พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 103 ใครมา
กล่าวลาหรือ
คนในห้องตกใจอีกครั้ง นายใหญ่เฉินนั่งตัวเหยียดตรง
“พี่สาวจะไปแล้วหรือ” ตันเหนียงตะโกนกล่าว
“ข้าย่อมต้องไปอยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นางอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ มาฝังเข็มออกใบสั่งยาทุกวัน เวลาที่เหลือก็อยู่ในเรือนของตน หากมิใช่เพราะนายใหญ่เฉินอาการดีขึ้นเรื่อยๆ คนบ้านตระกูลเฉินก็แทบจะลืมไปแล้วว่ามีนางอยู่
“นายหญิง อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถิด” เฉินเซ่ากล่าว
“ชายสาม ทำเช่นนี้ไม่ได้” นายใหญ่เฉินกล่าว “นายหญิงมาอยู่ที่นี่ได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว ในเมื่อนายหญิงบอกว่าจะไป นั่นก็แปลว่าอาการป่วยของข้าจะหายไปจากตัวแล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า เฉินเซ่าทำได้เพียงไม่รบเร้าต่อ
“แล้วนายหญิงจะกลับเจียงโจวหรือว่า…” เขาลังเลสักครู่แล้วเอ่ยถาม
“ข้าจะ อยู่เมืองหลวงอีกสักพัก ค่อยพูดเรื่องเวลากลับ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
เฉินเซ่าโล่งใจ ขอเพียงยังอยู่เมืองหลวงก็พอ อย่างไรเสียท่านพ่อก็เพิ่งจะหาย ถึงแม้นายหญิงผู้นี้จะวางใจแล้ว แต่คนเป็นบุตรนั้นยังไม่ได้วางใจเสียจริงๆ
พลบค่ำของวันนั้น ฮูหยินเฉินเซ่าก็นำค่ารักษามาให้ด้วยตนเอง
เฉิงเจียวเหนียงผลักซองแดงนั้นกลับไป
ถึงแม้เฉิงเจียวเหนียงจะไม่ได้บอกว่าต้องจ่ายเท่าไร ฮูหยินเฉินก็ไม่ได้บอกว่าให้เท่าไร แต่ก็พอจะนึกออกได้ว่า ซองแดงที่ยื่นให้มาเมื่อครู่นั้นจะต้องจำนวนไม่น้อยเป็นแน่
ฮูหยินเฉินเซ่าไม่สบายใจเล็กน้อย หรือว่าจะรังเกียจที่เงินน้อยเกินไปกัน
“ขอฮูหยิน ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง ขอฮูหยิน ช่วยข้าหาบ้านไว้เช่าอาศัยด้วย”
ฮูหยินเฉินสีหน้าตกใจ สาวใช้แม่นมบ้านตระกูลโจวที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกนั้นต่างก็มองตากันด้วยความตกตะลึง
สวรรค์!
ผ่านไปสักพักใหญ่ฮูหยินเฉินจึงจะตั้งสติได้
“กระทันหันเกินไปรีบร้อนเกินไป เช่นนี้หายากนัก นายหญิงอยู่ที่บ้านนี้ก่อน หาได้แล้วค่อยย้ายไป จะได้เลือกสรรได้อย่างเต็มที่” ฮูหยินเฉินกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ฮูหยิน ที่ข้าขอให้ท่านหา ก็เพราะเรื่องนี้รีบร้อนยิ่งนัก” นางกล่าว
ฮูหยินเฉินทำหน้าไม่ถูก นายหญิงผู้นี้ดูเหมือนจะเงียบๆ เรียบร้อย พูดน้อยแต่เมื่อได้เอ่ยปากก็มักจะรุนแรงนัก
ทางนายใหญ่เฉินเมื่อได้ฟังคำพูดของสามีภรรยาเฉินเซ่าแล้ว ก็หัวเราะออกมา
“เช่นนั้นก็ทำตามที่นางบอกแล้วกัน” เขากล่าว “ที่นางพูดก็เป็นความจริง หากจะหาจริง เร่งรีบเพียงไหนก็หาได้”
พูดจบก็ครุ่นคิดไปสักครู่
“ไม่ต้องถามแล้ว พวกเราขายเรือนข้างสะพานอวี้ไต้ให้นางแล้วกัน เครื่องเรือนก็ครบครัน ไปแล้วก็สามารถเข้าอาศัยได้เลย” เขากล่าว
เฉินเซ่าลังเลเล็กน้อย
“ท่านพ่อ จะ ขายให้นางหรือ” เขาเอ่ยถาม
ไม่ใช่ ให้หรือ
“ขายให้นาง” นายใหญ่เฉินพยักหน้า แล้วกล่าวอีกรอบ
เฉินเซ่าขานรับ
ข่าวแพร่ไปยังบ้านตระกูลโจวอย่างรวดเร็ว เหมือนกับที่บ้านตระกูลเฉินได้ยินครั้งแรกเช่นนั้น บ้านตระกูลโจวก็โกลาหลเช่นกัน
“นางพูดเช่นนี้จริงหรือ” นายใหญ่โจวกล่าว
แม่นมที่อยู่ตรงหน้าเนื้อตัวสั่นเทา
“ใช่เจ้าค่ะ นายท่าน ฮูหยินเฉินไปหารือกับนายใหญ่เฉินเรื่องซื้อบ้านให้นายหญิงเฉิงแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว
“หญิงสารเลว!” นายใหญ่โจวโมโหก่นด่า “ไม่เห็นหัวญาติผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้เชียว!”
