พลิกชะตาหมอยา - บทที่ 57 เกรงว่าจะมีเคราะห์เลือดตกยางออก
พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 57 เกรงว่าจะมีเคราะห์เลือดตกยางออก
ผู้ใดจะรู้ ทันทีที่โก้งโค้งลงมา ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นงอนิ้วแล้วเขกเธออย่างรุนแรงทีหนึ่ง
เฟิ่งชิงหัวเจ็บจนสูดหายใจเขาลึกๆ กุมหน้าผากเอาไว้แน่น น้ำตาเกือบจะทะลักออกมาแล้ว
คนผู้นี้ คนที่ลงไม้ลงมือได้อย่างโหดเหี้ยม บริเวณที่เฟิ่งชิงหัวลูบนั้นบวมขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จ้านเป่ยเซียวจ้องมองเฟิ่งชิงหัว: “เจ็บ?”
“พูดมาได้ หากไม่เชื่อท่านก็ให้หม่อมฉันเขกท่านดูสักทีจะได้รู้ว่าเจ็บหรือไม่เจ็บ!”เฟิ่งชิงหัวจ้องถลึงตาใส่จ้านเป่ยเซียว
“รู้ว่าเจ็บก็ดีแล้ว จำเอาไว้ว่าเจ็บ ก็อย่าได้พูดจาส่งเดช”จ้านเป่ยเซียวเปิดปากกล่าวอย่างไม่สะสกสะท้าน
เฟิ่งชิงหัวเบิกดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นทันทีแล้วจ้องจ้านเป่ยเซียวอย่างดุร้าย: “ที่ท่านทำอยู่ก็คือเอาอำนาจมาใช้ในการแก้แค้น ก็เพราะว่าหม่อมฉันกล่าวถึงจุดที่ดำมืดที่สุดภายในใจของท่านแล้ว ดังนั้นท่านก็เลยพาลโกรธลงมือกับหม่อมฉันอย่างรุนแรง!”
มองดูหน้าตาท่าทางที่หม่อมฉันอ่านความในใจของท่านจนทะลุปรุโปร่งแล้วของเฟิ่งชิงหัว ในที่สุดจ้านเป่ยเซียวก็วาดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ท่านยิ้มอะไร!”เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วเขายังยิ้มอยู่ กำลังยิ้มเย้ยหยันนางงั้นหรือ?
จ้านเป่ยเซียวถูกเฟิ่งชิงหัวตะคอกเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่โมโห หางตานั้นยังเลิกขึ้นเล็กน้อยทีหนึ่ง
“ดูท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเจ้า คงจะไม่หิว ในไม่หิว ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็ไปตรวจคดีกรมคลังเถอะ คดีเล็กๆคดีหนึ่งใช้เวลาเสียหลายวัน ข้าอายคนแทนเจ้า”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มทันทีแล้วกล่าว: “ในเมื่อท่านอ๋องท่านเก่งกาจถึงเพียงนี้ มิสู้ท่านตามหม่อมฉันไปที่กรมคลังเพื่อตรวจคดีร่วมกัน?”
เดิมทีเฟิ่งชิงหัวนึกว่าจ้านเป่ยเซียวจะเหน็บแนมอีกครั้งแล้วให้นางไปด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขากลับพยักหน้าเบาๆหนึ่งที
ประจวบเหมาะที่เดินมาถึงประตูพระราชวัง คนทั้งสองตรงขึ้นไปนั่งบนรถม้าของจ้านเป่ยเซียวแล้วมุ่งหน้าไปยังกรมคลัง
รถม้าของจ้านเป่ยเซียวก็คือคลังสมบัติ ด้านในมีพร้อมทุกสิ่ง เฟิ่งชิงหัวดึงช่องลับช่องหนึ่งออกมาอย่างคุ้นเคย เป็นดังที่คาดไว้ด้านในมีขนมจานหนึ่งวางเอาไว้
เป่ยเซียวกล่าวอย่างแสร้งรังเกียจ: “กินก็กินให้มันดีดี ถ้าหากกล้าทำเศษขนมหล่นลงบนรถ ข้าจะนำเจ้าโยนออกไปเสีย”
เฟิ่งชิงหัวกลอกตากล่าว: “ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านหม่อมฉันจำเป็นต้องมานั่งกินขนมบนรถม้าจนอิ่มท้องหรือไม่? ตามหาท่านทั้งช่วงเช้า หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ตอนที่ทั้งสองคนลงมาจากรถม้า ใต้เท้าใต้เท้าเจียงผู้ตรวจการหอต้าหลี ใต้เท้าลู่รองเสนาบดีประจำกรมพิธีการก็เพิ่งจะมาถึงที่ประตูเช่นเดียวกัน
“ใต้เท้าทั้งสองวันนี้มาถึงค่อนข้างเร็ว บาดแผลบนร่างกายหายดีทั้งหมดแล้วหรือไม่?”เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้วมองไปทางทั้งสองคน
เมื่อทั้งสองคนเห็นใบหน้ายิ้มแย้มสดใสเจิดจ้าเกินไปของเฟิ่งชิงหัว อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณบาดแผลนั้นได้กลับมาอีกครั้ง
“ขอบพระทัยพระชายาที่เป็นห่วง ขอเพียงแค่พระชายาจำได้ว่าหม่อมฉันทั้งสองเป็นขุนนางในราชสำนักก็เพียงพอแล้ว”ผู้ตรวจการหอต้าหลีเจียงกล่าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ถ้าหากว่าพระชายาไม่มีเวลาว่างจริงๆ สามารถนำเรื่องนี้มอบหมายให้พวกหม่อมฉันได้ ถึงอย่างไรก็สตรีเดิมทีก็ควรจะช่วยเหลือสามีสั่งสอนลูกเช่นนี้ถึงจะถูกต้อง”
ในใจของทั้งสองคนในขณะนี้ยังคงโกรธแค้นที่ถูกเฟิ่งชิงหัวโบยในครั้งนั้น ดังนั้นจึงจงใจพูดจาถากถางนาง
“ว่างมาก?”น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกของชายหนุ่มค่อยๆดังขึ้นมา ทันใดนั้น ผู้คนบริเวณรอบๆรู้สึกเพียงแค่มีความหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านมา ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ทุกคนถึงพบว่า แท้ที่จริงแล้วไม่เพียงแค่พระชายาเจ็ดจะเสด็จมาเท่านั้น แม้แต่ท่านอ๋องเจ็ดที่ไม่เคยออกนอกบ้านเป็นเวลานานมากแล้วก็เสด็จมาด้วยเช่นกัน
ใต้เท้าทั้งสองรีบสบตากันและกันแวบหนึ่งทันที ก้าวไปข้างหน้าแล้วทำความเคารพอีกครั้งหนึ่ง
“พวกท่านมีความไม่พอใจอันใดต่อพระชายาของข้า?”จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเย็นชา
“กระหม่อมมิกล้า”ทั้งสองคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน นำหัวมุดลงต่ำมากกว่าเดิมทันที
“ไม่กล้ายังปฏิบัติต่อพระชายาของข้าถึงเพียงนี้ ถ้าหากว่ากล้า มิใช่ว่าแม้แต่ข้าก็จะล่วงเกินด้วยหรอกหรือ?”จ้านเป่ยเซียวพูดไป สายตาเปล่งประกาย พลังอำนาจที่ไร้เสียงข่มลงมาทันทีทันใด
“กระหม่อมสมควรตาย!”
“กระหม่อมสมควรตาย!”
“หากรู้ว่าสมควรตาย ยังไม่ลงมือ ต้องการให้ข้าไปส่งพวกเจ้าด้วยตนเอง?”
ตอนนี้ ผู้ตรวจการหอต้าหลีเจียงกับรองเสนาบดีประจำกรมพิธีการหวาดกลัวแล้วจริงๆ
ก็ไม่รู้ว่าตนเองทำเวรทำกรรมอะไรไว้ถึงได้ถูกฝ่าบาทส่งตัวมายังที่นี่ อันดับแรกถูกพระชายาเจ็ดโบยไปหนึ่งยกโดยไม่ถามเหตุผลให้ชัดเจน ตอนนี้ยังต้องมาพบกับปีศาจตนนี้อีก เหมือนกับกำลังเอาชีวิตมาทิ้ง
ถ้าหากเป็นผู้อื่น พวกเขาถือว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเล่นเท่านั้น แต่ว่าคนผู้นี้คือปีศาจใบหน้าเย็นชาท่านอ๋องเจ็ด ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้วก็จะต้องทำให้สำเร็จ
“ท่านอ๋องได้โปรดเมตตา กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินพระชายาแล้ว กระหม่อมรู้ผิด กระหม่อมจะขอโทษพระชายาเดี๋ยวนี้!”ผู้ตรวจการหอต้าหลีเจียงได้สติกลับคืนมาเร็วที่สุด รีบหันหน้าไปทางเฟิ่งชิงหัวแล้วรีบคุกเข่าโขกหัวกับพื้นดังโครมโครมโครมอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบกับการมีชีวิต หน้าตา หยิ่งในศักดิ์ศรีอะไรล้วนไม่สำคัญ ถึงแม้จะรู้ดีว่า ต่อให้เป็นเช่นนี้ โอกาสก็ค่อนข้างเลือนราง
เสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนก็ได้สติกลับคืนมาแล้วเช่นเดียวกัน ก็คุกเข่าโขกหัวตาม
