พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 302 อาจารย์และอาจารย์อา
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 302 อาจารย์และอาจารย์อา
จ้านเป่ยเซียวกลับฟังด้วยสีหน้าหนักใจ: “เฟิ่งชิงหัว ไม่ว่าที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องโกหกก็ตาม ข้าก็จะไม่ถามเจ้าว่าเจ้าได้ข้อสรุปพวกนี้มาจากไหนหรอกนะ แต่ว่าคำพูดพวกนี้จะไปพูดกับคนภายนอกไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะห้ามพูดกับคนในราชวงศ์เลย”
“ทำไม? เจ้ากลัวว่าข้าจะถูกจับไปเป็นปีศาจร้ายเอาไปเผาทิ้งหรือไง?” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
“เหตุใดเทียนหลิงจึงนับถือศาสนาพุทธ แล้วเหตุใดจึงประคับประคองประชาชนอีกด้วย เจ้าศรัทธาในศาสนาพุทธเช่นนั้นจริงหรือ?” จ้านเป่ยเซียวส่ายหัว: “ก็ไม่ใช่ แต่เพื่อให้ประชาชนเชื่อ เชื่อว่าเงยหน้าขึ้นไปสามคืบมีเทพเจ้าอยู่ เชื่อว่าตนเองทำเรื่องชั่วช้าแล้วจะได้รับผลตอบแทน แต่หากมีวันหนึ่งพวกเขาไม่เชื่ออีกต่อไปว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนั่นก็จะลดความกลัวที่อยู่ในใจเช่นนั้นลง ความคิดชั่วร้ายแพร่พันธุ์ ผลคงอยากที่จะคาดคิดได้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็พยักหน้า: “เป็นเช่นนี้น่ะเหรอ? ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็เพียงแค่ทำให้การปกครองอำนาจกษัตริย์แข็งแกร่งขึ้นอย่างง่ายๆ เท่านั้น”
“หากไม่มีอำนาจกษัตริย์ ถ้าเช่นนั้นก็ราวกับเป็นทราบที่กระจัดกระจายไปหนึ่งจาน จะกล่าวถึงความสงบสุขใต้หล้าได้อย่างไร? เพียงแค่อำนาจของกษัตริย์ไม่ได้กดขี่ข่มเหงเท่านั้น นั่นก็เลยเป็นสิ่งที่ประชาชนปรารถนาในตอนนี้”
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ กลับไม่ได้คัดค้านคำพูดแบบนี้ของเขา แม้ว่าก็มีขุนนางที่คดโกงไม่น้อย แต่ว่าตามสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าก็นับว่าเป็นระบอบที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะ
ในยุคสมัยตอนนี้ จะไปใส่ใจอะไรกับอิสระเท่าเทียมกัน ดูเหมือนว่าก็จะไม่ยอมรับความเป็นจริงเสียเท่าไร ยังไงประชาชนตอนนี้ที่ต้องการก็เพียงแค่อยู่เย็นเป็นสุขมีพอกินใช้เท่านั้น ใครจะมาเป็นฮ่องเต้ เพียงแค่ไม่กระทบถูกปากท้องของประชาชน ก็เหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นนั้นด้วย
จ้านเป่ยเซียวลูบศีรษะของเฟิ่งชิงหัว: “ความคิดนี้ของเจ้าดุแปลกใหม่ แต่ในตอนนี้ก็ได้เพียงเป็นแค่ความคิด ไม่อาจทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้ หากเจ้าเอาคำพูดเหล่านี้กล่าวออกไป จะนำหายนะมาสู่ตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะทำให้ประชาชนเข้ามาสู่การมีส่วนร่วมในการตัดสินถูกผิดด้วย”
เฟิ่งชิงหัวยิ้ม: “คำพูดพวกนี้ให้คนอื่นได้ยินแล้ว แน่นอนว่าก็จะบอกว่าท่านอ๋องอย่างเจ้าคนนี้ เห็นได้ชัดว่าตัวเองมองชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา ตนเองกลับคิดแทนประชาชน หรือว่านี่ก็เป็นกลไกในการเบี่ยงเบนปกปิดเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนด้วย?”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงเรียบเฉยออกมา: “เดิมทีข้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงจอมปลอมภายนอกเลย”
เฟิ่งชิงหัวเบะปากไปมา: “ใช่ๆๆ ท่านไปไหนมาไหนโดดเดี่ยวโดยลำพังมาตลอด ไม่สนใจว่าคนอื่นจะนินทาว่าร้ายลับหลัง ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ด่าว่าข้าได้ อย่าให้ข้าได้ยิน ให้ข้าไปได้ยินข้าก็จะให้เข้าได้รู้ว่าความร้ายกาจของข้า”
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “เจ้าคิดว่า มีคนกล้าพูดออกมาต่อหน้าข้างั้นหรือ?”