“นายท่าน ทำอย่างไรดี” ฮูหยินโจวกล่าวด้วยสีหน้าไม่ดี “หากแพร่ออกไป คนนอกจะพูดถึงพวกเราว่าอย่างไร”
เดิมทีระหว่างการรักษายังไม่รู้ผลบ้านตระกูลเฉินและตระกูลโจวต่างก็มิได้แพร่งพรายเรื่องเชิญหมอมารักษาออกไป ตอนนี้เมื่ออาการป่วยของนายใหญ่เฉินดีขึ้นเรื่อยๆ
บ้านตระกูลโจวก็แสดงท่าทีว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคให้นายใหญ่เฉินทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ทุกสามวัน ฮูหยินโจวก็จะไปบ้านตระกูลเฉิน ถึงแม้จะได้พบเฉิงเจียวเหนียงบ้าง ไม่ได้พบบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำให้คนนอกเกิดคำถามกันขึ้น
ขุนนางฝ่ายบู๊ระดับล่างคนหนึ่ง มาบ้านเสนาบดีฝ่ายบุ๋นอยู่บ่อยครั้งเป็นเพราะอะไรกัน
เพิ่งจะสยบความสงสัยของบ้านตระกูลเฉินเพราะเรื่องขับไล่แม่นมอย่างไม่ใยดี เดิมทีนึกว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว ไม่คิดว่าหญิงผู้นี้จะทำเช่นนี้ขึ้นมากระทันหันไม่ให้ทันตั้งตัว!
“ช่างเนรคุณยิ่งนัก สุภาษิตที่ว่า ‘หลานชั่ว หลานชั่ว กินเสร็จก็หนีไป’ ว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ ไม่คิดสักนิดเลยว่าตอนนั้นพึ่งพิงบ้านใคร ถึงได้มีชีวิตสงบสุขมาถึงทุกวันนี้” นายใหญ่โจวยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห “เด็กไม่มีใครสั่งสอน!”
นายใหญ่โจวโมโหจนแทบจะลุกไปบ้านตระกูลเฉินเพื่อสั่งสอนเด็กอกตัญญูผู้นี้ แต่ถูกฮูหยินโจวรั้งเอาไว้
“นายท่าน นั่นเป็นเด็กไม่สมประกอบ มีเรื่องใดคำพูดใดที่พูดออกมาไม่ได้กัน หากโวยวายต่อหน้าบ้านตระกูลเฉิน จะเป็นการฉีกหน้านะเจ้าคะ” นางกล่าวเตือน
“นี่ยังไม่ฉีกหน้ากันอีกหรือ” นายใหญ่โจวเนื้อตัวสั่นเทา
“อย่างไรเสียก็ยังจะพอมีทางหนีทีไล่ได้” ฮูหยินโจวกล่าว “อย่างไรเสียบ้านตระกูลเฉินก็รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่สนิทสนมกับพวกเรา มาเมืองหลวง รักษานายใหญ่เฉินให้หายได้ ขอเรือนหลังหนึ่งมาอยู่อาศัยก็พอจะเข้าใจได้”
นายใหญ่โจวกัดฟัน
“แล้วอย่างไร พวกเราจะดูนางเข้าไปอยู่อย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยถาม
“เข้าไปอยู่ แล้วค่อยเชิญกลับมาก็ได้” ฮูหยินโจวกล่าว
นายใหญ่โจวหัวเราะเยาะ
“ฉะนั้น อย่างไรข้าก็ต้องทนถูกหญิงสารเลวนี่เหยียบเท้าเอา แล้วไปประจบประแจงนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างนั้นหรือ” เขาตะคอก “นางเป็นใครกัน! นางถือดีอะไรมาทำเช่นนี้! นางลืมไปแล้วหรือว่าเลือดครึ่งหนึ่งในตัวนางเป็นของตระกูลโจว”
ท่านชายโจวหกที่อยู่ข้างนอกได้ยินดังนั้น หมัดที่กำไว้แน่นก็ปล่อยคลายลงกระทันหัน หันตัวกลับแล้วเดินจากไป
หิมะตกกลางดึก เมื่อฟ้าสว่างขึ้นก็กลายเป็นชั้นหนาเสียแล้ว
“เมื่อเข้าฤดูหนาว หิมะในเมืองหลวงตกลงมามากมายเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าว แล้วก็มองดูสัมภาระที่เก็บเรียบร้อยแล้ว
หรือจะกล่าวว่ามีเพียงห่อผ้าห่อเดียวก็ว่าได้ ในนั้นมีเสื้อผ้าที่เฉิงเจียวเหนียงทำเองสองสามชุดและของแต่งผม
เสื้อผ้าที่ฮูหยินตระกูลโจวนั้นให้มา สาวใช้ก็นำไปให้สาวใช้บ้านตระกูลเฉินหมดแล้ว
ก็เหมือนตอนขามา ยังคงมีเพียงห่อผ้าธรรมดาติดตัวไป
อสังหาในเมืองหลวงนั้นราคาสูงนัก ค่ารักษาที่บ้านตระกูลเฉินจ่ายนั้นแลกกับเรือนอาศัยได้พอดี
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจ ว่าบ้านตระกูลเฉินนั้นขายครึ่งหนึ่งให้ครึ่งหนึ่ง
ฉะนั้นดูเหมือนว่าพวกนางมามือเปล่า และไปมือเปล่า
“ข้าจะไปดูว่ารถม้าเตรียมเสร็จแล้วหรือยังนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า มองดูหิมะที่ล่องลอยนอกหน้าต่าง
สาวใช้กางร่มแล้วเดินออกไป ก็เห็นจินเกอร์วิ่งเข้ามา
“จินเกอร์” นางรีบตะโกนเรียก “เจ้าไปเก็บกวาดเรือนใหม่ให้เรียบร้อยก่อน”
แผลที่ขาของจินเกอร์หายดีแล้ว ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
“ข้ากำลังจะนั่งรถไปพอดี” เขากล่าว แล้วชี้ไปยังรถลาคันหนึ่ง
“ไปเถิด อุ่นทางเดินใต้ดินให้ร้อน” สาวใช้กำชับ “ต้มน้ำด้วย หิมะจะกวาดหรือไม่ก็ไม่เป็นไร”
“พี่สาววางใจได้ พวกข้าไปด้วยกัน เก็บกวาดเสร็จแล้วจึงจะไป” บ่าวที่บังคับรถม้าสองคนกล่าว
สาวใช้ยิ้มแล้วขอบคุณ แล้วไปดูรถม้าที่เฉิงเจียวเหนียงเตรียมไว้
นี่เป็นรถม้าที่ฮูหยินเฉินใช้เดินทางอยู่ประจำแล้วตกแต่งใหม่ตามคำสั่งของสาวใช้
ตรวจสอบทั้งหมดจนแน่ใจแล้ว สาวใช้จึงจะวางใจแล้วกลับไปเชิญเฉิงเจียวเหนียงออกมา
“นายหญิงเจ้าคะ เชิญเจ้าค่ะ” แม่นมนอกห้องถือร่มเข้ามากล่าวอย่างนอบน้อม
เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นสวมหมวกคลุมหน้า
สามีภรรยาเฉินเซ่าและคนทั้งบ้านนั้นต่างก็มาส่งกัน นายใหญ่เฉินป่วยจึงไม่สะดวกออกมาในวันอากาศหนาวเย็น เมื่อวานตอนกล่าวลาก็ได้ร่ำลากันก่อนแล้ว
“ในเมื่อยังอยู่ในเมืองหลวง รอให้ข้าหายดีแล้วค่อยพบกันใหม่” เขากล่าวสบายใจ “ก็ไม่ต้องยึดติดกับวันนี้แล้วกัน”
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นปรากฏตัว ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง หิมะละเอียดร่มสีดำ เสื้อคลุมสีน้ำหมึก ในขณะที่เดินไปก็เผยชุดสีเข้มแขนกว้างข้างใน ปกคลุมสีสันอื่นโดยรอบไปหมด
“ข้าก็จะไปทำชุดแบบนี้ชุดหนึ่ง” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวพึมพำ ตาจ้องหญิงสาวผู้นั้นที่เดินมา อยากจะจดจำไว้ทุกรายละเอียด
ท่ามกลางความเหม่อลอย ทุกคนก็ก้าวออกไป
“พี่สาว” เฉินตันเหนียงวิ่งผ่านทุกคนเข้าไปใกล้ เงยหน้าจ้องมองแล้วเอ่ยถาม “ข้าไปเล่นกับพี่ได้หรือไม่”
“ได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ช่วงเวลานี้ที่อยู่ในบ้านตระกูลเฉิน พวกนางทั้งสองนั้นคุยกันอย่างสนุกสนาน
