พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 108 พบกัน
บุตรสาวคนนี้ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย
นายใหญ่โจวมีความคิดนี้แล่นขึ้นมาในใจ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ท่านชายโจวหกก็เข้ามาจากด้านนอก
“ไม่มีใครไม่ให้เจ้าไปหรอก” เขากล่าว
หนุ่มน้อยเดินเข้ามา สีหน้ามีความเหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอน
“ขึ้นรถ ข้าส่งเจ้าไปเอง” เขากล่าว
“ชายหก!” นายใหญ่และฮูหยินโจวกล่าวเรียกขึ้นมาพร้อมกัน
คนหนึ่งร้อนรน คนหนึ่งกังวล
“แค่บ่าวคนเดียว จะทำอะไรกัน แจ้งทางการแล้ว อีกยังให้คนออกไปตามหาแล้ว ก็น่าจะพอแล้วมิใช่หรือ พวกเจ้าสองพี่น้องจะวุ่นวายไปด้วยทำไม” ฮูหยินโจวเข้ามาดึงลูกชายเอาไว้ แล้วเดินมาตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง พร้อมยื่นมือมาดึงนางไว้ “เจียวเจียวร์ เจ้าสุขภาพไม่แข็งแรง” แล้วมองลูกชายอีก “ชายหก เจ้าอยู่ข้างนอกทั้งคืนแล้ว จะออกไปอีกไม่ได้แล้ว”
ท่านชายโจวหกมองไปทางเฉิงเจียวเหนียง เฉิงเจียวเหนียงก็มองไปทางท่านชายโจวหก
ทั้งสองต่างก็สวมเสื้อคลุมสีพื้น ปกขนสัตว์ มีหมวกคลุมเช่นกัน ยืนอยู่ข้างฮูหยินโจวนั้น ช่างเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกเสียจริง
“ไม่เป็นไร” ท่านชายโจวหกกล่าว คลายมือท่านแม่ออก แล้วเดินออกไปก่อน
ฮูหยินโจวชะงักไปรีบตะโกนเรียกเขา เฉิงเจียวเหนียงก็ถือโอกาสดึงมือออก แล้วเดินตามไป
“ไปเลย” นายใหญ่โจวโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “อยากทำอะไรก็ทำ”
อย่างไรเสียก็มีชายหกเฝ้าอยู่ นางหนีไม่พ้นหรอก
หลิวซื่ออาศัยอยู่ที่สะพานอวี้ไจ๋มานานหลายปี เป็นครั้งแรกที่ถูกรบกวนจนทนไม่ไหว
“ถามไปหลายรอบแล้ว เด็กคนนั้นเดินไปทางตะวันออก ข้าเห็นว่าเขาแปลกหน้า จึงได้ตั้งใจมองดูเขาอยู่สักพัก มิเช่นนั้นใครจะไปจำได้” เขาพูดประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นี่เป็นคนกลุ่มที่สี่ที่มาถามเรื่องนี้แล้ว
เด็กคนนี้เป็นใครกัน นายน้อยบ้านใครหลงทางไปหรือ
เรื่องจะถึงทางการแล้วยังมีคนของกองบัญชาการมาอีกได้อย่างไร
แต่ไม่เหมือนนี่ ท่าทางขลาดกลัวเหมือนคนเมืองอื่นที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงครั้งแรกเช่นนั้น เป็นได้แค่บ่าวจูงม้าให้อาหารม้าเท่านั้น
“ไปทางนี้ หรือทางนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
หลิวซื่ออดไม่ได้ที่จะมองนายหญิงอีกครั้ง หมวกคลุมปิดหน้าไว้ แต่ยังคงเผยหน้าใสสะอาดดั่งหยกออกมา เสียงพูดไม่ค่อยไพเราะนัก ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร…
“ถามเจ้าน่ะ รีบตอบมา” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วแล้วตะคอกใส่
หลิวซื่อตกใจ มองดูท่านชายองอาจผู้นี้เหมือนว่าจะจำได้ว่าเมื่อคืนก็มาแล้วครั้งหนึ่ง
“ทางนี้ หรือว่าทางนั้น…” เขาเกาหัวแล้วคิดอย่างจริงจัง “ทางนี้กระมัง…”
ยื่นมือออกมาชี้ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ถูก
“ทางนั้น ทางนั้น เขาเดินไปตามทางทางนั้น”
เฉิงเจียวเหนียงก้าวเท้าเดินไป ท่านชายโจวหกก็เดินตาม
“ขึ้นรถ” เขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้สนใจ ท่านชายโจวหกก็ยื่นมือมาจับแขนนางไว้
“ขึ้นรถ” เขากล่าวด้วยเสียงไม่พอใจ
เฉิงเจียวเหนียงเอียงหน้าไปมองเขา
ท่านชายโจวหกจับแขนนางเอาไว้ แล้วมองดูนางแต่ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ปล่อยมือ
ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
มีรถม้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ผ้าม่านรถเปิดออก ท่านชายฉินที่ท่าทางเหนื่อยล้าเมามายยื่นตัวออกมา
“โทษข้าเอง โทษข้าเอง” เขาไม่ได้อ้อมค้อมพูดเข้าเรื่องแล้วยกมือคารวะคำนับ “เมื่อวานดื่มข้าเหล้าจนเกิดเรื่องเช่นนี้”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” ท่านชายโจวหกจ้องเขาตาเขม็งพลางกล่าวขึ้น แล้วปล่อยมือออก
เฉิงเจียวเหนียงยกเท้าเดินไป
ท่านชายฉินกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วมองดูคนตัวเล็กๆ ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า
“นายหญิง หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น นายหญิงอย่าโทษตัวเองไป” เขากล่าว แล้วคำนับอีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียงที่สีหน้ากังวลยิ่งขึ้น
เมื่อพูดคำว่าโทษตัวเองออกมา ฝีเท้าของเฉิงเจียวเหนียงก็เร่งรีบขึ้นกว่าเดิม
สาวใช้ด้านหลังกลับรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
จินเกอร์หายไป และไม่ว่าท่านชายโจวหกจะจี้รถไปจนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากระทันหันหรือไม่ อย่างไรเสียก็เป็นเพราะพวกนางต่างก็ลืมเขาไป ในใจก็นึกโทษตัวเอง ในใจนายหญิงก็คงจะยิ่งโทษตัวเองมากกว่าตน
“นายหญิง โทษบ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวลืมจินเกอร์ เป็นความผิดของบ่าวเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงสะอื้น แล้วดึงแขนเสื้อของเฉิงเจียวเหนียง
“บนโลกนี้ ไม่มีเหตุบังเอิญ” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองท่านชายฉิน “ผิด ก็คือผิด”
มองดูนายบ่าวคู่นี้เดินไปข้างหน้า ท่านชายโจวหกจึงจะเดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง ท่านชายฉินมองเขา เขาก็มองท่านชายฉิน
“กลัวนางทำไม” ท่านชายโจวหกกล่าว “นอบน้อมถึงเพียงนี้”
ท่านชายฉินส่ายหน้า
“ร่วมทุกข์กันก็เท่านั้น” เขากล่าว แล้วมองท่านชายโจวหก “ชายหก เจ้า ไม่เข้าใจ”
บนท้องถนนมีคนมากมายกระจายตัวไปตามหาบ่าวที่หายไป
ผู้คนตะโกนโหวกเหวก ชั่วพริบตาท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มาเยือน แสงไฟบนท้องถนนสว่างไสว ความเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้เหมือนดั่งดินแดนแห่งเทพเซียนบนสวรรค์
ทว่าจินเกอร์กลับไม่ได้สนใจมองดู แต่กลับเดินไป ร้องไห้ไป
เขารอในเรือนรอไปรอไปนายหญิงก็ยังไม่มา อีกยังไม่เห็นคนตระกูลเฉินมาหา รอไม่ไหวแล้ว จึงอยากจะไปถามที่บ้านตระกูลเฉิน ค่อยๆ เดินออกมาเช่นนี้ทีละนิดจนหลงทางไป
จะถามไถ่คนที่ผ่านไปมา แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นบ้านตระกูลเฉินใด
“บ้านตระกูลเฉินหรือ ทั้งเมืองหลวงนี้บ้านคนแซ่เฉินนั้นมีนับไม่ถ้วน” คนผ่านทางยิ้มกล่าว
จินเกอร์ใช้แขนเสื้อลูบจมูก ค่ำคืนยามฤดูหนาวหลังหิมะตกทำให้ขาและเท้าของเขาหนาวจนปวดไปหมด
นั่นเป็นความเจ็บปวดจากบาดแผล
เนื่องจากถูกหมาป่ากัดระหว่างทาง เมื่อเข้าเรือนตะกูลเฉินแล้ว เจ้าของบ้านรับรองนายหญิงเป็นอย่างดี เขาที่เป็นบ่าวติดตามก็ได้รับการรับรองอย่างดีจากเหล่าบ่าวรับใช้ของบ้านตระกูลเฉินเช่นกัน ให้ห้องอาศัยเป็นของตัวเอง อาหารสามมื้อมีคนมาส่งให้ เสื้อผ้าถุงเท้ารองเท้าก็มีคนซักล้างให้ ได้รับการปรนนิบัติดั่งนายคนหนึ่ง
ผลของการได้รับการปรนนิบัติเลี้ยงดูอย่างดีก็คือ เขามาเมืองหลวงเกือบยี่สิบวันแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ออกจากเรือน นอกจากจะรู้ว่าคนบ้านนี้แซ่เฉินแล้ว ก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
“ดูทางหน่อย!”
