พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 114 คือสิ่งใดกัน
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดิน ท่านชายโจวหกก็หยุดเดินเช่นกันพร้อมกับหันไปมองหน้านาง
“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
เกิดอะไรขึ้นกันนะ
เฉิงเจียวเหนียงหันหลังกลับไปมองที่ด้านนอกประตู
“ท่านชาย ข้ารังแกผู้หญิงและเด็กได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ เพียงเพราะเป็นผู้หญิงและเด็ก ข้าต้องยิ้มต้อนรับนางหรือ นางอยากได้เงินข้าก็ต้องให้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว ท่านชาย ท่านยังไม่ทราบสาเหตุ อย่ามาพูดเหลวไหล”
“แม่นางผู้นี้ก่อเรื่องที่นี่หลายครั้งแล้ว อีกอย่างเขาไม่ได้ทำงานที่แล้วด้วย จะให้เงินค่าแรงได้อย่างไร! ”
โต้วชีและบ่าวที่อยู่ด้านนอกพากันตอกกลับท่านชายวัยหนุ่มผู้นั้น
“ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร เหตุใดถึงได้ลงมือกับผู้หญิงและเด็กเช่นนี้” ท่านชายวัยหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปพยุงนางขึ้นมา “เจ้ากล้าเรียกว่าที่นี่เป็นเรือนนางฟ้า แต่เจ้ากระทำตัวเช่นนี้ นางฟ้าที่ไหนจะมาอยู่หรือ”
คงเป็นพวกบัณฑิตบ้าตำราสินะ!
โต้วชีคิ้วขมวด ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบ เหล่าบรรดาบัณฑิตในเมืองหลวงยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
“จะเป็นเรือนนางฟ้าหรือไม่ อยู่ที่ข้าตัดสินใจเอง ไม่ใช่เรื่องที่ท่านชายจะมาตัดสินใจได้” เขายิ้มอย่างเย็นชาแล้วยกมือขึ้นโบก “จับมันออกไป หากมาวุ่นวายอีก ก็จับส่งให้ทางการ! ข้าเปิดร้านอาหาร ไม่ใช่โรงทาน! ”
ท่านชายวัยหนุ่มผู้นั้นโมโหสุดขีด
“การกระทำเยี่ยงนี้ จะคู่ควรกับอาหารรสเลิศได้อย่างไร! ” เขากล่าว
โต้วชีหัวเราะอารมณ์ดี หันไปมองที่ท่านชายวัยหนุ่ม
“ใช่ อย่าให้ปากของท่านชายต้องมาแปดเปื้อนเลย” เขาหัวเราะ แล้วยื่นมือเชิญออก “ท่านชายคุณธรรมสูงส่ง ร้านของข้าไม่คู่ควรกับท่าน เช่นนี้ร้านของข้าก็จะมีที่ว่างแล้ว ใครอยากจะเข้ามาทานบ้าง”
พูดเพียงเท่านี้ คนที่รออยู่หน้าประตูก็ตะโกนเสียงดังลั่น
“ข้า”
“ข้า”
ท่านชายวัยหนุ่มสีหน้าลำบากใจ
โต้วชีหัวเราะสะใจ
“กี่ท่านเชิญ” เขาพูดเสียงดัง
เรื่องยุติเพียงแค่นี้ คนที่เดินตามท่านชายทั้งสองคนเดินออกมา หน้าประตูยังมีคนอย่างแน่นหนา สุดท้ายก็มีคนสามคนได้เข้าไปจริงๆ
“หยวนเฉา นิสัยของเจ้านี่มัน…” เพื่อนที่มากับเขาส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อนๆ
หยวนเฉาหันไปขอโทษเพื่อนทั้งสอง
“ข้าทำให้พวกเจ้าหมดสนุกเลย” เขากล่าว
หญิงสาวอุ้มเด็กแล้วยืนขึ้น นางเช็ดน้ำตาไปด้วย หมอบกราบขอโทษหันหยวนเฉาไปด้วย
“เป็นข้าเองที่ทำให้พวกท่านหมดสนุก” นางพูดสะอึกสะอื้น “เป็นข้าเองที่ทำให้พวกท่านหมดสนุก”
หันหยวนเฉารีบพยุงนาง ทั้งสองก็เชิญนางลุกขึ้นยืน
“เรื่องราวเป็นมาอย่างไรหรือ” หันหยวนเฉาถาม
“สามีของข้าทำงานเป็นพ่อครัวร้านนี้มาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งนายใหญ่สิ้นใจ นายน้อยชีมารับช่วงต่อ พอเขาได้สูตรอาหารใหม่ จึงเปลี่ยนชื่อร้าน เมื่อสามีข้าล้มป่วยจากลมหนาว อยากพักไม่กี่วัน ท่านชายชีก็ใช้โอกาสนี้ไล่เขาออก สามีข้าก็ยิ่งป่วยหนักขึ้นไปอีก จนถึงตอนนี้เขาลุกไม่ขึ้นแล้ว…” หญิงสาวปลอบบุตรไปพลาง พูดสะอึกสะอื้นไปพลาง
“เป็นเช่นนี้เอง มิได้ค้างค่าแรงใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยถาม
หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่
“ไม่ได้ค้างเจ้าค่ะ” นางกล่าว
ทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจ
หากมาโวยอย่างไร้เหตุผลจริงๆ หญิงสาวคงไม่ยอมรับในทันที
“เดิมทีท่านชายคนก่อนเคยให้สัญญาไว้ว่า จะแบ่งกำไรให้สามีข้าสามส่วน” นางก้มศีรษะกล่าว “เพียงแต่ระยะหลังท่านชายป่วยหนัก ไม่ทันได้เขียนสัญญาไว้…”
ทั้งสามรู้สึกสับสน เหตุการณ์ช่างซับซ้อนนัก ถึงจะเป็นบัณฑิต แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี เรื่องนี้เปรียบเสมือนคนจากไปชาก็เย็น เมื่อมีอำนาจขึ้นเป็นใหญ่ก็คงจะอยากใช้คนของตนแทน เป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้ทั่วไป
หันหยวนเฉาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็หยิบถุงเงินจากเอวออกมา แล้วนำเงินออกมาส่วนหนึ่งยื่นให้แก่หญิงสาวผู้นั้น
“ข้ามิได้พกเงินมามากนัก ยังต้องอยู่ในเมืองหลวงอีกพักใหญ่ ข้าช่วยเท่าที่ช่วยได้” เขากล่าว
หญิงสาวรีบยกมือบอกปัด
“ข้าจะเอาเงินของท่านชายได้อย่างไร ข้าจะเอาเงินของท่านชายได้อย่างไร” นางพูดสะอึกสะอื้น “แค่นี้ก็สร้างความลำบากให้กับท่านชายแล้ว”
หันหยวนเฉายื่นให้อีก หญิงสาวก็ไม่ยอมรับเงิน อุ้มลุกแล้วเดินหนีไป
ทั้งสามคนถอนหายใจ
“วันนี้นางฟ้าผ่านมาอาหารจานนี้ข้าคงไม่ได้ทานแล้ว” คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเองที่ทำให้เจ้าหมดสนุก” หันหยวนเฉากล่าวด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี นิสัยของเจ้าเช่นนี้คงแก้ไม่หายแล้ว เจ้าไม่ควรเรียนหนังสือ เจ้าควรไปเป็นจอมยุทธ์พเนจร” เขาพูดไป หัวเราะไป พร้อมกับเอื้อมมือไปตบที่บ่า
“ไม่ใช่ หากเป็นจอมยุทธ์พเนจรจะช่วยคนได้เพียงเล็กน้อย ท่านพ่อข้าเคยกล่าวไว้ หากอยากช่วยเหลือคนทั่วหล้า ก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือก่อน จากนั้นต้องเป็นขุนนางหรืออาจารย์ผู้ให้ความรู้” หันหยวนเฉายิ้มกล่าวพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมืองหลวงใหญ่เช่นนี้ หาข้าวกินสักมื้อคงไม่ใช่เรื่องยาก พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
ขณะทั้งสามคนกำลังเดินจากไป มีเสียงคนเรียกให้ท่านชายหยุดเดิน
ทั้งสามแปลกใจและหันกลับไป มองเห็นสาวใช้เดินออกมาจากร้านอาหาร
“ท่านชาย” นางยิ้มและแสดงความเคารพ
ทั้งสามไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จึงทำความเคารพตอบ
“ข้าขอถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านชายหน่อยจะได้หรือไม่” สาวใช้ยิ้มถาม
หันหยวนเฉาและสหายสบตากัน
“ข้า หันจวินแห่งซู่โจว” เขากล่าว
“แล้วหยวนเฉาใช่ชื่อรองของท่านชายหรือไม่” สาวใช้ถามต่อ
หันหยวนเฉาพยักหน้า
ได้ยินสหายเรียกท่านเช่นนี้ คนอื่นฟังดูแล้วก็มิได้รู้สึกแปลกอะไร
“เป็นชื่อที่ดีนัก” สาวใช้ยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ท่านชายพักอาศัยอยู่ที่ใด”
“บ้านพักขุยหยวน” หันหยวนเฉาพูดโดยไม่คิด
พอพูดโดยไม่คิดเช่นนี้ ก็ตกใจทันที สาวใช้โน้มน้าวเก่งนัก!
“ไม่ทราบว่าพี่สาวชื่ออะไรหรือ” เขาถามอย่างงุนงง
สาวใช้กลับแสดงความเคารพ
“ท่านชายมีจิตใจกล้าหาญ ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสนัก” เมื่อนางกล่าวจบก็รีบเดินจากไป
ทั้งสามสบตากันด้วยความงุนงง
“หยวนเฉามีคนว่าไว้เรื่องของความรักเป็นเรื่องไม่แน่นอน แต่ดูๆ แล้วก็มีคนเลื่อมใสในตัวเจ้าอยู่ไม่น้อย” สหายคนหนึ่งหัวเราะกล่าว
“จะต้องเป็นสาวรูปงามอย่างแน่นอน” สหายอีกคนหัวเราะกล่าวเช่นกันพร้อมกับตบบ่าของเขา “ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ต้องรอถึงช่วงเวลาหาคู่ครอง ก็มีคนมาแย่งตัวเจ้าไปเป็นบุตรเขยเสียแล้ว เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีนะ”
ถึงเวลานั้น ตระกูลมีอำนาจและร่ำรวยในเมืองหลวงมีธรรมเนียมก็จะมีแม่สื่อแม่ชักคอยแย่งชิงบัณฑิตหนุ่มที่มีการศึกษามาเป็นบุตรเขยก็เป็นได้
หยวนเฉาหัวเราะเสียงดังลั่น
รู้ที่อยู่ไม่เป็นไร เลื่อมใสในตัวเขา เขาก็ไม่ต้องการ แต่หากมีคนมาสั่งสอนเขา แน่นอนว่าเขาก็ไม่กลัว
“หยุดพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว รีบไปกันเถิด รีบไปกันเถิด” เขายิ้มกล่าว
“ท่านหญิง ท่านชายคือหันจวินแห่งซู่โจว ชื่อรองว่าหยวนเฉาเจ้าค่ะ” นางนั่งลงแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ที่แท้ก็คือเขานี่เอง” นางกล่าว