เป็นเพราะเคยรู้จักกันมาก่อนกระมัง
เหล่าสาวน้อยข้างๆ นั้นมองดู ก็เกิดความอิจฉาขึ้นเล็กน้อย
ทั้งที่อายุเท่ากัน แต่หญิงสาวผู้นี้กลับทำให้พวกนางขลาดกลัว ถึงแม้จะไปเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่กล้าและไม่รู้ว่าจะเข้าไปพูดคุยอย่างไร สุดท้ายก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก
รถม้าจอดอยู่หน้าประตูสอง ฮูหยินเฉินดูนางขึ้นรถด้วยตนเอง
“ทางนั้นเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ไปดูมาแล้ว ขาดเหลืออะไรเจ้าก็บอก” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ากล่าวขอบคุณ ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วนั่งเข้าไปในรถ
ม่านรถปล่อยลงบังสายตา ณ ที่นั้นเหมือนว่าจะมีเสียงถอนหายใจเสียดายดังขึ้น
รถม้าส่ายไปมาเคลื่อนหน้าไป มีใต้เท้าเฉินและเหล่าชายหนุ่มไปส่ง คนอื่นๆ หยุดยืนอยู่ตรงนั้นแล้วส่งด้วยสายตา
“ไม่รู้ว่านายหญิงเฉิงอายุเท่าไร แต่งงานหรือยัง” ฮูหยินของนายเฉินสี่กล่าวพึมพำขึ้นมากระทันหัน
“อายุยังน้อย แต่ว่า ก็ถึงอายุที่จะแต่งงานได้แล้ว” ฮูหยินเฉินกล่าว เนื่องจากตั้งใจสืบเสาะมา เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วนางรู้จักเฉิงเจียวเหนียงดีที่สุด “ตอนแรกป่วย ตอนนี้เพิ่งจะหาย น่าจะยังไม่ได้แต่งงาน…”
ยังไม่ได้แต่งงาน คำพูดนี้ทำเอาคน ณ ที่นั้นต่างก็ชะงักไป แล้วก็ดีใจขึ้นมาทันใด
เหล่าหญิงสาวก็เลี่ยงไปไม่ได้ฟังต่อ เหล่าหนุ่มน้อยถึงแม้จะแสร้งทำเป็นหันหน้าไป แต่กลับอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูแอบฟัง
“พี่สะใภ้ เช่นนั้น…” ฮูหยินของนายเฉินสี่ตาลุกวาวรีบเดินเข้ามาเอ่ยปากพูดคุย
ยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็มีแม่นมและบ่าววิ่งมาจากข้างนอก
“แย่แล้ว รถของนายหญิงเฉิงถูกคนขวางเอาไว้”
อะไรกัน
ทุกคนตกตะลึง จะถูกคนขวางไว้ได้อย่างไร ใครกันกล้ามาขวางหน้ารถของบ้านตระกูลเฉินกัน
“บังอาจ เจ้าเป็นใครกัน” เฉินเซ่าลงรถม้าไปอย่างเร่งรีบ แล้วตะคอกเสียงเคร่งขรึม
บนทางหน้าประตู หนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนเชิดหน้ากอดอก ตรงข้างเอวคาดดาบเอาไว้
“ข้าคือท่านชายหกตระกูลโจว” เขากล่าวเสียงใส
บ้านตระกูลโจวหรือ
เฉินเซ่ารีบยกมือขึ้น ห้ามปรามพวกบ่าวในบ้านด้านหลังที่วิ่งทะลักเข้ามาเตรียมจะสั่งสอนคนเหิมเกริมผู้นี้
“เจ้า” เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าว “เจ้าทำอะไรกัน”
“ใต้เท้าเฉิน ข้ามารับน้องสาวข้า” ท่านชายโจวหกกล่าว
พูดจบก็ยกเท้าเดินเข้ามา ใช้มือดันพยุงตัวแล้วนั่งขึ้นบนรถ แล้วเตะคนบังคับรถออก นำดาบออกมาตบก้นม้าอย่างแรง
ม้าร้องเสียงโหยหวน ยกกีบเท้าแล้ววิ่งไป
…………………………………………….