“นั่นก็ใช่ อำนาจล้นมือของเจ้าก็ยังใช้ประโยชน์ได้มาก” เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า ยืดเอวที่เมื่อยล้าขึ้นไป: “อีกหนึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสว่างแล้ว ข้าควรจะไปนอนหรือว่าไปขยันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยกันแน่?”
“ขยัน? โดยปกติก็ไม่เห็นเข้าจะมีเรื่องสำคัญอะไร”
“นั่นก็ใช่ เป็นมอดมาในระยะเวลาไม่น้อยเลย ข้าจะต้องฮึดขึ้น ข้าจะต้องขยัน ข้าจะไปฝึกวรยุทธ์แล้ว” จ้านเป่ยเซียวโบกมือมาทางเฟิ่งชิงหัว: “ท่านผู้อาวุโสอย่างท่านก็พักผ่อนเถอะ นี่ข้ากลับห้องไปหาดอกทานตะวันแล้ว
ในขณะที่พูดอยู่ก็ทิ้งจ้านเป่ยเซียวไว้ที่เดิมจริงๆ
จ้านเป่ยเซียวเห็นประตูห้องปิดไปแล้ว ก็แหวนศีรษะมองไปอีกครั้ง มองสีดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะ สีหน้าซับซ้อน: “เฟิ่งชิงหัว ที่แท้แล้วภูมิหลังหลังของเจ้าเป็นมาอันใด? ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งบดบังมากขึ้น ยิ่งเลือนรางไม่ชัดเจน?”
เฟิ่งชิงหัวฟื้นฟูซ่อมแซมอาการบาดเจ็บภายในอยู่ในห้อง ดีที่ร่างกายของนางถูกแช่ยาสมุนไพรมาตั้งแต่เล็ก เดิมก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นอยู่แล้ว โดยเฉพาะสายเลือดที่อธิบายความเป็นมาไม่ชัดเจนร่างนั้น ทำให้ความสามารถในการซ่อมแซมของนางยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ตอนสายเนี่ยหานซิงก็มาหาตามเดิม ได้ทราบว่าอาจารย์ของตนกำลังทานอาหาร ก็วางแผนจะมาปรนนิบัติใกล้ชิด
เพราะว่าเมื่อวานคารวะเป็นอาจารย์อย่างฉาบฉวย หลังจากเขากลับไปก็คิดทบทวนไปมาหลายรอบ ยากที่จะหลับได้ ดังนั้นพอเช้าก็เลยเตรียมของกำนัลอย่างเพียบพร้อมมาชดเชย
สองมือหิ้วของเต็มไม้เต็มมือไปหมดเดินเข้ามาในห้องโถง จากนั้นก็ก้าวข้ามคานประตูเข้ามา ตอนที่เห็นสองคนในโถง ของในมือก็หล่นกระจายเต็มพื้นเลย หนึ่งในนั้นยังมีเสียงแตกหักของสิ่งของที่อยู่ในกล่องดังขึ้นด้วย
ดวงตาทั้งสองข้างของเนี่ยหานซิงจ้องไปยังผู้ชายที่อยู่ข้างกายของเฟิ่งชิงหัวไม่วางตา เห็นบรรยากาศของทั้งสองคนทานอาหารด้วยกัน อีกทั้งยังมีความเข้าใจโดยปริยายระหว่างสายตานั้นด้วย ในสมองเหมือนว่าถูกค้อนทุบลงไปก็ไม่ปาน
“อ๋อง ท่านอ๋องเจ็ด” เนี่ยหานซิงแม้แต่เสียงยังสั่นเลย ขาทั้งสองข้างก็สั่นเทาไปหมด
แม้ว่าเขาจะเกาจนหัวถลอกไปจริงๆ ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นที่นี่ ที่ได้พบกับบุคคลในตำนานท่านหนึ่งเช่นนี้ได้
เฟิ่งชิงหัวมองมาที่เขาครู่หนึ่งด้วยความสงสัย: “มาเช้าเชียว? ทานอาหารมาหรือยัง มาทานด้วยกันไหม?”