“ท่านหญิงรู้จักด้วยหรือเจ้าคะ” สาวใช้อดไม่ได้ที่จะถาม
ดูท่าทางแล้ว คงรู้จักแต่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นใบหน้าของเขาเป็นแน่
เฉิงเจียวเหนียงมิได้พูดอะไร
“คนในร้านพูดว่าอย่างไร” นางเอ่ยถาม
“หลี่ต้าเสา เดิมทีเป็นพ่อครัวฝีมือดีแห่งเรือนนางฟ้า อ๋อ แต่เดิมร้านนี้มิได้ชื่อนี้ แต่ชื่อว่าจุ้ยเฟิ่งโหลว เขาเป็นที่ชื่นชอบของเจ้าของหอจุ้ยเฟิ่งคนก่อน แต่ทว่า หลังจากเจ้าของเก่าสิ้นใจไป ผู้รับช่วงต่อก็คือท่านชายโต้วชี ไม่ชอบหลี่ต้าเสา เมื่อเขาได้สูตรอาหารรสดีมา ไม่มีหลี่ต้าเสาก็มิได้ส่งผลกระทบใดๆ เขาจึงใช้โอกาสนี้ไล่เขาออก” สาวใช้กล่าว
นางนำคำพูดที่ได้ยินระหว่างเดินเข้าร้านกลับมาเล่าให้แก่นายหญิงฟัง
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
พูดถึงเพียงเท่านี้ ประตูก็ถูกเปิดออก บ่าวทั้งสองคนยกจานเข้าจัดวาง บนโต๊ะมีอาหารวางเต็มไปหมด
“ที่แท้ก็อยากเชิญนายหญิงมาทานอาหารนี่เองเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวและเผลอยิ้มออกมาแล้วมองออกไปด้านนอก
ท่านชายโจวหกมิได้นั่งกับพวกเขา แต่กลับนั่งห่างไกลออกไป
“นายหญิง อาหารนางฟ้าผ่านมาจานนี้เป็นอาหารรสชาติชั้นยอดของทางร้านเรา นายหญิงลองทานดู ต้องถูกปากท่านแน่นอนขอรับ” บ่าวนำเสนออย่างภาคภูมิใจ
เมื่อมองเห็นอาหารวางลงบนโต๊ะ สาวใช้อุทานด้วยเสียงประหลาดใจ
“นี่คือ…นี่คืออะไรหรือ” นางถามด้วยเสียงขาดหาย
“จานนี้เรียกว่านางฟ้าผ่านมาขอรับ” บ่าวตอบ “เป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์และรสชาติยอดเยี่ยมของทางร้านเรือนนางฟ้าขอรับ”
“นางฟ้าผ่านมาหรือ” สาวใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
เมื่อมองดูแล้ว ราวกับหญิงสาวที่ไม่เคยออกจากบ้านเลย คงมิเคยทานอาหารเลิศรสเช่นนี้มาก่อน บ่าวเบ้ปากใส่
“ท่านชายมีใจแล้วขอรับ” เขาหัวเราะกล่าว พร้อมกับประจบคนทางนั้นแล้วชี้นิ้วออกไปด้านนอก “ดีที่จองโต๊ะเร็วขอรับ มิเช่นนั้นรอถึงวันพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ทาน พวกท่านลองมองไปทางด้านประตูเถิด ยังมีผู้คนมารอจำนวนมาก”
บัดนี้อาหารถูกวางจนเต็มโต๊ะแล้ว
เมื่อบ่าวเห็นสาวใช้ตกตะลึงเช่นนี้ ก็ยิ่งภาคภูมิใจนัก
“พี่สาว วิธีทานอาหารนี้พบเจอยากนัก ข้าจะบอกวิธีทานให้พี่สาว เนื้อนี้มิใช่ทานดิบ… ชามนี้ก็มิได้มีดื่ม แต่เป็นชามใส่น้ำจิ้ม…” เขาพูดเสียงดังลั่น
เมื่อเขายิ่งพูด ก็มองเห็นสายตาของสาวใช้ตกตะลึงเข้าไปอีก ก็ยิ่งภาคภูมิใจไปใหญ่
“นี่คือ…” สาวใช้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดเสียงสูง
เฉิงเจียวเหนียงยกมือห้าม สาวใช้จึงนั่งลง