เสียงตำหนิของคนเมาทำเอาจินเกอร์ตกใจใหญ่ รีบหลบอย่างลนลาน แต่ไม่ทันระวัง ชนถูกต้นไม้ข้างๆ ทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม ส่วนมากเป็นเสียงหัวเราะของหญิงสาว
จินเกอร์จับหัวแล้วมองไปอย่างหวาดกลัว จึงได้พบว่าไม่รู้ว่าตนเดินมาถึงที่ใดกันแล้ว
ที่แห่งนี้ คึกคักกว่าย่านเรือนอาศัยของตนเป็นอย่างมาก
แสงไฟสว่างไสวดั่งเวลากลางวัน ผู้คนจอแจ เสียงเอะอะครึกโครม ทั้งเสียงเพลงเสียงดนตรี ผสมปนเปไปกับกลิ่นเครื่องประทินโฉมกลิ่นเหล้ากลิ่นอาหารคลุกเคล้าวนเวียนในค่ำคืนยามฤดูหนาวนี้
จินเกอร์มองจนชะงักไป
ทิวทัศน์เช่นนี้ เทศกาลโคมไฟขึ้นสิบห้าเดือนหนึ่งที่เจียงโจวนั้นยังมิอาจเปรียบได้
ด้านข้างมีเสียงหญิงสาวหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้ จินเกอร์มองไปอย่างเหม่อลอย เห็นหน้าปากซอยนั้นมีหญิงสาวงดงามสี่ห้าคนยืนอยู่ ในค่ำคืนยามฤดูหนาวนี้สวมใส่เสื้อผ้าบางนัก เผยหน้าอกอันขาวอวบออกมา
จินเกอร์จ้องมองที่ขาอ่อนแล้วตกใจจนรีบยกมือมาปิดไว้
ท่าทางทึ่มทื่อนี้ทำให้เหล่าหญิงสาวหัวเราะขึ้นมาอีก ดอกไม้ไหวปลิว หน้าอกสะเทือนดั่งคลื่น ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนดูอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างน้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว
“ปั้งฉุย!” ชายหนุ่มคนหนึ่งตบหัวชายหนุ่มผู้นั้นเรียกสติเขากลับมา “อย่าทำขายหน้าน่ะ!”
ชายหนุ่มลูบหัวตนเอง ในขณะที่หญิงสาวทางนั้นหัวเราะกัน ตนก็รีบเช็ดน้ำลาย เคอะเขินไม่กล้ามองไปอีก หันมาก็เห็นจินเกอร์ข้างต้นไม้ที่ยืนเหม่อลอยอยู่เช่นกัน
“เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดมาเที่ยวหอนางโลมเสียแล้ว! ไม่เอาถ่านเสียเลย!” เขาจ้องมองแล้วด่าเสียงแผ่วเบา
ด่าเสร็จก็ส่งเสียงร้อง ‘เอ๊ะ’ แล้วอดไม่ได้ที่จะขยี้ตา
“เจ้าเด็กนี่ทำไมหน้าคุ้นนัก” เขากล่าวพึมพำอีก
“ปั้งฉุย อย่าก่อเรื่อง รีบไปเร็ว หาที่พักก่อน” ชายหนุ่มข้างๆ เร่งเร้า เขาเพิ่งจะออกเดินไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก
“หะ จินเกอร์หรือ”
มีคนเรียกชื่อข้า! นายหญิงมาหาข้าแล้วหรือ
จินเกอร์มองมาในทันใด กลับเห็นเพียงหัวอันใหญ่โตมาอยู่ตรงหน้า ก็ตกใจจนขาเปลี้ยอ่อนแรงล้มลงกับพื้น
“จินเกอร์หรือ” เหล่าชายหนุ่มที่เดินออกไปแล้วได้ยินเสียงนั้นก็หันกลับมามอง แล้วก็ตกใจเช่นกัน ตกใจไม่น้อยไปกว่าจินเกอร์ “ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ นายหญิงของเจ้าเล่า”
พวกเขานี่เอง…
มองดูชายหนุ่มเจ็ดคนที่มายืนอยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะเคยพบเจอกันเพียงสองครั้ง แต่เนื่องจากสู้รบกับฝูงหมาป่าครั้งนั้นจดจำได้ขึ้นใจนัก ก็จำได้ขึ้นมาในทันใด ในทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่เหมือนดั่งความฝันนี้ ในที่สุดเขาก็ได้เจอคนรู้จักแล้ว จินเกอร์รู้สึกว่าความอัดอั้นหวาดกลัวที่สั่งสมมานานได้ท่วมท้นออกมา
“นายหญิงหายไปแล้ว!” เขากล่าวพลางร้องไห้ออกมาเสียงดังสนั่น
……………………………………………………