พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 111 สาบานเป็นพี่น้องกัน
ท่านชายโจวหกเอนพิงโขดศิลาแกะสลัก สะบัดแส้ในมือพลางมองฝูงชนที่เดินผ่านไปมาบนถนนโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนท่านชายฉินใช้ไม้เท้าในมือสะกิดเขา
“ทำอะไรของเจ้า” ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่ กลับไปซะ กลับไป”
ท่านชายฉินยิ้มพลางชี้นิ้วมาทางเขา
“มาหาเจ้าไง” เขาเอ่ย
สาวใช้เดินออกมาจากตรอกอย่างรีบร้อน นางมองออกไปรอบๆ ก็พบกับท่านชายโจวหก จึงได้เผยยิ้มออกมา
ท่านชายโจวหกยืนตัวตรง สะบัดแส้มองไปทางนาง
“ข้ารีบร้อนออกมาเลยมิได้พกเงินมาด้วย ท่านชายพอจะมีเงินให้ยืมหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้คำนับแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่านชายฉินยิ้มพลางหันมองมา ส่วนท่านชายโจวหกที่หันไปเห็นรอยยิ้มของสาวใช้ก็ยิ้มเยาะออกมาอย่างอดไม่ได้
“หากข้าบอกว่าไม่ให้ยืม แล้วจะทำเช่นไร” เขาเอ่ยถาม
สาวใช้ไม่ได้โกรธเคืองหรือร้อนรนแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางหันหน้าไปมองท่านชายฉิน “ท่านชายผู้นี้รูปงามนัก ไม่ทราบว่าจะขอยืมเงินสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
“แม่นางชมข้าเช่นนี้ ข้าย่อมให้ยืมเป็นธรรมดา” ท่านชายฉินหัวเราะ “ทองพันตำลึงซื้อเสียงหัวเราะ บัดนี้ทองพันตำลึงข้าซื้อคำชื่นชม คุ้มยิ่งนัก ”
เขาพูดเพียงเท่านั้นก็ส่งสัญญาณให้บ่าวนำเงินออกมา
แต่ทว่าท่านชายโจวหกโยนถุงเงินให้ไปก่อนนานแล้ว สาวใช้ยื่นมือออกไปรับ
“ขอบคุณท่านชายยิ่งนักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอนายหญิงและท่านชายทั้งหลายกินข้าวเสร็จแล้วถึงจะกลับ ท่านชายกลับก่อนจะดีกว่านะเจ้าคะ”
เมื่อพูดจบนางก็นางเดินไปตามถนน
ท่านชายทั้งหลายอย่างนั้นหรือ
คนป่าเถื่อนพวกนั้นหรือคือท่านชาย หรือว่ากำลังดูหมิ่นว่าเขาก็ป่าเถื่อนแบบนั้นเช่นกัน
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
“เจ้าดูสิ หญิงสาวผู้นี้เหยียดหยามข้า แม้แต่คำเรียกก็ไม่เว้น” เขาเอ่ยขึ้น
ท่านชายฉินส่ายหัว
“นางมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดเช่นนั้นหรอก ในเมื่อเรียกว่าท่านชาย ก็ย่อมต้องมีเหตุให้เรียกเช่นนั้น” เขาพูดพลางมองไปที่เรือนหลังนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสเข้าไป”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงเย้ยหยัน
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้ามิได้ใกล้ชิดหญิงงาม” เขากล่าว
ท่านชายฉินหัวเราะ
“ขึ้นมาเร็ว ข้ารู้จักร้านเด็ด อาหารอร่อยรสชาติแปลกใหม่ พวกเราไปชิมกัน” เขาเอ่ยขึ้น “ถึงน้องสาวเจ้าไม่รักเจ้า แต่ข้ารักเจ้า”
ยามเที่ยงวัน ณ เรือนของเฉิงเจียวเหนียง กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมาจากประตูกระดาษที่แง้มไว้กึ่งหนึ่ง
ภายในบ้านเต็มไปด้วยเหล่าชายหนุ่มที่กำลังยกชามขึ้นกินอย่างตะกละตะกลาม ขณะเดียวกันจินเกอร์ก็ถือจานเนื้อสัตว์วิ่งออกมาจากห้องครัว
“มีน้องสาวนี่ช่างดีเสียจริง…” สวีปั้งฉุยกล่าวเอ่ยพึมพำ พลางถือตะเกียบคีบชิ้นเนื้อออกมาจากจากหม้อ “ได้กินของดี…”
หากเทียบกับกิริยาท่าทางของคนอื่นๆ แล้ว พี่ใหญ่ฟ่านเจียงหลินและพี่สามสวีเม่าซิวดูจะวางตัวดีกว่าอยู่เล็กน้อย
“น้องสาวอย่าได้ลำบากอีกเลย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” พวกเขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงกับสาวใช้กำลังแบ่งผักและเนื้อสัตว์จัดใส่จาน พอได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาหาแล้วยกยิ้มมุมปาก
“พี่ชายมิต้องเกรงใจหรอก แค่นี้จะพอได้อย่างไร” นางกล่าว
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวมองไปทางเหล่าพี่น้องที่กำลังกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม จนจานชามว่างเปล่า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างละอายใจ
“อีกอย่าง ข้าก็มีความสุขมากเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางก้มหน้าก้มตาหั่นและจัดวางผักมากมาย “นานแล้วที่มิได้คึกคักเช่นนี้”
เมื่อมื้อเที่ยงจบลง เนื้อและผักที่ซื้อมากถูกกินจนหมด
“น่าเสียดายที่ไม่มีเหล้าดีๆ ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ฟ่านเจียงหลินยิ้มพลางตบไปที่เหยือกเหล้า
“นี่ยังไม่เรียกว่าเหล้าชั้นดีอีกหรือ หากน้องสาวพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วจริงๆ ” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
“ยามคนเราพบเจอเรื่องมงคล แม้ดื่มน้ำก็เมาได้เช่นกัน” สวีเม่าซิวเอ่ยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นดื่มเหล้าที่เหลืออีกจอกจนหมด
เฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นยืน
“เช่นนั้นแล้ว ข้าขอตัวลาก่อน” นางเอ่ยขึ้น
ชายหนุ่มทั้งหลายต่างงงงวย จึงรีบลุกขึ้นเช่นกัน
“ใช่ๆ พวกเราต้องขอตัวกลับก่อน รบกวนน้องสาวมานานมากแล้ว” พวกเขาแย่งกันพูดเสียงดังวุ่นวาย
“ไม่ พี่ชายทั้งหลายพักที่นี่ ข้าจะไปพักที่บ้านยายข้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ชายหนุ่มทั้งหลายตกตะลึงอีกครั้ง ก่อนจะรีบโบกมือทันที
“ไม่ควรหรอก กินข้าวของน้องสาว ดื่มเหล้าของน้องสาว แล้วยังจะพักบ้านของน้องสาวอีก” พวกเขาพูดเสียงดังลั่น
เฉิงเจียวเหนียงยกยิ้มมุมปาก
“พวกพี่เรียกข้าว่าน้องสาว” นางกล่าว “ในเมื่อเป็นคนบ้านเดียวกันแล้ว ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
สวีเม่าซิวหยุดเสียงของทุกคนที่กำลังเอะอะโวยวาย ก่อนจะมองไปที่ในหน้าเคร่งขรึมของเฉิงเจียวเหนียง
“น้องสาว เมื่อครู่ข้าแอบได้ยินมาจากจินเกอร์ เห็นว่าเดิมทีเจ้าจะพักที่นี่” เขาเอ่ยขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราดำเงา มองมาด้วยแววตาเป็นประกาย “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาย เช่นนั้นแล้วหากมีเรื่องอันใดก็บอกกันมาตามตรงถึงจะถูก อย่าให้พี่ชายทั้งหลายต้องเป็นห่วงเลย”
ตอนที่จินเกอร์ถูก “ช่วย” ออกมา ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความโกลาหล ระหว่างนั้นเองคนของตระกูลเฉินก็พูดจาประชดประชันไม่น้อย
“นายหญิงถูกลักพาตัวแถมเจ้าก็หายไปอีก ตระกูลเฉินของพวกเราคงอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว…”
“ต้องโทษบ่าวของตระกูลโจว ก่อเรื่องจนทุกคนวุ่นวายไปหมด จนลืมจินเกอร์…”
“นายหญิงของเจ้าถูกเจ้าพวกนั้นชิงตัวไป…”
เหล่าบ่าวรับใช้ผู้ต้อยต่ำนินทาจินเกอร์สนุกปาก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มผู้นี้จะตั้งใจฟังเพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยคขนาดนี้
ชายหนุ่มคนอื่นๆ เองก็เพิ่งได้สติกลับมา จากนั้นจึงมองไปที่สวีเม่าซิวและเฉิงเจียวเหนียง
“เกิดอะไรขึ้น มีคนรังแกน้องสาวหรือ” ทุกคนเอ่ยถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เฉิงเจียวเหนียงยกยิ้มมุมปาก
“พี่ชายอย่ากังวลไปเลย” นางกล่าว “ไม่มีใครรังแกข้า จะเรียกว่าพวกเขาคิดไปเองว่าข้าถูกรังแกก็เท่านั้น”
พูดจบก็มองไปที่สวีเม่าซิวแล้วยิ้มอีกครั้ง
“ข้าเคยบอกว่า ข้าเพียงแค่ อยากได้พี่ชาย ก็เท่านั้น” นางกล่าว
สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ เดินออกไปส่ง พวกเขามองดูหญิงสาวและสาวใช้นั่งรถจากไป โดยทิ้งให้จินเกอร์ที่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดอยู่ที่นี่
“พี่สาม เจ้าลองใจน้องสาวเช่นนี้ ไม่ค่อยดีนัก” ฟ่านเจียงหลินโพล่งออกมา
สวีเม่าซิวฝืนยิ้ม
“ข้าแค่คิดว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป” เขาตอบ
เรื่องนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง…
ตอนที่พวกเขาหนีมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือ พี่สามป่วยปางตาย ระหว่างทางพบเจอกับแม่หญิงคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ไม่เพียงแต่ไม่เก็บเงินแถมยังให้เงินเขาอีก จนมาตอนนี้ผู้มีพระคุณคนนี้ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับพวกเขาแล้ว
แม่หญิงผู้นี้ รูปร่างหน้าตางดงาม แม้นางจะไม่ได้พูดแต่ก็รู้ทันทีว่าต้องมีพื้นฐานครอบครัวดีและรู้วิชาตำราแพทย์ช่วยให้คนใกล้ตายฟื้นคืนชีพได้
เมื่อเทียบกับคนบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างพวกเขาแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหว
แต่บัดนี้นางกลับกลายมาเป็นน้องสาวของพวกเขาอย่างนั้นรึ
พูดออกไปใครจะเชื่อเล่า แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อตัวเองเลย
“เม่าซิว นางบอกเอง ว่าแค่อยากมีพี่ชายเพียงเท่านั้น” ฟ่านเจียงหลินกล่าว “เจ้าอย่าคิดมากจนเกินไป นางจะใช้พวกเราเป็นเครื่องมือทำอะไรที่…”
ชายหนุ่มพูดถึงเพียงเท่านี้ก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
“พวกเราพอจะช่วยนางอะไรได้บ้างหรือ” เขากางมือหยาบกระด้างออกแล้วกล่าว “ชีวิตของข้าอย่างนั้นรึ ในเมื่อนางเป็นคนช่วยขึ้นมา หากจะพรากไปก็ย่อมได้”
พูดถึงเพียงเท่านี้ก็มองไปที่สวีเม่าซิว
“ชีวิตของเจ้า ไม่ใช่ของพวกเรา” เขากล่าวเสริม
สวีเม่าซิวหัวเราะ
“ใช่ ข้าคิดมากเกินไป ข้าอ่านหนังสือมาก็ไม่น้อย พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย จึงคิดว่าตนสามารถมองทะลุถึงใจคน แต่กลับกลายเป็นว่าหาเรื่องใส่ตัวอยู่บ่อยครั้ง หากข้าไม่คาดการณ์เรื่องเซี่ยงชีพลาดไปล่ะก็ ก็คงจะไม่เกิดเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้หรอก”
เสียงโห่ร้องของพี่น้องอีกหลายคนดังมาจากด้านหลัง
“ว้าว ที่นี่มีห้องเยอะแยะไปหมด… นอนห้องละคนยังได้เลย…”
“ยอดไปเลย ข้าจะได้ไม่ต้องทนเสียงกรนของพี่สี่อีกต่อไป…”
“พูดจาเหวไหล เสียงกรนของเจ้าต่างหากที่ทำให้ทุกคนนอนไม่หลับ! ”
“ข้าจะนอนห้องนี้…”
“ข้าจะนอนห้องนี้ เจ้าไปนอนห้องอื่น…”
ฟ่านเจียงหลินและสวีเม่าซิวสบตากันก่อนจะหัวเราะออกมา
นี่พวกเขามีทั้งน้องสาวและมีทั้งบ้านแล้วหรือนี่
………………………………………………….