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” บ่าวมองไปที่พวกนางทั้งสองอย่างแปลกใจ
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่โต๊ะซึ่งวางหม้อผักและเนื้อไว้อยู่
“นำเนื้อกระต่ายมาให้ข้าชิ้นหนึ่ง และนำมีด เครื่องปรุงทั้งหมดมา พร้อมกับเชิญพ่อครัวของร้านเจ้าออกมาด้วย” นางกล่าว
บ่าวตะลึงงัน
“แม่นางมีอะไรจะกำชับหรือขอรับ” เขาเอ่ยถาม
“นี่คือคำสั่ง” สาวใช้กล่าวพลางขมวดคิ้วใส่บ่าวแลชี้นิ้วออกไปด้านนอก
สาวใช้คนนี้ดุร้ายยิ่งนัก
บ่าวนำคนถอยออกมา ปิดประตูห้อง ผู้คนต่างสบตากัน
“แม่นางผู้นี้จะทำอะไรหรือ”
“น่าจะเพราะอาหารแปลกแหละ จึงอยากรู้ว่าทำอย่างไร”
“จะได้อย่างไร สูตรอาหารนี้เป็นความลับของร้านเรือนนางฟ้าเราเชียวนะ”
“แต่ดูแล้วเป็นบุคคลร่ำรวย มีฐานะ อย่าทำให้นางโมโหเลย”
“ร่ำรวย มีฐานะแล้วอย่างไรเล่า ท่านชายเจ็ดของเราพึ่งคำนับท่านราชเลขานุการหลิวแห่งหอสมุดหลวงเป็นปู่บุญธรรมเชียวนะ”
บ่าวทั้งหลายกระซิบกันตรงทางเดิน ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก
“มายืนบ่นพึมพำอะไรกันตรงนี้! ” ท่านชายโจวหกพูดเสียงดังลั่น
บ่าวทั้งหลายต่างตกใจคารวะขอโทษกันยกใหญ่
“ท่านชาย” มีบ่าวคนหนึ่งจำได้ว่าท่านชายกับแม่นางมาด้วยกัน จึงรีบพูด “แม่นางท่านนั้น จะให้เรียกพ่อครัวของทางร้านเข้าพบ ไม่รู้ว่าทำผิดอันใดหรือไม่ ท่านก็เห็นว่าตอนนี้แขกมากถึงเพียงนี้ ข้ากลัวว่าพ่อครัวจะออกมาไม่ได้ขอรับ”
“นางให้เจ้าทำอะไรก็ไปทำ ไม่ต้องพูดให้มากความ” เขาตวาด
“ขอรับ” สงสัยคงถามผิดคนเสียแล้ว
เห็นได้ชัดเจนว่าคงพาหญิงงามออกมาเที่ยวเพื่อเอาอกเอาใจ แน่นอนว่าคงต้องตามใจนายหญิงเป็นหลัก
บ่าวทำได้เพียงโค้งคำนับขอตัวออกไปก่อนอย่างจนปัญญา และเดินไปร้องทุกข์กับผู้ดูแลร้าน
ผู้ดูแลร้านยืนเคารพอย่างนอบน้อม นั่งฟังท่านชายโต้วชีตัดพ้อ
“…โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงเตรียมการเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อผ่านพ้นตรุษจีนนี้ไป คงได้เปิดแล้ว……” เขาหัวเราะกล่าวพลางหยิบกาเหล้าขึ้นรินแล้วจิบไปหนึ่งคำ ผมบริเวณขมับที่หนีบดอกยี่โถไว้สั่นไหวเล็กน้อยตามแรงหัวเราะ
“แต่ทว่า ร้านแห่งนี้ นายใหญ่น่าจะเก็บเอาไว้เพราะฮวงจุ้ยดี เก็บไว้ไม่ดีกว่าหรือ…” ผู้ดูแลร้านกล่าวอย่างลังเล
“ฮวงจุ้ยอะไร หากฮวงจุ้ยดีจริง เปิดมาสิบกว่าปี ยังไม่ดีเท่านางฟ้าผ่านมาของข้าที่เปิดเพียงสามวันก็เลื่องชื่อลือนามแล้ว หากยังเก็บที่แห่งนี้ไว้อีก จะดึงผู้คนไปร้านใหม่ได้อย่างไร” ท่านชายโต้วชีพูดด้วยความโมโห พร้อมกับวางกาเหล้าที่ถือไว้ในมือลงบนโต๊ะ
………………………………………..