุของตนเอง หากไม่ใช่เพราะนางดึงดัน คิดว่าตนรับมือได้ ทั้งยังรู้จุดอ่อนของหนานกงจี๋ แล้วจะทำให้จ้านเป่ยเซียวบาดเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไร
เฟิ่งชิงหัวกำลังเสียใจ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงชายที่อยู่บนเตียงดังขึ้น “ข้ายังไม่ตาย สีหน้าของเจ้าเกินจริงไปแล้ว”
จ้านเป่ยเซียวหรี่ตาลง เวลานี้กำลังมองไปที่เฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวพูดเสียงแหบ “ขาของท่าน ไม่อาจขยับได้แล้ว”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวนิ่งสงบ ยังคงนอนบนเตียง พยักหน้า “ข้ารู้”
ตอนที่เขาขับไล่ชายชุดดำเขาไม่อาจข่มพิษที่เท้าได้แล้ว พิษปะทุขึ้นมา แค่ว่าเท้าทั้งสองข้าง ดีกว่าที่เขาคาดไว้มาก
ชั่วขณะหนึ่ง เฟิ่งชิงหัวไม่รู้จะพูดอะไรกับจ้านเป่ยเซียว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงหัวย่อตัวลง ฟุบลงบนเตียงจ้านเป่ยเซียว พูดรับประกัน “ข้าเป็นคนก่อเรื่อง ท่านวางใจเถอะ พิษของท่าน ข้าจะรักษาเอง นี่คือสิ่งที่ข้าติดค้างเจ้า”
แววตาของจ้านเป่ยเซียวเศร้าเล็กน้อย มองผ่านหน้าเฟิ่งชิงหัว ขมวดคิ้วเป็นม
จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้น ตอนที่จะสัมผัสหน้าของเฟิ่งชิงหัว จู่ๆ ก็ออกแรง ฟาดฝ่ามือไปที่เฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวคิดไม่ถึงว่าจ้านเป่ยเซียวจะกระทำเช่นนี้โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว ถอยหลัง นั่งลงบนพื้น
สายตาจับจ้องไปที่จ้านเป่ยเซียว ด้วยความฉงน ชั่วขณะหนึ่งแม้กระทั่งความเจ็บปวดบนหน้าผากก็ไม่อาจสนใจ
“ข้าช่วยชีวิตเจ้า ข้าต้องการให้เจ้าติดค้างบุญคุณข้า!” จ้านเป่ยเซียวมองค้อนไปที่เฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวกัดริมฝีปาก “แต่ว่า ข้าไม่รู้จะพูดอะไร ข้าเป็นคนทำร้ายท่าน”“คราวหน้าเจ้ายังกล้าพลีพลามเช่นนี้หรือไม่?” จ้านเป่ยเซียวโมโหจนลุกขึ้นนั่งบนเตียง หากไม่ใช่เพราะเท้าทั้งสองข้างมีปัญาหา เกรงว่าคงจะกระโดดแล้ว
เฟิ่งชิงหัวรู้ว่าตนพลีพลาม รู้ว่าครั้งนี้ตนประมาทศัตรู แต่จ้านเป่ยเซียวพูดเช่นนี้ ภายในใจของนางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยความน้อยใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีแผนสำรองเช่นนี้ อีกอย่าง หากข้าไม่ไป ก็ไม่รู้ว่าหนานกงจี๋ร่วมมือกับผู้อื่น”จ้านเป่ยเซียวหัวเราะด้วยความขุ่นเคือง “เจ้ารู้ด้วยหรือ? เจ้าไม่รู้อะไรเลยก็กล้าบุกเดี่ยวเผชิญหน้ากับศัตรู เฟิ่งชิงหัว เจ้ามีสมองหรือไม่ เจ้าเห็นความผิดปกติแล้วไม่รู้จักมาหาข้าหรือ!”
เวลานี้จ้านเป่ยเซียวยังคงรู้สึกหวาดกลัว หากเขาไปช้าอีกเล็กน้อย หรือว่าเขาไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ได้ไปช่วยนาง เช่นนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่ จะเป็นศพของนางหรือไม่?
ยิ่งคิดเช่นนี้ แววตาของจ้านเป่ยเซียวที่มองเฟิ่งชิงหัวก็ยิ่งแดงมากขึ้น
เฟิ่งชิงหัวนั่งก้มหน้า พูดเสียงเบา “แต่ว่า พวกเราสองคนกำลังทำสงครามเย็นไม่ใช่หรือ? ตอนนั้นข้ายังไม่ได้ยกโทษให้ท่าน ขอความช่วยเหลือท่าน เป็นการเสียหน้าไม่ใช่หรือ”
เลือดพุ่งขึ้นมา จ้านเป่ยเซียวถึงขั้นกระอักเลือด
เฟิ่งชิงหัวเห็นเช่นนั้นรีบวิ่งเข้าไปหา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้เขา เช็ดไปด้วยพูดไปด้วย “ท่านอย่าโมโห ท่านอย่าโมโห ข้าไม่เถียงท่านแล้ว ข้าอยากด่าก็ด่า ข้าไม่ทำให้ท่านโมโปแล้ว”
จ้านเป่ยเซียวยื่นมือไปคว้าข้อมือของเฟิ่งชิงหัวแล้วดึงตัวมาใกล้ : “ทะเลาะกับข้าสำคัญหรือว่าชีวิตของเจ้าสำคัญ?”
เฟิ่งชิงหัวกำลังจะพูดว่านางไม่รู้ว่าจะร้ายแรงขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวกระอักเลือด นางก็รีบหยุดทันที พูดเสียงเบา “ชีวิตสำคัญ”
“เจ้าช่วยทำตัวดีๆ ไม่ได้หรือ แม้จะทำสงครามเย็นกับข้า แต่เจ้าแยกแยะไม่ได้เลยหรือ? หากข้าไปไม่ทัน เจ้าก็รอความตายไม่ใช่หรือ?”
จ้านเป่ยเซียวพูดราวกับกำลังดุลูกสาว เฟิ่งชิงหัวไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว ก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ
จ้านเป่ยเซียวมองสีหน้าน่าสงสารของเขา พูดไม่ออก ทำได้เพียงยื่นมือออกไปดีดหน้าผากของเขา: “เจ็บไหม?”
“เจ็บ”