ถึงแม้ว่าด้านนอกประตูกรมคลังจะมีคนไม่มาก แต่บางครั้งบางคราวก็ยังมีคนสัญจรจำนวนหนึ่ง ประกอบกับศาลาว่าการที่อยู่ด้านในกรมคลัง คนหลายสิบคนจ้องมองบุรุษสองคนนี้ที่โดยปกติแล้วจะหยิ่งผยองที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโขกหัวไม่หยุดอย่างหมดสภาพ
เมื่อเห็นว่าโคกจนเนื้อหนังถลอกปอกเปิก เฟิ่งชิงหัวที่อยู่อีกข้างเอ่ยปากกล่าว: “พอแล้ว ไม่ต้องโขกแล้ว มีเวลามาโอ้เอ้เช่นนี้ก็เพียงพอให้พวกเจ้าหาเชือกสักเส้นมาแขวนคอแล้ว”
เมื่อผู้ตรวจการหอต้าหลีเจียงกับเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนได้ยินประโยคนี้ลำคอก็เย็นวาบขึ้นมาทันที มีความรู้สึกบางอย่างว่าอีกประเดี๋ยวจะมีเลือดสาดบริเวณนี้
พวกเขาลืมไปได้อย่างไรกัน ว่าพระชายาอ๋องเจ็ดที่อยู่เบื้องหน้าก็เป็นคนที่เรื่องมากเช่นเดียวกัน พวกเขาคิดอย่างไร นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขากล้าเพ้อฝันว่านางสามารถช่วยขอความเมตตาได้
จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์บนปฏิทิน บนปฏิทินจะต้องเขียนเอาไว้ว่าออกจากบ้านไม่ราบรื่นเป็นแน่ เกรงว่าจะมีเคราะห์เลือดตกยางออก
เมื่อเห็นว่าในที่สุดทั้งสองคนก็อ่อนน้อมถ่อมตนแล้ว เฟิ่งชิงหัวถึงมองไปทางจ้านเป่ยเซียว: “ท่านอ๋อง วันนี้อากาศไม่เลว ปล่อยใต้เท้าทั้งสองท่านนี้ไปก่อนชั่วคราวแล้วไปชมทิวทัศน์เสียหน่อยเถอะ รอวันไหนอากาศไม่ดีค่อยส่งพวกเขาไปปรโลก”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบตาไปมองนางแวบหนึ่ง: “เจ้าร้องขอความเมตตาแทนพวกเขา?”
เฟิ่งชิงหัวเกาหัว: “ไม่ใช่แบบนั้นเพคะ มองดูแล้วเหม็นคาวเลือดยิ่งนัก”
“ไสหัวไปไกลๆ”ชายหนุ่มกล่าวอย่างหมดความอดทน
เฟิ่งชิงหัวตกตะลึงไปทันที กำลังคิดที่จะพูด ก็เห็นสองคนนั้นถูกอภัยโทษคลานเข่าออกไปด้วยความลนลานหนึ่งรอบ เพื่อจัดการเส้นทางให้เป็นระเบียบ
รู้สึกว่า คำพูดที่ไม่เกรงใจประโยคนี้คือพูดกับพวกเขา เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วยิ้มออกมา: “เช่นนั้นท่านอ๋อง พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะเพคะ”
หลังจากที่รอให้จ้านเป่ยเซียวกับเฟิ่งชิงหัวหน้าคนหลังคนเดินเข้าไป ผู้ตรวจการหอต้าหลีเจียงกับเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก มีความรู้สึกบางอย่างราวกับผู้คนที่เหลือรอดจากผ่านภัยพิบัติ
หลิวหยิ่งที่อยู่อีกข้างเอ่ยเสริมขึ้นมาอย่างเรียบๆ: “ถ้าหากไม่มีพระชายาอยู่ ใต้เท้าทั้งสองท่านรู้หรือไม่ว่าจุดจบของตนเองจะเป็นแบบใด?”
“กระหม่อมขอบพระทัยบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของพระชายา”ผู้ตรวจการหอต้าหลีเจียงรีบหันหน้าไปทางประตูใหญ่คำนับขอบคุณในบุญคุณต่อร่างคนที่มองไม่เห็นแล้ว
รองเจ้ากรมข้าราชการพลเรือนก็รีบทำท่าทางแบบเดียวกัน
หลิวหยิ่งเห็นว่าคำชี้แนะของตนเองได้ผล จึงได้กอดกระบี่แล้วเดินเข้าไป
เขามีความเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย ตามลักษณะนิสัยพูดคำไหนคำนั้นในอดีตของท่านอ๋อง เพียงแค่เป็นการสังหารขุนนางในราชสำนักสองคนก็เท่านั้น เคยพูดอะไรเยอะแยะมากมายที่ไหนกัน มีหรือจะรอให้พวกเขาขอร้องให้ยกโทษให้
ดูเหมือนว่านี่เป็นเพราะกำลังปูทางให้แก่พระชายา ลักษณะนิสัยของท่านอ๋องเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?