“ไม่ๆๆ ไม่ต้องหรอก อาจารย์ ข้าท่านมาแล้ว นี่ พวกนี้เป็นของขวัญที่นำมาให้ท่าน” ในขณะที่เนี่ยหานซิงกล่าวอยู่นั้นก็ยกมือขึ้นอย่างบื้อๆ คราวนี้เพิ่งจะได้สติกลับมาว่าของหล่นไปกองกับพื้นหมดแล้ว ก็เลยรีบเก็บขึ้นมา งุ่นง่านอย่างควบคุมไม่ได้
“อ่อ งั้นก็เอากองไว้บนโต๊ะนั่นแหละ” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
จ้านเป่ยเซียววางชามและตะเกียบลง ตวัดสายตามองไปที่เขาครู่หนึ่ง: “ทำไมเจ้าถึงได้ถูกใจเจ้าเด็กบื้อคนหนึ่งเช่นนี้ได้ สายตาแย่มาก”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก: “หากสายตาของข้าไม่แย่ จะรู้สึกได้ยังไงว่าเจ้าค่อนข้างหล่อน่ะ?”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวไม่เปลี่ยนไป: “บังเอิญว่าก็มีตอนที่สายตาดีบ้าง”
เนี่ยหานซิงเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วเอามือประกบกับสองข้างมาทางเฟิ่งชิงหัว: “คารวะอาจารย์”
แล้วก็ยกมือที่ประกบกันทั้งสองข้างพร้อมกับโค้งเอวมาทางจ้านเป่ยเซียวอีก: “คารวะอาจารย์อา”
“ค่อกๆ” เฟิ่งชิงหัวตกใจในเสียงที่เขากล่าวออกมานั้นไม่น้อยเลย แต่จ้านเป่ยเซียวกลับกล่าวออกมาอย่างช้าๆ ว่า: “ดูไปแม้ว่าจะซื่อบื้อไปหน่อย แต่สมองก็นับว่าปราดเปรื่องอยู่”
เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าวว่า: “ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า เขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าซะหน่อย”
เนี่ยหานซิงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า: “แต่ว่าหมอเทวดาบอกว่าท่านกำลังทานอาหารกับสวามีอยู่ งั้นท่านอ๋องเจ็ดก็ย่อมเป็นอาจารย์อาของศิษย์ไปโดยปริยายแน่นอน”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มขึ้นจางๆ ที่มุมปาก
จ้านเป่ยเซียวกล่าวถาม: “งานเลี้ยงในวังหลายครั้งที่เจ้าไม่ได้มา?”
เนี่ยหานซิงพยักหน้า แล้วกล่าวออกมาอย่างเชื่องๆ เป็นพิเศษ: “ใช่แล้วขอรับ ก่อนหน้านี้ศิษย์รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในจวน ต่อมาก็ออกจากบ้านมาไกลอีก ก็เลยไม่ได้เข้าวังไป ดังนั้นก็ย่อมไม่ทราบว่าอาจารย์ที่แท้แล้วเป็นพระชายาท่านอ๋องเจ็ด ขออาจารย์และอาจารย์อาอภัยด้วย”
“อืม ข้ามาอย่างเร่งรีบ ก้ไม่มีอะไรจะมอบให้เจ้าเช่นกัน หลิวหยิ่ง”
หลิวหยิ่งที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเอาป้ายหยกหนึ่งชิ้นที่อยู่บนตัวส่งมอบให้กับมือของเนี่ยหานซิง: “โหวเย่น้อย ป้ายหยกชิ้นนี้มีฤทธิ์ในการกำจัดพิษ เพียงแค่ไม่ใช่พิษที่รุนแรงเกินไปก็ต่างสามารถหลีกเลี่ยงได้หมด”
เนี่ยหานซิงรับข้ามมาด้วยมือทั้งสองข้าง ขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ยังไงก็คิดไม่ถึงว่าการมาของตนเองในครั้งนี้จะได้รับการเก็บเกี่ยวเช่นนี้ด้วย
แม้ว่าเขาจะไม่ทราบว่าอาจารย์เดิมแล้วเป็นพระชายาของท่านอ๋องเจ็ด แต่ว่างานอภิเษกวันนั้นเขากละบได้ยินเข้าหูมาบ้าง
ท่านอ๋องเจ็ดรับราชโองการให้อภิเษกกับหนานกงเยว่ลั่วคุณหนูรองแห่งจวนเฉิงเซี่ยง แต่อาจารย์ของนางมีชื่อว่าเฟิ่งชิงหัว สองคนนี้ที่แท้แล้วเป็นคนคนเดียวกัน หรือว่ามีความลับปิดบังอะไรอยู่ในนั้น?”
เฟิ่งชิงหัวกระแอมแล้วกล่าวออกมาว่า: “ตอนนี้เจ้าไปในลานทำท่าสควอช หนึ่งชั่วยามให้หลังค่อยลุกขึ้นได้ ต่อไปทุกวันก่อนฝึกกระบี่ให้ทำท่าสควอชหนึ่งชั่วยาม ห้ามแอบขี้เกียจเป็นอันขาด”
“ศิษย์รับคำสั่ง” เนี่ยหานซิงรีบถอยออกจากห้องโถงไปทันที
จ้านเป่ยเซียวมองมายังเฟิ่งชิงหัว: “งั้นข้าล่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวจ้องเขา: “เจ้าก็ทานอาหารไปอย่างว่าง่าย ทานเสร็จก็แช่ยาสมุนไพรต่อ”
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้โต้แย้ง
หลิวหยิ่งที่อยู่ด้านข้างก็ตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้ พระชายาดูบงการมาก คิดไม่ถึงว่านายท่านยากที่จะเชื่อฟังปานนี้ รู้สึกว่าทั้งสองคนกำลังสลับสับเปลี่ยนนิสัยกันก็ไม่ปาน
โดยเฉพาะเขาพบว่านายท่านของตนดุเหมือนว่าจะชอบไม้นี้มาก ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร